
ใช้เวลาสักหน่อยในการชมภาพทุกๆ ด้านของ All-new Mercedes-Benz S-Class คันนี้ เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจมากขึ้นกับสิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ และอีกไม่นาน โมเดลคันนี้ก็จะมาสะเทือนวงการตลาดรถหรู และคงจะมีอิทธิพลต่อไปจนกว่าจะถูกแทนที่ด้วยโมเดลในปี 2020
ตามที่คุณคาดการณ์ไว้ มันได้รับการนำเสนอด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมาพร้อมความปลอดภัย, รักษ์โลก และทันสมัย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวถังที่ดูสวยงาม ถือเป็นหนึ่งในตัวถังที่ดูดีที่สุดเท่าที่ทางค่าย Mercedes-Benz ได้เคยผลิตมาเลยก็ว่าได้
โดยงานดีไซน์ได้รับการออกแบบในสัดส่วนที่ลงตัวอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งโดดเด่นด้วยรอยพับด้านข้างที่เว้าลึกลงไป มันเป็นรถที่แตกต่างอย่างมากจากโมเดลที่มาแทนที่ แต่ด้วยความที่มันจะต้องข้ามผ่านช่องว่างที่ยังหลงเหลืออยู่ในรุ่นการผลิต หลังจากที่ทางค่ายได้เลิกการผลิตรุ่น Maybach ไป ทำให้โมเดลตัวนี้ให้ความรู้สึกที่ “พรีเมียม” มากกว่าโมเดลปัจจุบันที่ยังคงได้รับการพิจารณาให้อยู่ในระดับชั้นนำจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้จะผ่านเลยมาถึง 8 ปีแล้วก็ตาม
แล้ว S-Class โฉมใหม่คันนี้มาพร้อมอะไรบ้างล่ะ นอกจากไฟหน้า LED ที่มีรูปร่างแปลกตา เรากล้าพูดได้เลยว่า งานออกแบบของโมเดลคันนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมากและทันสมัยมากด้วยเช่นกัน ด้วยโครงร่างอันโฉบเฉี่ยวได้สร้างสรรค์ให้ S-Class คันนี้มีประสิทธิภาพของหลักอากาศพลศาสตร์ได้ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมาก็ว่าได้
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เส้นสายหลังคาที่เทลาดและด้านหลังที่เรียวลง ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพื้นที่ของคนขับและผู้โดยสาร ด้วยการเพิ่มพื้นที่ว่างด้านหลังเป็นพิเศษอีก 14 มิลลิเมตรสำหรับพื้นที่วางเท้า
การตกแต่งภายในห้องโดยสารก็ถือเป็นหนึ่งในจุดขายหลักสำหรับโมเดล S-Class W222 ด้วยเช่นกัน และทางค่ายได้พร้อมแล้วกับการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ในโมเดลคันนี้ มันมาพร้อมงานออกแบบที่ดูสะอาดตา ดูคล้ายกับ Bentley มากทีเดียวสำหรับปุ่มกด 2-3 ปุ่มภายในรถ ฟังก์ชั่นส่วนมากจะถูกควบคุมผ่านปุ่มตรงกลาง และพวงมาลัยจะมาในรูปแบบ 2 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมเท่าที่จำเป็น
อุปกรณ์ครบครันยังมีมาให้อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นที่พักแขนแบบอุ่น ฟังดูอาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่อันที่จริงก็เคยได้ยินมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว และยังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของค่าย Volvo หรือค่ายผู้ผลิตบางรายเสียด้วยซ้ำ
จนกระทั่งทุกวันนี้ เราได้รับเพียงข้อมูลของเครื่องยนต์ในยุโรป ซึ่งประกอบด้วย S400 Hybrid, S500, S350 BlueTec และ S300 BlueTec Hybrid โดยสองรุ่นแรกจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ได้แก่ เครื่องยนต์ขนาดกระบอกสูบ 3.5 ลิตร 6 สูบ พร้อมกำลัง 302 แรงม้า และขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่กำลัง 20 kW (27 แรงม้า) ขณะที่รุ่นที่สองจะมาในเครื่องยนต์ขนาด 4.7 ลิตร 8 สูบ 448 แรงม้า สามารถเร่งถึง 62 mph (100 km/h) ได้ภายในเวลา 4.8 วินาที ส่วนในอีกสองรุ่นหลังจะมาในเครื่องยนต์ดีเซล โดยรุ่น S350 จะค่อนข้างธรรมดา มาในเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมกำลัง 254 แรงม้า แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คงจะเป็นรุ่นสุดท้าย
S300 BlueTec Hybrid จะมาในเครื่องยนต์ขนาด 2.1 ลิตร 4 สูบ เหมือนเช่นในรุ่น S250 CDI ที่ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะโมเดลโฉมใหม่คันนี้ จะได้รับการเพิ่มสมรรถนะด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 20 kW เหมือนเช่นในรุ่น S400 Hybrid นั่นหมายความว่า จะใช้ความเร็วได้ถึง 150 mph (240 km/h), แตะถึง 62 mph (100 km/h) ภายในเวลา 7.6 วินาที และมีอัตราการใช้น้ำมัน 4.4 ลิตร/100 กิโลเมตร ซึ่งเท่ากับ 64.2 mpg ในอังกฤษ หรือ 53.4 mpg ในอเมริกา และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่น่าประทับใจอย่างมากสำหรับตัวเลขที่กล่าวมา
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " หรูหรา ดูดี มีสไตล์! Mercedes-Benz เปิดม่าน All-New 2014 S-Class Sedan "