โดน “อาฟเตอร์ช็อก” ไปเต็มๆ สำหรับ “ฮอนด้า บริโอ้” (Honda Brio) อีโคคาร์น้องใหม่ ที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปิดรับจองชั่วคราว ซึ่งเป็นเหตุจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ ส่งผลให้ขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิต(บางตัว) ที่ต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น
จริงๆแล้ว “บริโอ้” ที่ขึ้นไลน์ผลิต ณ โรงงานฮอนด้าจังหวัดอยุธยา ใช้ชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นเพียง 7% ในรุ่นเกียร์ธรรมดา หรือถ้าเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ก็ต้องยกเกียร์ CVT มาทั้งลูก ดังนั้นต่อให้ใช้ชิ้นส่วนในประเทศและแถบอาเซียนรวมกว่า 90% ก็ไม่สามารถผสมเสร็จรถทั้งคันได้
เนื่องจากเป็นรถโมเดลใหม่ของโลก สต็อกอะไหล่ก็เพิ่งเริ่มตั้งไข่ เมื่อเกิดปัญหาทั้งฮอนด้า และซับพลายเออร์ จึงไม่สามารถปรับตัวได้ทัน หรือทางแก้ทางออกต้องยุ่งยากซับซ้อนกว่ารุ่นที่ทำตลาดมานานก่อนหน้าแน่นอน
ตอนนี้ฮอนด้าจึงขอเคลียร์ให้ลูกค้ากลุ่มแรก ที่ตัดสินใจจองไปกว่า 5,000 คันก่อน ซึ่งในจำนวนนี้ ท่านประธาน “อาซึชิ ฟูจิโมโตะ” ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะส่งมอบได้ครบเมื่อไหร่ แต่กระนั้นก็ยืนยันว่าจะทยอยส่งมอบไปเรื่อยๆ ตามความสามาถที่จะผลิตได้ ขณะที่รถล็อตแรกจะพร้อมส่งมอบตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมตามกำหนดเดิม
…สรุปว่าได้แน่แต่ช้าหน่อย และถ้าใครรอไม่ไหว ทางฮอนด้ายินดีคืนเงินจองให้เต็มจำนวน…ท่านประธาน “ฟูจิโมโตะ” เขาว่าอย่างนั้น!
อย่างไรก็ตามกำหนดการทดสอบรถ ที่ฮอนด้าวางเอาไว้หลังสงกรานต์ ยังเดินหน้าตามเดิมครับ โดยเชิญสื่อมวลชนกลุ่มใหญ่พอสมควร และเตรียมเส้นทางเอาไว้ให้ลองที่จังหวัดเชียงราย
…หลังจากที่ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” เคยนำสเปกคร่าวๆของ “ฮอนด้า บริโอ้” มาแจกแจงและเทียบกับคู่แข่งอย่าง “นิสสัน มาร์ช” ไปก่อนหน้า ซึ่งคราวนั้นแสดงให้เห็นว่าในรุ่นท็อปของ “บริโอ้” (รุ่น V ราคา 508,500บาท) เมื่อเทียบกับรุ่นรองท็อปของมาร์ช (V ราคา 507,000 บาท) แล้ว ออปชันดูจะเป็นรองนิดๆ
***เกิดมาเพื่อคนเอเชีย(ยกเว้นญี่ปุ่น)
ก่อนอื่นผู้เขียนขอยกเนื้อหา จากบทความที่แล้วมาย้ำก่อนนะครับ เพื่อความเข้าใจตรงกัน ถึงแนวคิดในการพัฒนารถยนต์ “บริโอ้”
“มิติตัวถังมาร์ชดูจะใหญ่กว่าบริโอ้ ด้วยความยาว (มาร์ช/บริโอ้) 3,780/3,610 มม. กว้าง 1,665 /1,680 มม. สูง 1,515/1,485 มม. และระยะฐานล้อ 2,450/2,345 มม.”
“จะเห็นว่า มิติตัวถัง มาร์ช อาจดูได้เปรียบ บริโอ้ นิดๆ เพราะถ้าเป็นมวยก็เหมือนรถรุ่นใหญ่ลดน้ำหนักลงมาต่อยรุ่นเล็ก ซึ่งมาร์ชนั้นแต่ไหนแต่ไรมาการทำตลาดในญี่ปุ่นและตลาดโลกก็ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม ซับคอมแพกต์ หรือ บีเซกเมนท์ แต่กระนั้นเมื่อเข้ามาสวมโครงการอีโคคาร์ในไทย จำเป็นต้องหันมาใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กเพื่อผ่านมาตรฐานไอเสีย และอัตราบริโภคน้ำมัน” (ขณะเดียวกันนิสสัน ก็อยากย้ายฐานการผลิตมาร์ชเพื่อลดต้นทุนอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมาเจอโครงการอีโคคาร์ของรัฐบาลไทยจึงลงตัวพอดี)
“ผิดกับบริโอ้ ที่เริ่มแนวคิดของการพัฒนาต่างกัน ซึ่งฮอนด้าคาดหวังจะให้เป็นเก๋งขนาดเล็ก ราคาประหยัด และระดับการตลาดต่ำกว่าพวกซับคอมแพกต์(แจ๊ซ,ซิตี้)ชัดเจน”
สรุปว่า “บริโอ้” เป็นรถเล็กสายพันธุ์ใหม่ระดับ Entry Level ที่ยึดประเทศไทยกับอินเดียเป็นฐานผลิต เพื่อเจาะตลาดในเอเชีย แต่จะไม่ส่งกลับไปขายญี่ปุ่นเนื่องจากมีพวก “เค-คาร์” ประจำการอยู่แล้ว ซึ่งประเด็นนี้ก็ต่างจาก “นิสสัน มาร์ช” ที่ใช้สเปกนี้ทำตลาดทั่วโลก(แต่ออปชันอาจจะต่างกันนิดหน่อย)
ออปชันจัดแต่พอดี
ในเมื่อ“บริโอ้” เป็นรถเล็กราคาประหยัด ออปชันต่างๆจึงจัดมาแบบพอใช้งานได้จริง (ก็คนใช้เป็นอินเดีย กับประเทศในแถบอาเซียน) หรือตัดสิ่งที่(ฮอนด้า)คิดว่าไม่จำเป็นเพื่อลดต้นทุน ตลอดจนหวังผลเรื่องการลดน้ำหนักเพื่อให้ผ่านมาตรฐานการบริโภคน้ำมัน
ฮอนด้า บริโอ้ แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย คือ คือ S เกียร์ธรรมดา ราคา 399,900 บาท V เกียร์ธรรมดา ราคา 469,500 บาท และ V เกียร์อัตโนมัติ 508,500 บาท ทุกรุ่นไม่มีไล่ฝ้า และใบปัดน้ำฝนหลัง ส่วนล้อใช้ขนาด 14 นิ้ว แต่รุ่น S จะเป็นล้อกระทะ ส่วนรุ่น V เป็นล้ออัลลอย
ภายในใช้เบาะผ้าและมีระบบปรับอากาศทุกรุ่น แต่รุ่น V จะติดตั้งเครื่องเสียงที่ไม่มีช่องใส่ซีดี แต่แทนด้วยรูต่ออุปกรณ์ภายนอก AUX และUSB ขับด้วยลำโพง 2 ตัว พร้อมกระจกข้างกดขึ้น-ลงด้วยไฟฟ้า 4 บาน
อย่างไรก็ตามถ้ามองที่ระบบความปลอดภัย ฮอนด้าจัด ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) พร้อมถุงลมคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยชนิดปรับความดึงอัตโนมัติ ไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED และกุญแจนิรภัย Immobilizer เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น
***เคล็ดลับประหยัดน้ำมัน
นอกจากตัวถังน้ำหนักเบาแล้ว(ตัวท็อป 925 กิโลกรัม) หัวใจหลักอย่างเครื่องยนต์และเกียร์ ก็มีผลให้ บริโอ้ ผ่านเกณฑ์อัตราบริโภคน้ำมัน 20 กิโลเมตร/ลิตร ที่รัฐบาลกำหนด
โดยเครื่องยนต์เบนซิน SOHC 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 90 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วไอดีแปรผัน i-VTEC เป็นบล็อกเดียวกับพวก L15A ขนาด 1.5 ลิตร ที่วางอยู่ในเก๋ง“ซิตี้” และ“แจ๊ซ” เมืองไทย แต่ลดความจุกระบอกสูบลง โดยใช้เทคนิคปรับความยาวช่วงชักกระบอกสูบตามที่ฮอนด้าถนัด
ด้านเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันต่อ เนื่อง CVT ซึ่งปกติจะมีโครงสร้างน้ำหนักเบา และช่วยเรื่องการประหยัดน้ำมันอยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่ฮอนด้าพยายามพัฒนาและปิดจุดอ่อนเดิมๆ ด้วยการนำ “ทอร์คคอนเวอร์เตอร์” เข้ามาช่วยให้อัตราทดเกียร์สูง หวังเพิ่มอัตราเร่งช่วงออกตัว ขณะเดียวกันจะช่วยลดรอบเครื่องยนต์ที่ระดับความเร็วคงที่อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมี ระบบ “อุ่น น้ำมันเกียร์” โดยจะนำความร้อนของเครื่องยนต์มารักษาอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์ให้พร้อมใช้ งาน และมีเซ็นเซอร์แรงดันน้ำมันช่วยควบคุมการทำงานของพูลเลย์กับสายพานเกียร์ให้ เนียนมากที่สุด จะได้ไม่สูญเสียกำลังเกินจำเป็น
เหนืออื่นใดยังมี ระบบหมุนเวียนไอเสีย EGR (แม้บางคนจะชอบไปถอดออกก็ตาม) เพื่อลดปริมาณไอเสีย หรือจำเป็นต้องทำให้รถผ่านมาตรฐาน ยูโร 4 ตามเงื่อนไขอีโคคาร์
ขับดีกว่าที่คิด
ทริปนี้ฮอนด้าให้ผู้สื่อข่าวแต่ละคนลองขับรุ่นท็อปเกียร์อัตโนมัติ เป็นระยะทางรวม 111 กิโลเมตร เริ่มขบวนจากโรงแรมที่พักแถวสนามบินแม่ฟ้าหลวง วิ่งแบบฟรีรันไปถึงดอยตุงแล้ววนกลับมาที่เดิม
เริ่มจากการเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้ขับ ซึ่งเบาะผ้าแบบขึ้นรูปชิ้นเดียว นั่งสบายกว่าที่คิดนะครับ รองรับก้น แผ่นหลัง หัวไหล่ และหัวได้พอดิบพอดีตัวผู้เขียน(สูงเกือบ180 ซม.) แต่แอบคิดในใจว่าถ้าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก นั่งแล้วจะจมหรือไม่ หรือโครงเบาะอาจใหญ่ไปกับสรีระหรือเปล่า ที่สำคัญตัวเบาะนั้นยังปรับได้แค่เลื่อนหน้าถอยหลังกับพนักพิง และไม่สามารถปรับระดับสูงต่ำได้
…ฉะนั้นแล้ว น้องสาวท่านไหนที่สูงไม่ถึง 160 ซม. ตอนซื้อขอเบาะรองก้นมาเป็นของแถมด้วยก็ดี
หลังปรับเบาะและระดับพวงมาลัยให้กระชับระยะควบคุมแล้ว พบว่าทัศนวิสัยของ “บริโอ้” ดีเยี่ยมทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าโปร่งกว้าง หรือจะมองผ่านกระจกมองหลังยิ่งเต็มตา(เพราะกระจกหลังบานโต)
ในตำแหน่งผู้ขับไม่อึดอัด หรือการลองไปนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารด้านหลังก็กว้างขวางพอสมควร แต่ไม่มีพนักพิงหัว ขณะเดียวกันถ้านั่งไปสัก 3 คนก็เต็มชิดพอดี อย่างไรก็ตามการเข้า-ออกประตูหลัง จะออกแนวบีบลำบากนิดหน่อย
…หลังบิดกุญแจสตาร์ท เข้าเกียร์ D กดคันเร่งเบาๆ รถออกตัวกระฉับกระเฉง พลังจากเครื่องยนต์ส่งผ่านเกียร์ CVT ได้ต่อเนื่อง รอบค่อยๆขึ้นไปจาก 1,000-2,000-3,000 ไล่ความเร็วไปแตะ 80 กม./ชม.ได้สบายๆ
ผู้เขียนลองจับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ด้วยตัวเอง (อาศัยจังหวะรถติดไฟแดงแล้วอยู่คันแรก) ทำได้ประมาณ 15 วินาทีโดยลองอยู่สองครั้งก็แน่ใจว่าคงอยู่ระดับนี้ไม่ผิดแน่ (ไม่มีตัวเลขแจ้งอย้างเป็นทางการ)
“Honda Brio” ตอบสนองการขับดีทุกย่านความเร็ว โดยม้า 90 ตัวขยันทำงานกันคึกคัก ซึ่งต่างจาก “Nissan March” ที่จะมาช่วงตีนต้น และตีนปลาย ส่วนกลางหาย แต่กระนั้นความเร็วสูงสุดก็ถูกล็อกเอาไว้ประมาณ 143-145 กม./ชม. ส่วน “นิสสัน มาร์ช” ผู้เขียนเคยเหยียบได้ 160 กม./ชม.ยังเหลือๆ แต่มีนักข่าวบางท่านบอกว่า เคยทำได้จมเกจ์ 180 กม./ชม. (ดีใจด้วยที่รอดชีวิตมาได้)
ด้านช่วงล่างเซ็ทมานิ่มกำลังดี และไม่แข็งจนเกินไป การขับในโค้งหนึบหนับเกาะถนน บวกกับพวงมาลัยมาคมกริบ สั่งงานซ้าย-ขวาแม่นยำ ยิ่งเพิ่มอารมณ์สปอร์ตขับสนุก
ในส่วนของพวงมาลัยไฟฟ้า น้ำหนักเบาในความเร็วต่ำ คล่องมือขับสบาย แต่กระนั้นเมื่อขับความเร็วสูง น้ำหนักจะหน่วงขึ้นมาให้มั่นใจอีกหน่อย ขณะเดียวกันด้วยความแม่นยำที่กล่าวมา ทำให้ช่วงเปลี่ยนเลนกะทันหันบนการขับขี่ความเร็วสูง จะทำให้รถหน้าไวและตัวถังโยกคลอนมากจนรู้สึกได้
การวิ่งทางไกลต่างจังหวัด ช่วงล่างและการถ่ายเทน้ำหนักของ “บริโอ้” ทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่ถ้าบนความเร็วเดียวกัน (ประมาณ 120-130 กม./ชม.) “นิสสัน มาร์ช” อาจจะดูเสถียรกว่านิดๆ
สำหรับการห้ามล้อของดิสก์เบรกหน้า และดรัมเบรกในด้านหลัง ทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ การชะลอหยุดทำได้นุ่มนวล ระยะเบรกไม่ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด
ขณะที่การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารจัดการได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะเสียงลม กับเสียงยางไม่มีหลุดรอดมาน่ารำคาญ แต่จะมีเพียงเสียงเครื่องยนต์ ที่กรีดดังเข้ามาบ้างตามสไตล์รถฮอนด้าหลายๆรุ่น
ด้านอัตราบริโภคน้ำมัน ที่ขับขึ้น-ลงเขา และกระหน่ำตอนวิ่งทางตรงหนักพอสมควร ได้ตัวเลขแสดงผ่านมาตรวัดในรถประมาณ 14 -15 กม./ลิตร ผิดกับนักข่าวรุ่นใหญ่ท่านหนึ่ง ที่บอกว่าเห็นตัวเลขระดับ 18 กม./ลิตร กรณีขับนิ่งๆความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม.
รวบรัดตัดความ… บุคลิก ออกแนวสปอร์ต ขับสนุก และเป็นเก๋งเล็กที่ขับดีที่สุดในโค้งรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว แต่ออปชันจัดมาเท่าที่จำเป็น ซึ่งบางทีก็ดู“งก”ไปนิด ขณะเดียวกันยังบังคับให้ลูกค้าต้องจ่ายเงินระดับ 5 แสนบาทเพื่อแลกรุ่นเกียร์อัตโนมัติเป็นทางเลือกเดียว ที่สำคัญตอนนี้ยังไม่มีรถส่งมอบ และไม่เปิดรับจองเพิ่ม
BRIO แปลเป็นไทยว่า ความมีชีวิตชีวา ร่าเริง ปราดเปรื่อง ซึ่ง 3 คำจำกัดความนี้ก็สะท้อนตัวตนของรถ และผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี
มีชีวิตชีวา – ขับสนุก ปราดเปรียว คล่องตัว
ร่าเริง – รูปร่างหน้าตาทันสมัย ร่าเริงเมื่อดูบิลน้ำมัน
ปราดเปรื่อง – คนซื้อต้องฉลาด ปราดเปรื่อง ไม่อย่างนั้นจะหาเงินจากไหนมาซื้อรถคันเป็นแสน
ขอขอบคุณข้อมูล www.manager.co.th
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
จะตัดสินใจต้องซื้อ ระหว่าง ฮอนด้าบริโอ้ กะ ยาริส
อิอิ มันดูต่างกันเหลือเกิน แต่ก็มีข้อดีคนละแบบ (เขาบอกมา)
โดยส่วนตัวแล้วชอบบริโอ้มากกว่า
แต่ยาริสก็ดูจะดี ช่วยแนะนำหน่อย