
รีวิวสัมผัสแรก All New Honda Civic VTEC Turbo RS สปอร์ตแรง ขับขี่นุ่มนวลสไตล์รถหรู
All New Honda Civic โฉม ใหม่ นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 10 ซึ่งในประเทศไทยจะเป็นรุ่นที่เตรียมเปิดในเดือนหน้านี้ และทาง ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ได้จัดกิจกรรมพิเศษ พาคณะสื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ VTEC TURBO ใหม่ ที่จะวางลงใน All New Civic 1.5 Turbo RS คันนี้ ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยก่อนเปิดตัว ซึ่ง 9carthai ของเราก็ได้รับเกียรติในการเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
All New Honda Civic ใหม่ ทางทีม R&D ของ Honda Civic ใหม่ ได้ตั้งเป้าให้ All New Civic เทียบเท่ารถหรูในระดับ Compact ยุโรป ทั้งในด้านของรูปลักษณ์ที่ดูหรูหรา แต่แฝงความสปอร์ตพรีเมี่ยม รวมไปถึงการมีมิติตัวขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับ D-Segment เน้นรูปลักษณ์ความพรีเมียมแบบรถยุโรป ด้วยโครงสร้างรถที่กว้าง แต่เตี้ยลง ให้รูปลักษณ์แบบสปอร์ต และอากาศพละศาสตร์ที่ดีเยี่ยม ขณะที่เน้นทัศนวิสัยในการขับขี่
ไฟหน้าแบบ Full LED ทั้งไฟสูง-ต่ำ ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้าย Honda NSX ใหม่ ไฟเลี้ยวพร้อมด้วยไฟ DRL แบบ LED กระจังหน้าดีไซน์ทันสมัย นอกจากนี้จะมีไฟ Parking Lamp ติดตั้งที่กันชนหน้าใกล้กับซุ้มล้อ สว่างขึ้นตามการเปิดไฟหน้า
ไฟท้ายแบบแยก 2 ชิ้น โดยในส่วนโคมไฟจะติดตั้งอยู่บนฝากระโปรงด้วย
ในรุ่น RS คันนี้มีสปอยเลอร์ พร้อมติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 และโลโก้ RS บ่งบอกความเท่ รวมไปถึงดีไซน์ของกระจกมองข้างใหม่รูปลักษณ์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว
สำหรับท่อไอเสียเป็นแบบออกคู่ แต่ซ่อนปลายท่อไว้ เนื่องจาก ต้องการภาพความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านมิตินั้น ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ แต่เตี้ยลง มีความกว้าง x ยาว x สูง x ระยะฐานล้อ = 1,799 x 4,630 x 1,416 x 2,700 มม.
ทันทีที่เปิดประตูเข้าภายในห้องโดยสารผ่านระบบ Keyless Entry ซึ่งในชุดกุญแจนี้ ยังมีลูกเล่น Remote Start ช่วยให้ติดเครื่องยนต์พร้อมเปิดระบบแอร์ไว้ ขณะที่ตัวรถยังคงล็อคอยู่ ช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องร้อน
สำหรับดีไซน์ภายใน ได้มีการพัฒนาให้ดูหรูหราและทันสมัย จุดเด่นคือเรื่องของพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง และ
ไม่ได้จัดวางภายในให้กว้างเพียงอย่างเดียว เพราะเน้นความสูงตัวถังให้ต่ำลง ซึ่งยึดหลักการออกแบบ Man Maximun Machine Minimum ภายในตกแต่งด้วยโทนสีดำตัดด้วย Trim สีเงิน Metallic
ที่แผงคอนโซลกลางเราจะพบกับดีไซน์ที่วางแก้วน้ำแปลก แต่ดูล้ำ ที่เท้าแขนสไลด์ออกได้ แต่พบว่ามันให้สัมผัสที่แข็งไปนิด หน้าจอแสดงผลสวยงาม
มาตรวัดแบบสปอร์ต 3 ช่อง ช่องกลางแสดงผลความเร็วแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ และใช้แสดงผลการควบคุมหน้าจอ MID ซึ่งสามารถกดปุ่มได้บนพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ซึ่งมาพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงทางฝั่งซ้าย และปุ่มระบบ Cruise Control ทางฝั่งขวา รวมไปถึงสวิทช์รับสายโทรศัพท์ ด้านหลังพวงมาลัยมีแป้น Paddle Shift ไว้ให้ควบคุมเกียร์ได้ด้วยตนเอง
หน้าจอเครื่องเสียงคันนี้เป็นแบบ Advanced Touch แสดงผลทั้งกล้องมองหลังและระบบ Lanewatch (ยกมาจาก Accord) ที่มีกล้องติดตั้งบนกระจกมองข้างฝั่งซ้าย
ขณะที่พื้นที่ Leg Room ตอนหลังเพิ่มขึ้นมาถึง 45 มม. ยืนยันนั่งได้สบายพื้นวางขาเหลือเฟือ แต่ผู้เขียนที่มีส่วนสูง 174 ซม. นั้นนั่งที่เบาะตอนหลังพบว่าพื้นที่ Head Room เหลือราวๆ 3 นิ้วเท่านั้น
สำหรับพื้นที่หลังมีความจุมากขึ้นสูงถึง 530 ลิตร
ระบบขับเคลื่อน เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร บล๊อกเดิม และ เครื่องยนต์ EarthDream 1.5 VTEC Turbo
ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ Direct Injection ท่อไอดีตรง พร้อมระบบเปิด-ปิดวาล์วคู่ Dual VTC สำหรับในส่วนของเทอร์โบ จะใช้ Waste Gate ไฟฟ้า
เครื่องยนต์ VTEC Turbo บล๊อกนี้ให้กำลังสูงถึง 173 แรงม้า@5,500rpm และแรงบิดมากถึง 220 Nm@5,500rpm
ซึ่งสมรรถนะแรงในระดับเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร แต่ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro4 และมีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่น 2.0 ลิตร (อัตราสิ้นเปลืองตาม EPA เฉลี่ย 14.8 กม./ลิตร)
โดยจับคู่ระบบส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT EarthDream ที่ทำงานร่วมกับ Torque Converter สามารถ Shift เกียร์ได้ผ่านแป้น Paddle Shift
ต่อจากนี้เราขอพูดถึงในส่วนของการทดสอบ ณ สนามช้างฯ เซอร์กิต ซึ่งสื่อทุกท่าน จะได้มีโอกาสขับเพียงสั้นๆ เพียง 2 รอบเท่านั้น นับตั้งแต่ออกจาก Pit Lane
แน่นอนว่าการขับขี่ในสนามระดับโลก เพื่อความปลอดภัยจะต้องสวมหมวกนิรภัยก่อนลงไปนั่งที่หลังเบาะ
ทันทีที่ผู้เขียนลงไปนั่งที่หลังเบาะ เรารู้สึกได้ถึงดีไซน์ของตัวรถที่ดูเตี้ยลง แต่มีทัศนะวิสัยที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ดูโปร่งจากกระจกบานหน้า รวมไปถึงท่านั่งที่ดูเตี้ยและให้ความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น รูปแบบที่นั่งเป็นแบบ Cockpit แยกฝั่งชัดเจน ขณะที่เบาะหนังดูโอบกระชับสรีระไซส์คนเอเชียได้กระชับพอตัว
ทันทีที่ออกจาก Pit Lane เรากดคันเร่งมิดตัวรถทะยานพุ่งไปข้างหน้า อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้อานิสงค์จาก Flat Torque ที่มาไวตั้งแต่รอบเครื่องต่ำ และการตอบสนองของเกียร์ที่ทำได้รวดเร็ว พร้อมการบังคับเกียร์ด้วยตนเองผ่านแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัยที่สามารถควบคุมได้ทันที ไม่ว่าจะใช้ตำแหน่งเกียร์ D หรือ S
จริงอยู่ที่ตัวรถแรงขึ้น อัตราเร่งดีแบบรู้สึกได้ แต่ทว่า บุคลิกดิบๆ ที่พบในตัวถัง FD, FB (เจนเนอเรชั่น 8-9) นั้นหายไป เหลือเพราะสไตล์ของเกียร์ CVT นั่นเอง แต่การขับในตำแหน่งเกียร์ S ของเรานั้นก็ ยังช่วยให้ได้ฟีลลิ่งการขับขี่แบบสปอร์ตได้ดีไม่แพ้กัน
ในรอบที่ 2 นั้นหลังผ่านพ้นโค้ง 1 สนามช้างฯ ซัดทางตรงยาว 1 กม. จนสุดทางตรงก่อนต้องเบรก ผู้เขียนสามารถทำความเร็วได้แตะระดับ 180 กม./ชม. ซึ่งถือได้ว่าอัตราเร่งตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงย่านความเร็วปลายนั้น ทำได้เป็นที่น่าพอใจทีเดียว หากเทียบกับ Compact 2 ลิตร คันอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่า จะมีสมรรถนะที่เป็นรองคู่แข่งอย่าง Sylphy DIG เพียงเล็กน้อย (เนื่องจากตัวเลขของ DIG จะสูงกว่าทั้งแรงม้าและแรงบิด)
ขณะที่ช่วงล่าง ต้องบอกได้เลยว่า ถูกปรับปรุงให้มีบุคลิกการขับแบบผู้ใหญ่ มากขึ้น กล่าวง่ายๆ คือเซ็ท แบบรถหรู
ซับแรงดีเยี่ยม นุ่มในจังหวะขับปีน Apex อาการสั่นสะเทือนต่ำกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน
ขณะที่การยึดเกาะนั้น ทำได้ดีพอสมควร แต่ก็พบอาการ Understeer บ้างตามสไตล์รถขับเคลื่อนล้อหน้า FWD และน่าเสียดายที่ ล้อแคบไปนิด ร่วมกับการใช้ยางจาก Bridgestone Turanza ซึ่งเป็นซีรีย์ยางที่เน้น ด้านความนุ่มเงียบเป็นหลักมากกว่า
จากการสอบถามข้อมูลทางเทคนิคเพิ่มเติมพบว่า รุ่น RS ที่เราได้ทำการทดสอบนี้ จะมีการเซ็ท Spring Rate และ Damper ที่กระชับ และให้ความแข็ง เพื่อให้ฟีลลิ่งการขับขี่แบบสปอร์ตมากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นปกติ
สำหรับฟีลลิ่งของ Handling พวงมาลัย ถือว่าปรับปรุงดีขึ้นในแบบฉบับรถหรู พวงมาลัยแบบ 2 pinions มีจุดหมุน 2 จุด ได้ผ่อนแรงน้ำหนักเบาในช่วงความเร็วต่ำ ขณะที่น้ำหนักจะตึงมือขึ้นเมื่อความเร็วสูง แต่ก็ไม่หนักจนเกินไป แม้พวงมาลัยจะไม่คมกริบ ตอบสนองฉับไวนัก ซึ่งการปรับเซ็ทพวงมาลัยว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เน้นการควบคุมที่ง่าย พวงมาลัยมีระยะฟรีอยู่พอสมควร ทำให้การควบคุมวงเลี้ยวนั้นดูตอบสนองเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เหมาะสมกับบุคลิกแบบสไตล์รถหรู
ในส่วนของเบรกดิสก์ 4 ล้อ ระยะแป้นเบรกเซ็ตมาตอบสนองนุ่มนวล ต้องลงน้ำหนักแป้นลึกพอสมควร ไม่เบรกจิกเท้าเท่ารุ่นเก่าอย่าง FD,FB แต่สมรรถนะของเบรกนั้นถือว่าทำได้ดีเกินคาดการณ์ เบรก Balance ของข้างดีทั้งในเรื่องของการถ่ายเทน้ำหนัก รวมถึงอาการแกว่งจากตัวรถขณะที่เบรกด้วยความเร็วสูง (180 กม./ชม.) ก็ถือว่าต่ำมากจนเป็นที่น่าพอใจ
นอกจากนี้ในช่วงสุดทางตรงที่เราได้เบรกหนักถึงประมาณ 75% จะพบว่า ระบบไฟ ESS จะติดขึ้นทำงานโดยทันที ซึ่งถือว่าให้ความปลอดภัยได้หากคุณเผลอซัด VTEC Turbo คันนี้มาเร็วบนท้องถนนและต้องเบรกลงน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
สรุป ด้วยการปรับภาพลักษณ์ของ All New Civic ให้ดูเป็นรถ Compact Premuim ใกล้เคียงรถ D-Segment มากยิ่งขึ้น เราพบว่ามันมีคาแรคเตอร์ในแบบรถครอบครัวหรูตามไปด้วยเช่นกัน ขณะที่ความสปอร์ตในแบบตัวถัง FD, FB นั้นลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในแง่ของระบบส่งกำลังที่ปรับมาเป็นเกียร์ CVT, ช่วงล่างที่นุ่มนวลขึ้น, การเซ็ตแป้นเบรกระยะเบรกการตอบสนองที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหารถหรู แรงด้วยเทคโนโลยีดีสักคัน แต่ไม่อยากได้ D-Segment แล้วล่ะก็ All New Honda Civic นี่ล่ะจะตอบโจทย์คุณ พร้อมยังมีเวอร์ชั่นแรง และสปอร์ต ให้คุณเลือกได้ในรุ่นท๊อปเครื่องยนต์ VTEC Turbo ตอบสนองความแรงในตัวคุณอีกด้วย
วิเคราะห์เบื้องต้น
All New Civic น่าจะมากับ 5 รุ่นย่อย
1.8 MT (เกียร์ธรรมดา)
1.8 AT 2 รุ่นย่อย
1.5 Turbo 2 รุ่นย่อย (RS รุ่นท๊อป ที่เราได้ทดสอบในวันนี้)
สำหรับราคาค่าตัวในเมืองไทยนั้นต้องมารอลุ้นกัน แต่ราคาที่สหรัฐฯ รุ่นท๊อปอยู่ที่ 9.39 แสนบาท ซึ่งเราวิเคราะห์ว่า ราคาน่าจะอยู่ในช่วง 8 แสน – 1.1 ล้านบาท
ขอขอบคุณ Honda Automobiles ประเทศไทย สำหรับทริปการทดสอบ All New Honda Civic Turbo ใหม่ ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
อยากทราบPro.รุ่นAll new Civic มีอะไรเสนอพิเศษบ้างค่ะ
darachoo98@gmail.com