รีวิว HONDA CITY Minor Change ขับคล่องตัว นั่งสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ครอบคลุม
หลายคนคงทราบกันดีว่ายนตรกรรมซีดานแบบ Sub Compact ที่ได้รับความนิยมหรือเป็นขวัญใจมหาชนในบ้านเรา มีอยู่ไม่กี่แบรนด์ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีชื่อ HONDA CITY เป็นทางเลือกในอันดับต้นๆ ด้วยปัจจัยของแบรนด์ที่เป็นน่าเชื่อถือ ขนาดของรถที่ใช้งานได้คล่องตัว เครื่องยนต์เพียงพอเหมาะกับการใช้งานในเมืองหรือจะขับทางไกลก็สามารถตอบโจทย์ได้ ส่วนดีไซน์ก็อยู่ในระดับที่หลายคนพร้อมเปิดรับ ที่สำคัญราคาก็นับว่าคุ้มค่าสามารถเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก
[FULL HD] ชมคลิป รีวิว NEW HONDA CITY 2018
สำหรับ HONDA CITY ที่ทีมงาน 9Carthai ได้นำมารีวิวนี้เป็นรุ่นปรับโฉม Minor Change นับเป็นรุ่นที่ 4 ที่มีจำหน่ายในบ้านเรา และเป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 ของตลาดโลก เปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยช่วงต้นปี 2560 โดยรายละเอียดตัวรถนั้นได้มีการปรับเปลี่ยนหลายจุด เพื่อยกระดับความน่าสนใจและความสปอร์ตมากกว่าเดิม ทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงอุปกรณ์ความสะดวกที่ทันสมัยและมาตรฐานความปลอดภัยที่ครบครันยิ่งขึ้น
NEW HONDA CITY รุ่นปรับโฉมทำตลาด 5 รุ่นย่อยเช่นเดิม คือ
S MT ราคา 550,000
S CVT 589,000
V CVT 649,000
V+ CVT 689,000
SV CVT 736,000
SV+ CVT 751,000 บาท
มีให้เลือก 6 สี คือ
1.น้ำเงิน-คอสมิก เมทัลลิก (มีเฉพาะรุ่น SV/SV+)
2.ขาว-ออร์คิด มุก (มีเฉพาะรุ่น SV/SV+)
3.เทา โมเดิร์นสตีล (ยกเว้นรุ่น S)
4.ดำ-คริสตัล
5.ขาว-ทาฟเฟต้า (เฉพาะรุ่น V+/ V/S)
6.เงิน-ลูนาร์ เมทัลลิก
ภายนอก สำหรับรุ่นที่นำมารีวิวเป็นตัวท็อป SV+ มีการปรับปรุงรายละเอียดหลายจุด เริ่มที่กระจังหน้าได้รับการดีไซน์ใหม่ เป็นแถบโครเมียมขนาดใหญ่ผสานกับแผงรังผึ้ง ซึ่งในบางมุมหน้าตาก็ออกละม้ายคล้ายคลึงกับรุ่นพี่อย่างซีวิค เจนฯ ล่าสุด ชุดไฟหน้ามาในรูปแบบ LED (รุ่น S, V และ V+ ใช้ไฟแบบ มัลติรีเฟล็กเตอร์) มาพร้อมกับไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบหรือ Daytime Running Light แบบ LED ในทุกรุ่นย่อย เช่นเดียวกับไฟตัดหมอกเป็นไฟแบบ LED
ในขณะที่มือจับประตูเป็นแบบโครเมียม (รุ่น S-V สีเดียวกับตัวรถ) สำหรับเสาอากาศมาในรูปแบบครีบฉลาม ส่วนไฟท้ายคงรูปแบบ LED เช่นเดิม แต่ชุดกันชนมีการดีไซน์ใหม่ให้ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น
ล้อแม็กออกแบบใหม่ดีไซน์แบบทูโทนขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง Bridgestone Turanza ER370 ขนาด 185/55 R16 รุ่นย่อยอื่นๆ ใช้ขนาด 15 นิ้ว (ยาง 175 / 65 R15)
มิติตัวรถ ยาว 4,440 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,477 มม. (ยกเว้นรุ่น S/V สูง 1,471 มม.) ระยะฐานล้อ ฐานล้อ 2,600 มม. ระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้า/คู่หลัง 1,476/1,465 มม. (รุ่น S, V และ V+ มีระยะ 1,492/1,481 มม.) น้ำหนัก 1,102 กก. ความจุถังน้ำมัน 40 ลิตร
ภายในห้องโดยสาร รายละเอียดภาพรวมถูกตกแต่งด้วยธีมสีดำ บริเวณคอนโซลยังคงดีไซน์รูปแบบเดิม แต่มีการเติมเต็มความน่าสนใจโดยใช้สีกันเมทัลลิก ผสมผสานการตกแต่งด้วยแถบวัสดุสี Piano Black อีกหนึ่งจุดที่ปรับปรุงใหม่สำหรับรุ่นท็อป SV+ คือเบาะนั่งซึ่งเป็นผ้าลวดลายใหม่สีดำลายสปอร์ต รวมไปถึงไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร-ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า เป็นไฟแบบ LED
ส่วนมาตรวัดดีไซน์วงกลม 3 ช่อง แบบเรืองแสง (Self-illuminating Meters) สีขาว พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ฝั่งขวาสุด แสดงผลระยะการเดินทาง, ทริปเอ-บี, อุณหภูมิ, อัตราความสิ้นเปลืองทั้งแบบเรียลไทม์และเฉลี่ย (รุ่น S ไม่มีจอ MID)
นอกจากนี้บริเวณขอบบนของช่องวัดความเร็วยังมีแถบไฟ ECO Coaching หรือระบบแสดงผลการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน เป็นระบบที่ช่วยแนะนำให้ผู้ขับขี่ใช้เชื้อเพลิงอย่างรู้คุณค่า โดยวัดจากพฤติกรรมการเหยียบเบรก และคันเร่งของผู้ขับขี่ ซึ่งจะแสดงผลด้วยการเปลี่ยนสีที่มาตรวัดเรืองแสง โดยระบบจะช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยโลกในการประหยัดพลังงาน
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ก้านฝั่งซ้ายควบคุมเครื่องเสียง-รับโทรศัพท์ ก้านฝั่งขวาควบคุมการทำงานของระบบครูสคอนโทรล โดยพวงมาลัยสามารถปรับตำแหน่งได้ 4 ทิศทาง (ซ้าย-ขวา ขึ้น-ลง) พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด ส่วนบริเวณคอนโซลกลางของรุ่น SV+ เป็นชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส เล่นได้ทั้งวิทยุ FM/AM รองรับระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth รองรับการเชื่อมต่อ Smart Phone รวมไปถึงช่องเชื่อมต่อ HDMI, USB และช่อง AUX สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง พร้อม 8 ลำโพง (รุ่นต่ำว่า SV ลำโพง 4 ตัว) ถัดต่ำลงมาเป็นระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส ข้างๆ กันฝั่งขวาเป็นปุ่ม Push Start
นอกจากนี้บริเวณมุมขวาด้านล่างของคอนโซลยังมีสวิทช์ควบคุม ECON Mode ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองโดยระบบจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อ และระบบเกียร์ให้ทำงานสันพันธ์กันในขณะรถวิ่ง นอกจากนั้นระบบจะปรับการทำงานของระบบปรับอากาศ และการหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิภายนอกรถ ซึ่งการทำงานของ ECON Mode นั้นจะช่วยควบคุมเครื่องยนต์ให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นขณะถอยรถหรือถอยเข้าจอดด้วย Multi-angle Rearview Camera กล้องส่องภาพด้านหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอยโดยสามารถเลือกดูมุมกล้องที่แตกต่างกันได้ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน
สำหรับเบาะนั่งด้านหน้าในฝั่งของผู้ขับ สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ (คันโยก) ส่วนด้านเบาะหลังมาพร้อมพนักพิงศีรษะด้านหลัง 3 ตำแหน่งพร้อมปรับระดับสูง-ต่ำได้ (มีเฉพาะรุ่น SV+) และจุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ขณะที่ตัวเบาะปรับพับได้แบบ 60:40 (มีที่ดึงพับเบาะด้านในของห้องเก็บสัมภาระท้าย) ช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับวางสัมภาระได้อย่างเต็มที่ ส่วนบริเวณห้องเก็บสัมภาระท้ายสามารถจุหรือวางข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ได้ถึง 536 ลิตร ไม่ว่ากระเป๋าเดินทางหรือถุงกอล์ฟก็ยัดเก็บได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายในขณะที่มือต้องถือข้าวของพะรุงพะรัง ด้วยสวิตซ์เปิดฝากระโปรงท้ายจากรีโมทกุญแจ
เครื่องยนต์ เป็นบล็อกเดิมแบบซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (SOHC) 4 สูบเรียง 16 วาล์ว i-VTEC 1.5 ลิตร สำหรับระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นหัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบ/นาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันหรือ CVT พร้อมระบบ Shifting Control of Cornering Gravity & G Design Shif อัตราทดเกียร์ 2.526-0.408 อัตราเกียร์ถอยหลัง 2.706-1.382 ที่พัฒนาเป็นเทคโนโลยี Earth Dream อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 17.9 กม.ลิตร นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงให้เครื่องยนต์สามารถรองรับน้ำเชื้อเพลิงได้สูงสุดถึง E85
ในขณะที่ระบบช่วงล่างยังคงรูปแบบเดิมเหมือนรุ่นก่อนปรับโฉม ด้านหน้ามาในรูปแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังทอร์ชั่นบีมแบบ H-shape ส่วนระบบพวงมาลัยมาเป็นแบบแร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) พวงมาลัยหมุนสุด 3 รอบ รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร ระบบเบรกด้านหน้าดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนด้านหลังดรัมเบรก
มาตรฐานความปลอดภัย นับว่าในรุ่นท็อปจัดมาให้ค่อนข้างครบ ทั้งระบบเบรก ABS ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA และสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS ที่มีให้ครบในทุกรุ่น รวมไปถึงระบบถุงลมนิรภัยที่มีมากถึง 6 ตำแหน่งบริเวณ คู่หน้า, ถุงลมด้านข้างคู่หน้าและม่านถุงลมด้านข้าง (2 ตำแหน่งหลังมีเฉพาะรุ่น SV+ เท่านั้น) ส่วนระบบกุญแจเป็นแบบนิรภัย Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย
ถึงเวลาสัมผัสจริง สำหรับการทดลองขับ Honda City Minor Change รุ่น SV+ ทีมงานใช้ระยะทางในการขับกว่า 200 กม. บนถนนในเขตเมืองที่มีสภาพการจราจรหลากหลาย (ทั้งจอดสนิทนิ่งตัดสลับเคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ บางช่วง) และถนนย่านชานเมืองซึ่งสามารถทำความเร็วได้เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง พร้อมกับเปิดระบบปรับอากาศปกติ (Auto) จำนวนผู้นั่ง 2 คน (น้ำหนักรวมกันประมาณ 110 กก.)
เริ่มต้นกับความรู้สึกเมื่อขับในช่วงจราจรคับคั่ง หยุดๆ ติดๆ เคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ ความคล่องตัวในการขับใช้งานค่อนข้างดี การเปลี่ยนเลนเปลี่ยนช่องจราจรทำได้สะดวกและเบามือ ซึ่งปัจจัยหลักก็มาจากมิติตัวรถที่ค่อนข้างกะทัดรัด ทำให้ขับได้ง่าย อีกทั้งพวงมาลัยก็เป็นเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนผู้หญิงหรือมือใหม่ก็ใช้งานได้อย่างเบามือทีเดียว ในด้านสมรรถนะแน่นอนว่าในช่วงนี้สามารถใช้ความเร็วได้ไม่มากนัก เต็มที่ไม่เกิน 60 กม./ชม. ซึ่งการตอบสนองของขุมพลังก็ตอบโจทย์การใช้งานได้ตามปกติอยู่แล้ว
ต่อเนื่องมาลองสมรรถนะเมื่อขับออกนอกชานเมือง ซึ่งมีการขยับปรับความเร็วเพิ่มขึ้น การตอบสนองของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร กับน้ำหนักตัวรถ 1.1 ตัน โดยรวมนับว่าถ่ายพละกำลังออกมาให้สัมผัสได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับพิกัดของขุมพลัง แต่การไต่ระดับความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง หรือเมื่อต้องกดคันเร่งให้รถพุ่งทะยานอาจไม่หวือหวาหรือกระชากดึงมากนัก ในขณะเดียวกันถ้าเป็นในจังหวะที่ความเร็วลอยตัวอยู่แล้ว การเติมคันเร่งเพื่อขยับความเร็วก็ตอบสนองได้ค่อนข้างดีทีเดียว
โดยความเร็ว 80 กม./ชม รอบเครื่องอยู่ที่ 1,500 รอบ/นาที, 90 กม./ชม. รอบเครื่องอยู่ที่ 1,600 รอบ/นาที และ 100 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์ 1,900 รอบ/นาที ในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองกับระยะทางกว่า 200 กม. พร้อมปัจจัยของสภาพการจราจรที่หลากหลาย ตัวเลขที่แสดงผ่านจอ MID ของรถอยู่ที่ 13.8 กม./ชม. ซึ่งนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เชื่อว่าผู้ใช้สามารถยอมรับได้ เมื่อเทียบกับพิกัดเครื่องยนต์ ส่วนการเก็บเสียงในช่วงความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดี แต่ถ้าใช้ความเร็วมากกว่าก็มีเสียงของลมที่มาปะทะกระจกบังลมหน้าหรือกระมองข้างให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ
อีกทั้งระบบเกียร์ CVT ลูกนี้ถูกออกแบบให้มีอัตราทดค่อนข้างกว้างจึงมีแรงบิดที่ค่อนข้างดีในรอบต่ำ ส่วนการเปลี่ยนมาใช้การควบคุมเกียร์ที่แป้นแพดเดิ้ลชิฟท์ รวมๆ นับว่าตอบโจทย์อารมณ์ความซิ่งได้ระดับหนึ่ง พอให้เครื่องยนต์ได้เรียกรอบแบบตื๊ดๆ สนุกตามสมควรกับพละกำลังที่มีอยู่ โดยสามารถแปรผันอัตราทดได้ถึง 7 จังหวะ
ระบบช่วงล่างภาพรวมประสิทธิภาพ นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว ซึ่งหลายคนที่คาดหวังว่าคาแร็คเตอร์จะออกไปทางนุ่มๆ นิ่มๆ อาจจะสัมผัสไม่ได้สำหรับ City โฉมนี้ ขณะเดียวกันก็อาจแทนทีด้วยความรู้สึกแน่นๆ ดีดๆ หน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับกระด้างซะทีเดียว ส่วนประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนทั้งช่วงการใช้ความเร็วบนโค้งยาวๆ หรือโค้งต่อเนื่องก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับออกอาการเหวอๆ จนขาดความมั่นใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัยติดตั้งมาให้มาพอสมควร
สำหรับระบบเบรกของ HONDA CITY โฉม Minor Change แม้มีรูปแบบดิสก์ล้อคู่หน้าและดรัมคู่หลัง ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญนั้นเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ แต่ทว่าการทำงานของระบบก็ไม่ได้ถือว่าด้อยแต่อย่างใด เพราะทีมวิศวกรได้มีการปรับเซ็ตให้ประสิทธิภาพนั้นเพียงพอต่อระดับความเร็ว ซึ่งมุ่งใช้งานในเมืองเป็นหลัก ขณะเดียวกันการหยุดยั้งในช่วงที่ใช้ความเร็วสูง นับว่ายังทำได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบช่วยเบรกไว้อย่างครบครันทั้ง ABS และ EBD
มาดูที่รายละเอียดในห้องโดยสารบ้างสำหรับรุ่นท็อป SV+ ในด้านของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย นับว่าติดตั้งมาให้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอัตโนมัติที่คอนโทรลได้แบบสัมผัส เครื่องเสียงแบบจอสัมผัสที่มีฟังก์ชั่นให้ใช้งานกันเกือบจะครบทีเดียว แต่จุดที่อยากให้เพิ่มเติมเข้ามาคือพอร์ต USB ซึ่งมีแค่จุดเดียวที่ชุดเครื่องเสียง แม้จะมีจุดชาร์จไฟให้มากถึง 3 จุด (12V) บริเวณใต้แผงควบคุมระบบปรับอากาศและด้านหลังพนักพิงแขนกลาง (สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง) ซึ่งก็ไม่ได้สะดวกนักเพราะการชาร์จไฟสำหรับสมาร์ทโฟนต้องใช้อะแดปเตอร์ที่มีพอร์ต USB เสียบต่อก่อน
ส่วนเบาะนั่งแม้เป็นเบาะผ้าแต่ถ้ามองในเรื่องของดีไซน์และลวดลายที่เลือกใช้นับว่าเข้ากันกับประเภทรถอย่างลงตัว แต่จะดีไปกว่านี้ถ้าเบาะฝั่งคนขับสามารถปรับตำแหน่งได้ด้วยระบบไฟฟ้า ส่วนแผงมาตรวัดในความคิดส่วนตัวของผู้ทดสอบ สังเกตว่าดีไซน์อาจดูเรียบง่ายไปนิด คือเป็นกลมๆ 3 ช่อง แต่พอมีแถบไฟวงแหวนของระบบ ECO Coaching จอ MID แบบดิจิตอลเพิ่มเข้ามา ก็ช่วยดึงดูดให้เรือนไมล์ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
สำหรับตำแหน่งในการนั่งในเบาะคู่หน้า นับว่าให้ความสบายพอสมควร ด้วยดีไซน์ของปีกเบาะที่ไม่ยื่นออกมามากนักและพนักพิงที่ค่อนข้างกว้างทำให้ผู้ขับหรือผู้โดยสารร่างท้วมๆ นั่งแล้วไม่รู้สึกว่าอึดอัด ในขณะเดียวกันฐานเบาะมีการออกแบบให้มีความยาวยื่นไปด้านหน้า ทำให้สามารถซัพพอร์ตกับผู้ขับที่มีลักษณะตัวสูงและมีขายาวได้ดี
ส่วนในตำแหน่งด้านหลังต้องเอ่ยปากชมว่าทีมออกแบบของ Honda สามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งเมื่อได้ลองนั่งเสมือนว่าอยู่บนรถแบบซีดานระดับซี-เซกเม้นท์ ทำให้การนั่งไม่ต้องงอขา-งอเข่ามากนัก อันเป็นสาเหตุของความเมื่อยล้าเมื่อต้องนั่งเป็นระยะเวลานาน ผู้โดยสารร่างพอดีๆ ไม่ท้วมมากนั่ง 3 คนก็ยังพอไหวไม่อึดอัดซะทีเดียว ส่วนตัวเบาะเองรวมๆ นับว่าดีไซน์ออกมาได้ค่อนข้างดี พนักพิงไม่ตั้งชันจนเกินไป แต่ติดนิดเดียวตรงฐานเบาะ ซึ่งต้องทำหน้าที่รองรับไต้ท้องขานั้นรู้สึกว่าสั้นไปสักนิด แต่ก็ทดแทนด้วยพื้นที่สำหรับยืดขา ส่วนระยะเฮดรูมทั้งด้านหน้าและหลังหายห่วงมีพื้นที่เหลือเกือบ 1 ฝ่ามือ คนสูงๆ นั่งสบายไม่ต้องกลัวหัวจะไปชิดเพดาน
บทสรุป สำหรับ HONDA CITY Minor Change นับเป็นซีดานแบบ Sub Compact ที่น่าสนใจภายใต้คุณสมบัติเด่นๆ หลายจุด ทั้งในส่วนของดีไซน์ที่นับว่ายังไม่ตกเทรนด์ ห้องโดยสารที่กว้างขวางจนเกินข้อจำกัดของขนาดรถ และยังมากด้วยอุปกรณ์-ฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวก พร้อมเครื่องยนต์ที่รองรับการใช้งานในเมืองได้ดีภายใต้ซีซีที่ไม่สูงนัก กับราคา 751,000 บาท โดยรวมนับว่าคุ้มค่า สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่อย่างลงตัว
ข้อสังเกตุ และสิ่งที่อยากให้มี
– siri ได้มีการตัดออกไป
– ปุ่มทางลัดบนพวงมาลัยหายไป
– กระจกมองข้างตอนพับไม่แนบกับประตู
– ไม่มี ที่ใส่ของหลังเบาะฝั่งคนขับ
– ไม่มี ที่พักแขนเบาะหลัง
– เข็มขัดนิรภัยไม่สามารถปรับสูง-ต่ำได้
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว NEW HONDA CITY Minor Change ขับคล่องตัว นั่งสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ครอบคลุม "