ครั้ง “รัฐบาลทักษิณ” เริ่มต้นแนวคิด “อีโคคาร์” เมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว นัยแรกคงหวังใจให้เป็นรถเล็กราคาประหยัดที่ผู้คนสามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้ ง่าย พร้อมสร้างฝันด้วยราคาขายประมาณ 3 แสนบาท เพื่อสอดคล้องกับโปรเจกต์เอื้ออาทรต่างๆ
หลายปีผ่านไปโครงการ “อีโคคาร์” ข้ามยุคเปลี่ยนสมัยมาเรื่อย จนถึงวันนี้หลายคนคงรู้แล้วว่า มันไม่ใช่รถราคาประหยัด (Economy Car) ดั่งความตั้งใจแรก เพราะในเงื่อนไขสุดท้ายที่รัฐบาลวางกรอบไว้ให้ค่ายรถยนต์ จะเน้นเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” กับโมเดลการลงทุนมากกว่า (เม็ดเงิน กับ กำลังผลิต) ดังนั้นเราจึงได้คำจำกัดความล่าสุดของอีโคคาร์คือ “รถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล” ซึ่งภาษาอังกฤษน่าจะใกล้เคียงกับคำว่า Ecology Car
แต่กระนั้นด้วยข้อกำหนดเรื่องขนาดของเครื่องยนต์ (เบนซินไม่เกิน 1300 ซีซี ดีเซลไม่เกิน 1400 ซีซี) และได้ภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษ 17% ที่ต่ำกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป ก็ถือเป็นการกำหนดราคาขาย และระดับการทำตลาดไปในตัว
ดังนั้นคงไม่ผิดที่หลายคน จะติดภาพ “อีโคคาร์” ว่าเป็นรถราคาถูก หรืออย่างน้อยสองค่ายรถยนต์ “นิสสัน” – “ฮอนด้า” ที่ทำรถประเภทนี้ออกมาขาย ก็เปิดราคาด้วยเลข 3 (แสนบาท) นำหน้าทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ราคาที่เริ่มต้นด้วยเลข 3 อาจเป็นจิตวิทยายั่วความอยากให้ผู้คนสนใจ เพราะสุดท้ายอย่างที่รู้กันว่า รุ่นดี-สเปกโดน เราๆ ท่านๆ อาจจะต้องควักเงินถึง 4 แสนกลางๆ ถึง 5 แสนบาท หรือยิ่งเห็นการเปิดตัวของ “ฮอนด้า บริโอ้” ที่แบ่งระดับการขายเป็น เกียร์ธรรมดา 2 รุ่น ราคา 399,900 บาท กับ469,500 บาท และเกียร์อัตโนมัติรุ่นเดียวคือ 508,500 บาท ซึ่งประธานฮอนด้าออกมาเผยเองว่า ยอดขายบริโอ้จะมาจากตัวท็อปถึง 70%
ในเมื่อ “บริโอ้” เหมือนโดนบังคับให้ซื้อเกียร์อัตโนมัติรุ่นเดียว “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” จึง นำ “มาร์ช” ที่ระดับราคาใกล้เคียงกันมาทดสอบ พร้อมเปรียบเทียบนิสัยของทั้งคู่ว่าเป็นอย่างไร และคันไหนน่าคบหา กับงบในกระเป๋าไม่เกิน 512,000 บาท
ทั้งนี้ผู้เขียนเคยนำเสนอบทความเปรียบเทียบออปชัน และการลองขับ มาร์ช-บริโอ้ แบบต่างวันต่างวาระมาก่อนหน้าแล้ว แต่คราวนี้ทั้งคู่ถูกนำมาทดสอบพร้อมกัน แบบลุกอีกคันไปนั่งอีกคัน หวังจับความรู้สึกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ออปชัน-ประโยชน์ใช้สอย
สำหรับนิสสัน มาร์ช เพิ่งปรับราคาเพิ่มขึ้น 5,000 บาททุกรุ่นย่อย โดยอ้างเรื่องต้นทุนที่ต้องแบกรับมานาน ดังนั้น ตัวล่างสุด S เกียร์ธรรมดา จะเริ่มต้น 380,000 บาท ไปจนถึงตัวท็อป VL 542,000 บาท
ส่วนรุ่น V ที่นำมาทดสอบจะขยับราคาเป็น 512,000 บาท โดยเปรียบได้กับบริโอ้ รุ่น V ราคา 508,500 บาท และเมื่อเทียบออปชันกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว “มาร์ช” ดูดีกว่า “บริโอ้” พอสมควร
โดยสิ่งที่มาร์ชจัดมาให้มากกว่าแบบสัมผัสได้ด้วยตา ไล่ตั้งแต่ที่ปัดน้ำฝนหลังแบบหน่วงเวลาพร้อมไล่ฝ้า (บริโอ้ ไม่มี) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (บริโอ้ ธรรมดา) เครื่องเสียงเล่น CD/MP3 1 แผ่น พร้อมช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก AUX ลำโพง 4 ตัว (บริโอ้ เป็นช่องเสียบ AUX และ USB ลำโพง 2 ตัว) ตลอดจนล้ออัลลอย 15 นิ้วประกบยาง 175/60 R15 (บริโอ้ ล้ออัลลอย 14 นิ้วประกบยาง 175/65 R14)
ทั้งสองรุ่นจัดออปชันความปลอดภัยระดับ ถุงลมคู่หน้า (คนขับ-ผู้โดยสาร) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับ ระบบเบรก ป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD แต่มาร์ชจะมีระบบเสริมแรงเบรก BA มาให้ ส่วนไฟเบรกดวงที่สามที่ฝังบริเวณสปอยเลอร์หลัง มาร์ชจะใช้หลอดธรรมดา แต่บริโอ้เป็นLED
สำหรับมิติตัวถังมาร์ชจะดูใหญ่กว่า บริโอ้ ด้วยความยาว (มาร์ช/บริโอ้) 3,780/3,610 มม. กว้าง 1,665 /1,680 มม. สูง 1,515/1,485 มม. และระยะฐานล้อ 2,450/2,345 มม.
การเข้า-ออกประตูหน้าทำได้สะดวกพอๆ กัน โดยเบาะคู่หน้าของบริโอ้เป็นแบบขึ้นรูปชิ้นเดียว และสามารถปรับเลื่อนหน้า-ถอยหลัง เอนพนักพิงได้ ส่วนมาร์ชเป็นเบาะแบบแยกชิ้นพนักพิงและหมอนรองหัว แถมเลื่อนหน้าถอย-หลัง ปรับระดับสูงต่ำ และองศาพนักพิง
เหนืออื่นใดด้วยสรีระของผู้เขียน (สูงเกือบ 180 ซม.) เมื่อนั่งเบาะของบริโอ้จะรู้สึกว่ากระชับและสบายกว่ามาร์ช แม้ตัวเบาะจะกดลงต่ำไม่ได้ แต่พอนั่งจริงๆ แล้ว มุมมองพร้อมระยะการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ก็พอดีมือ
สำหรับการเข้าออกประตูหลัง มาร์ชทำได้สะดวกกว่า และพอขึ้นไปนั่งจะพบว่าระยะห่างช่วงขา(Leg room) เหลือพอๆ กัน แต่มาร์ชจะมีระยะห่างช่วงหัวถึงหลังคา (Head room) มากกว่าบริโอ้ ซึ่งรวมๆ แล้วการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังของรถทั้งสองคันก็ไม่ได้อึดอัดอะไร (ถ้านั่งกันไปแค่ 2 คน) แต่ด้วยมิติตัวรถของบริโอ้ที่สั้นกว่ามาร์ช จะมีจุดด้อยที่สะท้อนเต็มๆ ตรงพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง เพราะถ้าไม่พับเบาะลง พื้นที่ด้านหลังของบริโอ้แทบไม่เหลือเลย เรียกว่ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่หมดสิทธิ์ได้วีซ่าแน่นอน
ด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร ผู้เขียนประเมินว่าไม่ต่างกันมาก เสียงเครื่องยนต์ ลมปะทะ เสียงยางบดถนน สะท้านเข้ามาพอสมควร ขณะเดียวกัน เครื่องเสียงที่ติดมากับรถก็ขับกล่อมอยู่ในเกณฑ์ดี (กรณีนั่งข้างหน้า)
อย่างไรก็ตาม ลักษณะของวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายใน ทั้งแดชบอร์ด แผงประตู ซึ่งเป็นส่วนที่เห็นชัดสัมผัสทุกวัน ถือว่ามาร์ชเก็บงานได้ละเอียดกว่าบริโอ้
ลองขับ-จับสมรรถนะ
ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1198 ซีซี วาล์ไอดีแปรผันเหมือนกัน แต่มาร์ชเป็นบล็อก 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 79 แรงม้า จากตระกูล HR หรือจะว่าไปคือการนำHR16DE ที่วางใน ทีด้ารุ่น 1.6 ลิตร (1598 ซีซี) มาตัดออกไป 1 สูบ (หายไป 400 ซีซีพอดี )
ส่วนบริโอ้ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 90 แรงม้า พัฒนามากจาก L15A ที่ประจำการใน “แจ๊ซ” – “ซิตี้” ที่ขายในบ้านเรา แต่ลดความจุกระบอกสูบจาก 1497 ซีซี ให้เหลือ 1198 ซีซี ด้วยการปรับความยาวช่วงชักกระบอกสูบ
ด้านระบบส่งกำลัง รถทั้งสองรุ่นใช้เกียร์อัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT ซึ่งวิศวกรญี่ปุ่นย้ำว่า พัฒนาให้เกียร์มีประสิทธิภาพ และเหมาะกับประเทศไทยและพฤติกรรมการขับของคนไทย
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จากการลองจับเวลาของผู้เขียน พบว่าทั้งคู่ทำได้ใกล้เคียงกันที่ 15 วินาที แต่การขับจริงๆ แล้ว บริโอ้จะรู้สึกกระฉับกระเฉงกว่ามาร์ช พละกำลังมาตามแรงกดของฝ่าเท้า หรือกระตุ้นแรงตั้งแต่ 1,000-2,000 รอบ ทั้งยังมาต่อเนื่องทุกย่านความเร็ว
ในส่วนของมาร์ชนั้นอาจจะรู้สึกกระชาก ช่วงออกตัวนิดเดียว แต่พอไล่ความเร็วขึ้นไป 40-80 กม.ชม. ต้องบี้คันเร่ง พร้อมกับความเร็วที่ค่อยๆไต่มาตามรอบ ซึ่งจริงๆก็ไม่อืดหรอกครับ แต่อย่างที่บอกว่าการขับรวมๆบริโอ้ จะดูกระตือรื้นร้นกว่า
ขณะที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ขับนิ่งๆรอบจะอยู่แถว 2,000 เท่ากันทั้งสองรุ่น ส่วนบริโอ้จะล็อกความเร็วเอาไว้ 143-145 กม./ชม. ซึ่งความเร็วนี้จะเจอกันที่ 6,000 รอบ แต่สำหรับมาร์ชนั้นแว่วมาว่า สามารถทำความเร็วสูงสุดได้กว่า170 กม./ชม.เลยทีเดียว
สำหรับความเร็วสูงสุดของ “บริโอ้” ผู้เขียนมองว่า เหมาะสมแล้วกับลักษณะทางกายภาพเดิมๆของรถ แต่ถ้าใครอยากจะปลดล็อกให้ขับได้เกินกว่านี้ คงต้องไปปรับช่วงล่าง ขนาดยาง หรือ พวงมาลัยด้วย
แม้ช่วงล่างเดิมๆ ของบริโอ้ ที่ด้านหน้าเป็นแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง (มาร์ชไม่มีเหล็กกันโคลง) หลังเป็นคานแข็ง จะตอบสนองการขับได้ดีระดับหนึ่ง หรือวิ่งในโค้งก็เกาะถนนเยี่ยม แต่ด้วยการเซ็ทพวงมาลัยมาคมกริบ ทำให้การบังคับควบคุมช่วงการขับความเร็วสูง รถอาจจะแกว่งมากไปนิด
ดังนั้น ถ้าขับบนความเร็วกว่า 140 กม./ชม. นิสสัน มาร์ช ที่เซตช่วงล่างมาสุดยอดไม่แพ้กัน จะให้ความรู้สึกมั่นใจกว่า
ส่วนจุดเด่นของบริโอ้ ด้านอัตราเร่ง องศาเลี้ยวพวงมาลัยแม่นยำ และการเซ็ทช่วงล่างไม่นุ่มไม่แข็งจนเกินไป จะช่วยให้การขับขี่ในเมืองคล่องตัว มุดซ้ายป่ายขวาทำได้ทันใจ ขณะเดียวกันการเป็นรถท้ายสั้นพร้อมกระจกหลังบานโต ก็ช่วยให้การถอยเข้าจอดสะดวก และกะระยะง่าย
วัดตัวเลขจิบน้ำมัน
การลองสมรรถนะรถทั้งสองรุ่น ทีมงาน “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” มีโอกาสวัดอัตราบริโภคน้ำมัน โดยเติม แก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถังจากปั๊มแถวจังหวัดสมุทรสงคราม และใช้ถนนพระราม 2 วิ่งกลับกรุงเทพฯ ไปจบที่ถนนราชพฤกษ์ ซึ่งช่วงแรกใช้ความเร็วเฉลี่ย 100-110 กม./ชม. จนมาเจอการจราจรหนาแน่นสลับหยุดนิ่ง ตั้งแต่มหาชัยจนถึงถนนกาญจนาภิเษก
สุดท้ายเมื่อขับรถมาถึงปั๊มน้ำมันเป้าหมาย ปรากฏว่าบริโอ้วิ่งไป 72.1 กิโลเมตร ส่วนมาร์ช 72.5 กิโลเมตร จากนั้นก็เติมน้ำมันกลับเข้าไปจนหัวจ่ายตัด ซึ่งเป็นของบริโอ้ 3.12 ลิตร และมาร์ช 3.30 ลิตร
ดังนั้น เมื่อหารระยะทางกับน้ำมันที่ใช้ไป จะได้อัตราบริโภคน้ำมัน 23.10 กม./ลิตร และ 21.96 กม./ลิตร ตามลำดับ ขณะที่ตัวเลขหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะของบริโอ้ โชว์ไว้ 18.1 กม./ลิตร ส่วนมาร์ช 18.0 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ… “บริโอ้” มาพร้อมความกะทัดรัด ขับสนุกแนวสปอร์ต ซึ่งต่างจาก “มาร์ช” ที่จะออกแนวสุขุมนุ่มลึก ขณะที่ผลการทดสอบอัตราการบริโภคน้ำมันคร่าวๆ กลายเป็นว่าอีโคคาร์จากฮอนด้าประหยัดกว่านิดๆ แต่กระนั้นคงไม่สามารถฟันธงได้เต็มปาก เพราะต้องพิจารณาตัวแปรที่ควบคุมลำบากอย่าง สภาพรถ นิสัยการขับ สภาพการจราจร หรือระยะทางที่ทดสอบอาจจะสั้นเกินไป ส่วนในรุ่น V ที่ราคาต่างกัน3,500 บาท แต่สิริรวมแล้ว “นิสสัน มาร์ช” จะให้ความคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับเงินที่เสียไป
ข้อมูลทางเทคนิค | บริโอ้ V AT ราคา 508,500บาท | มาร์ช V ATราคา512,000บาท |
เครื่องยนต์ | i-VTEC SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว | CVTC DOHC 3 สูบ 12 วาล์ว |
ขนาดกระบอกสูบ(ซีซี) | 1198 | 1198 |
แรงม้าสูงสุด(พีเอส/รตน.) | 90/6,000 | 79/6,000 |
แรงบิดสูงสุด(นิวตัน-เมตร/รตน.) | 110/4,800 | 106/4,400 |
ความจุถังน้ำมัน(ลิตร) | 35 | 41 |
เกียร์ | อัตโนมัติ CVT | อัตโนมัติ CVT |
ช่วงล่างหน้า | แม็กเฟอร์สันสตรัท เหล็กกันโคลง | แม็กเฟอร์สันสตรัท |
ช่วงล่างหลัง | ทอร์ชันบีม | ทอร์ชันบีม |
พวงมาลัย | ไฟฟ้า แร็คแอนด์พิเนียน | ไฟฟ้า แร็คแอนด์พิเนียน |
รัศมีวงเลี้ยว(เมตร) | 4.5 | 4.5 |
ระบบเบรกหน้า | ดิสก์ | ดิสก์ |
ระบบเบรกหลัง | ดรัม | ดรัม |
ขนาดล้อ/ยาง | 175/65 R14 | 175/60 R15 |
ออปชัน | บริโอ้ V AT ราคา 508,500บาท | มาร์ช V ATราคา512,000บาท |
ไฟหน้าฮาโลเจน | มี | มี |
ไฟเบรกดวงที่สาม | มี แบบLED | มี |
ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบหน่วงเวลา | มี | มี |
ที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง | ไม่มี | มีแบบหน่วงเวลา |
กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า | มี | มี |
วัสดุหุ้มเบาะ | ผ้า | ผ้า |
ระบบปรับอากาศ | ธรรมดา | อัตโนมัติ |
เครื่องเสียงเล่น CD/MP3 | ไม่ได้ | 1 แผ่น |
ช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก | AUX และUSB | AUX |
ลำโพง | 2 ตัว | 4 ตัว |
มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน | มี | มี |
กุญแจนิรภัย Immobilizer | มี | มี |
ถุงลม SRSคู่หน้า | มี | มี |
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับ | มี | มี |
ระบบเบรก ABS,EBD | มี | มี |
ระบบเสริมแรงเบรก BA | ไม่มี | มี |
***********************************************************************************
ถ้าถามว่าเวลาคนๆหนึ่งจะซื้อรถ ซักคัน แทบทุกคนจะมองถึง รูปลักษณ์นั้นมีส่วนในการเลือกรถยนต์มากกว่าเครื่องยนต์หรือห้องโดยสาร ถ้าพูดถึงการออกแบบแล้วรถทั้ง Nissan March และ Honda Brio นี้ถือเป็นรถยนต์ในกลุ่มซับคอมแพ็คคาร์ ที่เน้นหนักในความคล่องตัวในเมือง
ดั้งเดิมทีในเราอาจจะบอกว่า Nissan March หรือ น้องมีนา ที่หลายคนพูดกัน น่าจะเป็นรถที่เล็กที่สุดในตลาดรถยนต์ใหม่ในปัจจุบัน แล้วที่มาพร้อมตัวถังยาว 3780 มิลลเมตร กว้าง 1665 มิลลเมตร และสูง 1515 มิลลเมตร ที่ระยะฐานล้อของรถนั้นยาวถึง 2450 มิลลเมตร ช่วยให้ความสะดวกสบายและมั่นใจในการขับขี่ ในขณะที่การออกแบบโดยรวมของ นิสสันมาร์ช เน้นความสดใสเบิกบานในการขับขี่ ด้วยไฟหน้าดวงใหญ่กลมโตออกแนวคลาสสิค ที่มาพร้อมความป่องเล็กๆ ที่ตรงลำตัว ส่วนบั้นท้ายลงตัวด้วยดวงไฟที่สนองตอบได้อย่างลงตัวและดูมีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันทางด้านดีไซน์ ที่มาพร้อมล้อกะทะขอบ 14 และ อัลลอยขอบ 15 นิ้วในรุ่นท๊อป
ส่วน Honda Brio ที่เป็น Eco Car คันที่ 2 ของไทย ที่ตอนแรกหลายคนออกแนวส่ายหน้าหลังตัวต้นแบบออกโชว์ที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โป เมื่อ ปลาย ปี แต่เอาเข้าจริงตัวเป็นๆของรถรุ่นนี้ก็น่าสนใจอย่างมาก ด้วยการฉีกดีไซน์จากเดิมอีกเล็กน้อย ที่มีการลบเหลี่ยมรถที่บั้นท้าย ทำให้ตอบโจทย์ในเรื่องความโฉบเฉี่ยวได้ดียิ่งขึ้น พร้อมความเก๋ไก๋ไม่จำเจในตลาด ที่มิติตัวถังนั้นมาพร้อมความยาว 3610 มิลลิเมตร กว้าง 1680 มิลลิเมตร และสูงกว่า 1485 มิลลเมตร และมีฐานล้อยาว 2345 มิลลเมตร ที่ทุกรุ่นมาพร้อมล้อขอบ 14 นิ้ว
สรุปก็คือ Nissan March ยาวกว่า แต่กว้างน้อยกว่า
ส่วน Honda Brio นั้น แม้จะยาวน้อยกว่าแต่ก็กว้างกว่า ส่วนฐานล้อนั้นก็สั้นกว่า ซึ่งหมายถึงความคล่องตัวยิ่งขึ้น
***********************************************************************************
ครั้งนี้เราเปิดทางให้รุ่นพี่อย่าง Nissan March เริ่มต้นที่ออกตัวมาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ฉีกแนวรถทุกรุ่นในตลาดกับครั้ง แรกของเครื่อง 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร ในรถยุคใหม่ที่กลับมาอาละวาดด้วยระบบแคมคู่ ให้พละกำลังจิ๊บ 78 แรงม้า เรียกแรงบิดได้มากถึง 106 นิวตันเมตร ผ่านช่วงชักแบบ under sqaure 78X83.6 มิลลิเมตร มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ด้วยการส่งกำลัง 5 เกียร์ อัตโนมือและอัตโนมัติ แบบ Xtronic CVT ที่ยกมาจากรถรุ่นใหญ่ ในขณะที่ช่วงล่างใช้แม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้า ส่วนด้านท้ายใช้ทอร์ชั่นบีม ที่ลงตัวด้วยดิสก์เบรกและดรัมเบรกทางด้านหน้าและด้านหลังตามลำดับ ส่วนพิกัดน้ำหนักเริ่มที่ 900 กิโลกรัมและสูงสุดที่ 965 กิโลกรัม
ด้าน honda Brio น้องใหม่นั้น งานนี้ดูเหมือนจะได้เปรียบมากกว่า ที่เริ่มต้น หัวใจดวงตัวในเจ้าตัวเล็กนี้ก็ยกเอามาจาก honda Jazz ที่จำหน่ายในเยอรมันกับขุมพลัง 4 สูบ แถวเรียงขนาด 1.2 ลิตร ตอบสนองยิ่งขึ้นผ่านระบบแคมเดี่ยวที่มาพร้อมเทคโนดลยี i-Vtec ให้เหยียบเป็นพุ่งทุกรอบเครื่อง ที่มาพร้อมช่วงชักเร้าใจแบบ Over Sqaure 73.0X71.6 มิลลเมตร ให้กำลัง 90 แรงม้า พร้อมแรงบิด 110 นิวตันเมตร ที่จับคู่พร้อมระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มาพร้อมระบบ Shift hold Control ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ลื่นไหล ส่วนน้ำหนักตัวนั้นมี 925 -920 และ 950 กิโลกรัม ตามลำดับ
ในแม็ทช์ นี้จะสังเกตได้ว่าเครื่องยนต์ของ Honda ทรงสมรรถนะมากกว่าเครื่องของ Nissan แต่อย่างลืมว่า Brio เป็นเครื่อง 4 สูบแถวเรียง ในขณะที่พี่ใหญ่ March เป็นเครื่อง 3 สูบ ที่พอมาดูแรงบิดเรากลับพบว่าต่างกัน เพียง 4 นิวตันเมตร เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการขับสนุกแค่มองสเป็คคร่าวครั้งนี้คงต้องยกให้ honda เขาไป
ยกสุดท้ายความปลอดภัย งานนี้ ใครแน่กว่ากัน
และ แล้ว เราก็มาถึงยกตัดสินที่ระหว่าง March และ Brio 2 อีโค่คาร์คู่ขวัญคนไทยนั้น ใครน่าจะคุ้มค่ากว่า และในด่านนี้ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของความปลอดภัย ที่จะช่วยได้ เมื่อคุณเกิดเคราะห์หามยามร้ายบนท้องถนน
อีกครั้งที่ครั้งนี้ Brio น่าจะชนะไปด้วย การให้ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ที่ฝั่งคนขับมาพร้อมถึงมาตรฐานระบบ i-SRS ที่ยกมาจากรุ่นใหญ่ใส่ไว้ให้ได้อุ่นใจกันที่นอกจากนี้ ยังมีระบบเบรค ABS พร้อมกระจายแรงเบรก EBD เป็นมาตรฐานใหม่ และป้องกันเด็กเปิดประตูหลังในทุกรุ่น ที่น่าปรบมือให้ honda จริงๆ
ฝั่ง Nissan March นั้นเรื่องความปลอดภัยนี้ก็มีมาให้ด้วยรุ่นเริ่มต้นที่ถุงลมนิรภัยมีเพียง ฝั่งคนขับ แต่ในรุ่นท๊อปและรองท๊อปนั้น มีให้ทางคนนั่งด้วยเช่นเดียวกับระบบเบรค ABS+EBD และเสริมความมั่นใจใน BA ก็มีมาให้แค่ 2 รุ่น เท่านั้น ส่วนป้องกันเด็กนั้นมีมาให้ทุกรุ่น แต่ตัดสินแล้วก็ยังไม่ทัน Brio อยู่ดี
ในครั้งนี้ Brio ชนะไปใสๆ อย่างเห็นได้ชัดกับเรื่องมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัยต่อผู้โดยสาร ที่ ABS และถุงลมคู่หน้าเป็นมาตรฐานใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในรถรุ่นเล็ก
ถ้า ให้เทียบระหว่าง Nissan March กับ Honda Brio แล้วคงต้องกล่าวว่ามันยากที่จะตัดสินใจเลยจริง โดยเฉพาะเมื่อทั้งคู่เป็นรถที่หลายคนหมายปอง ที่หนึ่งก็มีกีที่ดีไซน์และความสะดวกสบาย อีกหนึ่งมีมีดีที่สมรรถนะและความปลอดภัย แต่ที่แน่ๆ คันไหนดีกว่ากันสุดท้ายผู้ซื้อก็ยังเป็นผู้เลือกอยู่ดี
***********************************************************************************
คันไหนคุ้มค่า…น่าคบหา?
เป็นประเด็นถกเถียงมาหลายสัปดาห์หลังจากอี โคคาร์ลำดับที่ 2 ของไทย “ฮอนด้า บริโอ้” ถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลายคนถามถึงความคุ้มค่า…น่าใช้ ระหว่างนิสสัน มาร์ช และฮอนด้า บริโอ้…คันไหนน่าคบมากกว่ากัน?
สำหรับนิสสัน มาร์ช การเดินทางมาเป็นเบอร์หนึ่งของวงการอีโคคาร์ ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อมีนาคม 2010 เรียกว่าได้เปรียบไปหนึ่งช่วงตัว เนื่องจากทำตลาดโกยยอดขายและความเชื่อใจไปก่อนด้วยตัวเลขกว่า 20,000 คัน นี่ยังไม่รวมยอดจองอีกกว่า 10,000 คันที่กำลังทยอยส่งมอบ
ส่วน ฮอนด้า บริโอ้ กับการมาในครั้งนี้ ด้วยชื่อชั้นและรูปร่างหน้าตาประกอบกับการมาเป็นเบอร์ 2 ของตลาด แน่นอนว่าช่วงแรกอาจจะดูเหนื่อยล้า แต่ความคาดหมายและความเชื่อมั่นนั้นยิ่งใหญ่กว่า เพราะในหนึ่งปีให้หลังฮอนด้าคาดว่าบริโอ้จะโกยยอดขายได้ราว 40,000 คัน
=====================
มาร์ชยาวกว่า บริโอ้กว้างกว่า
=====================
เมื่อ เทียบขนาดตัวถังแล้วจากความยาว 3,780 มม. กว้าง 1,665 มม. และสูง 1,515 มม. ที่ระยะฐานล้อยาว 2,450 มม. ของนิสสัน มาร์ช ดูจะมีภาษีดีกว่าในเรื่องความยาวของตัวถัง ซึ่งฮอนด้า บริโอ้ ตัวถังยาวเพียง 3,610 มม. แต่ให้ความกว้างมากถึง 1,680 มม. และสูง 1,485 มม. พร้อมให้ระยะฐานล้อยาว 2,345 มม. เมื่อเปรียบมวยแบบตัวต่อตัวบริโอ้ได้เปรียบ
ขณะที่วงเลี้ยวของทั้ง คู่ให้มาแคบเท่าๆกันที่ 4.5 เมตร แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถแบ่งแยกความแตกต่างด้านความคุ้มค่าได้อย่างชัดเจนคือ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตรที่เท่ากัน แต่มาร์ชมาให้แบบบล็อก 3 สูบ 79 แรงม้า ส่วนบริโอ้ให้แบบ 4 สูบ 90 แรงม้ามา ด้านระบบส่งกำลังให้มาเหมือนกันทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT โดยด้าน “สมรรถนะการขับขี่” น่าจะเป็นเครื่องตัดสินได้สำหรับมวยคู่นี้
=======================
มาร์ชเริ่ม 3.75 ล. บริโอ้ 3.99 ล.
=======================
สำหรับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกระหว่างมาร์ชและบริโอ้นั้น ส่วนใหญ่มาจากการแบ่งรุ่นที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนกันของนิสสัน มาร์ช ที่มีหลากหลายถึง 6 รุ่น เปิดราคาตั้งแต่ 375,000 บาทในรุ่น S 425,000 บาทในรุ่น E เกียร์ธรรมดา ส่วนบริโอ้มีรุ่นเกียร์ธรรมดาให้เลือก 2 รุ่นเช่นกัน นั่นคือรุ่น S ราคา 399,900 บาท และรุ่น V ราคา 469,500 บาท
มาร์ช ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติมีให้เลือกตั้งแต่รุ่น E 459,000 บาท รุ่น EL 489,000 บาท รุ่น V 507,000 บาท และรุ่น VL ราคา 537,000 บาท แยกย่อยได้ค่อนข้างหลากหลายพร้อมให้ออพชั่นเสริมที่แตกต่างน่าสนใจ ส่วนบริโอ้มีเพียงรุ่น V เกียร์ CVT ให้เลือกเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นในราคา 508,500 บาท
โดยรวมแล้วมาร์ชอาจดูเหนือกว่าในเรื่องความหลากหลายของ ออพชั่นหลายระดับราคา แต่บริโอ้กลับให้ความสำคัญด้านระบบความปลอดภัยมากกว่า อาทิ ABS, Airbag, EBD ซึ่งให้มาตั้งแต่รุ่นล่างสุด สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับคุณเป็นผู้ตัดสินใจ จะเลือกใครคบใครก็อย่าลืมลองขับ เรียนรู้ดูใจกันไปก่อน…อย่าเพิ่งรีบ “สู่ขอ” นะจะบอกให้
ขอขอบคุณข้อมูล+รูปภาพประกอบทุกเว็บที่อ้างอิงนะครับ
***********************************************************************************
เป็นไงมั่งครับ กับ รีวิว นิสสัน มาร์ช กับ บริโอ คงรักพี่เสียดายน้องแน่เลย แต่ผมอยากบอกว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ไปสัมผัสด้วยคุณเองดีกว่าครับ ว่า คุณชอบคันไหนมากกว่า !! (เพราะถ้าคุณไม่ไปดู ต่อไปคุณจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง) แล้วอย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ว่าเป็นยังไงกันบ้าง
สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทย ^_______________^
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " เปรียบเทียบ !! “นิสสัน มาร์ช” VS“ฮอนด้า บริโอ้” "