ฟอร์ด ประเทศไทย ขอกลับมาลุยตลาดรถยนต์อเนกประสงค์อย่างจริงจังอีกครั้งด้วย Ford Everest โฉมใหม่ ครั้งนี้ฟอร์ดมั่นใจอย่างมาก ว่าเป็นรถ SUV ที่ดีกว่าคู่แข่งทุกรายในตลาด ฉีกความคิดเดิม ๆ ที่ว่ารถ PPV เป็นเพียงแค่รถกระบะดัดแปลง ให้อารมณ์การขับขี่ไม่ต่างจากรถกระบะ แต่ฟอร์ดตั้งใจเรียก Everest โฉมใหม่นี้ว่าเป็น SUV ไม่ใช่ PPV เพราะเป็นการพัฒนาต่อยอดที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับรถ กระบะ Ford Ranger ต้องขอท้าให้มาพิสูจน์ทดลองขับด้วยตนเอง แล้วจะรู้ว่า Ford Everest เป็นรถ PPV ที่แตกต่างจากรถ PPV ทั่วไป แต่ถูกยกระดับจนทำให้รู้สึกเหมือน SUV
ทีมงาน 9CarThai ได้ร่วมทดสอบขับกับคณะสื่อมวลชนในแวดวงยานยนต์ที่จังหวัดเชียงราย ทดสอบขับบนเส้นทางจริงจากพื้นราบไปสู่บนดอย ผ่านเส้นทางสุดโหดในทุกรูปแบบ รวมระยะทางกว่า 96.3 กิโลเมตร เพื่อพิสูจน์สมรรถนะในการใช้งานจริง ไม่ใช่สนามจำลอง
ในการทดสอบขับ จะมีการสลับขับจนครบทุกรุ่นและครบทุกสภาพถนน
Ford Everest ที่จัดมาให้ได้ทดสอบขับ มีครบทุกสี ทั้งรุ่น 2.2L Titanium 4×2 AT (ราคา 1,269,000 บาท) และ 3.2L Titanium+ 4×4 AT (ราคา 1,599,000 บาท) รถบางคันที่เห็นในบทความนี้ เป็นสีที่ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่ สีแดงสดและสีฟ้าคราม แต่เนื่องจากมีสื่อมวลชนจากต่างประเทศมาร่วมทดสอบขับด้วย จึงต้องจัดมาให้ครบทุกสีที่ผลิตส่งออกจากโรงงานในไทย
เริ่มต้นทำความรู้จักกับ Ford Everest 2.2L Titanium กันก่อน ดีไซน์ภายนอกรอบคันให้อารมณ์แบบรถ SUV คันใหญ่ เน้นการใช้งานที่อเนกประสงค์ ใช้ประโยชน์ได้จริงในทุกรูปแบบการเดินทาง ไม่ได้เน้นดีไซน์สปอร์ตแหลมคมโฉบเฉี่ยวแบบคู่แข่ง
กระจังหน้าโครเมี่ยมขนาดใหญ่ ดูแกร่งดุดันสไตล์อเมริกันที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ไฟตัดหมอก 2 ข้างครอบด้วยบาร์สีบรอนซ์เงินชิ้นยาว ดูสวยลงตัว
มือจับประตู สีเดียวกับตัวรถ, ล้ออัลลอย 6 แฉกลายใหม่ และบานประตูหลังขนาดใหญ่ เข้าออกที่นั่งได้สะดวก
ไฟตัดหมอกหลัง 2 ข้างก็ครอบด้วยบาร์สีบรอนซ์เงินเหมือนไฟตัดหมอกหน้า
สีขาวยอดนิยมที่คนไทยชื่นชอบ ต่อมาดูสีแดงกันบ้าง ซึ่งเป็นสีที่ฟอร์ดใช้สื่อสารในการทำตลาด
ไฟท้ายเป็นแบบ LED Tube วางแนวรูปตัว C
ย้ำอีกครั้งว่ารุ่น 2.2L ไม่มีไฟ DRL แต่แถบโครเมี่ยมในโคมไฟหน้าดูหลอกตาจนนึกว่ามี
Emblem ตรงนี้ จะช่วยแยกความแตกต่างของรุ่น 3.2L กับ 2.2L ได้ในเบื้องต้น
กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ
ดูสวยงามไม่แพ้กันทั้ง 2 สี จะสังเกตว่าในรุ่น 2.2L ไฟหน้ารถเป็นแบบ Projector แต่ไม่มีไฟ Daytime Running Light
ในประเทศไทย มีให้เลือก 5 สี คือ สีขาว สีแดง ที่เห็นกันไปแล้ว และมีสีทอง สีเงิน กับสีดำ ให้เลือกเช่นกัน ส่วนราคาก็ตามในภาพ คือ
3.2L Titanium+ 4WD 1,599,000 บาท
3.2L Titanium 4WD 1,459,000 บาท
2.2L Titanium 2WD 1,269,000 บาท
เรามาดู Everest สีอื่นกันบ้าง บางสีนอกเหนือจากที่ระบุ จะไม่มีจำหน่ายในไทย ผลิตเพื่อการส่งออกอย่างเดียว
ทีมงานได้ทดสอบขับรุ่น 2.2L สีดำ ส่วนสื่อท่านอื่นบ้างก็ได้ทดสอบรุ่น 3.2L แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะสลับหมุนเวียนขับ ได้สัมผัสกันครบทุกท่าน
Everest ในจำหน่ายในไทย จะได้เป็นเบาะสีเบจเท่านั้น ไม่มีสีดำให้เลือก ส่วนเพดานห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยสีเทาเข้ม เพื่อให้ Moon Roof มีความโดดเด่น
เริ่มต้นที่ฝั่งผู้โดยสารตอนหน้ากันก่อน ซึ่ง Everest คันนี้เป็นรุ่น 3.2L Titanium + แน่นอนว่าอุปกรณ์และการตกแต่ง ถูกใส่เข้ามาแบบจัดเต็ม
มีไฟเรืองแสงสีฟ้าคำว่า Everest สุดเท่ เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า
ผนังประตูและเบาะที่นั่งสีเบจ ทำให้ห้องโดยสารดูสว่าง กว้างขวาง
ผนังประตู ตกแต่งด้วยหนัง มือจับด้านในและที่เปิดประตู ดูสวยงามหรูหราดี
มีลำโพง Tweeter ติดตั้งมาให้ เมื่อรวมทั้งคัน มีลำโพงทั้งหมด 9 ตำแหน่ง
คอนโซลดีไซน์เรียบหรู ใช้งานสะดวก วางของได้ ไม่ลาดเอียง
ช่องเก็บของและเอกสารด้านหน้า ความจุน้อยไปหน่อย
ตกแต่งด้วยหนังสีน้ำตาลเนื้อนุ่ม เดินเส้นด้ายเย็บจริง ไม่ใช่พลาสติกขึ้นรูปหลอกตา
โลโก้ Everest แห่งความภาคภูมิใจ
เบาะที่นั่งขนาดใหญ่ นั่งสบาย รองรับสรีระได้ดี ไม่แข็ง ขับทั้งวันยังไม่รู้สึกเมื่อยล้า
ปีนเข้าออกได้สะดวก ด้วยราวจับที่เสาหลังคา
กระจกส่องหน้าพร้อมไฟส่องสว่างแบบเต็มแม็กซ์ และที่เก็บแว่นตา
มาดูฝั่งผู้ขับกันบ้าง
ตกแต่งหรูหรา ใช้วัสดุทำสีเงินผิวด้าน เป็นรอยขีดข่วนและเห็นคราบรอยนิ้วมือได้ยากกว่าแบบโครเมียม
เบาะที่นั่งปรับด้วยไฟฟ้า ปรับระดับความสูงได้เยอะมาก ทั้งตำแหน่งรองก้นและรองหลังเข่า
มีที่พักเท้าซ้าย
ห้องโดยสารดูโปร่ง กว้าง และสว่าง
ออกแบบเน้นประโยชน์ใช้สอย หยิบจับ สั่งงานได้สะดวกทุกอย่าง
ไม่มีปุ่ม Push Start ใช้กุญแจแบบปกติ ถัดไปทางขวาของช่องกุญแจ เป็นสวิตช์ปิดเปิดและปรับแสงไฟส่องสว่างหน้ารถ
กุญแจรีโมท พับเก็บได้ กดเปิดฝาท้ายรถได้
เหนือมาตรวัด ใกล้ขอบกระจกหน้ารถ มี LED สีแดง คอยเตือนเมื่อเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป หรือมีรถขับจี้ท้ายในตำแหน่งมุมท้ายรถทั้งสองข้าง โดยแสงสีแดงจาก LED เรียงแถว จะยิงขึ้นไปสะท้อนทำมุมกับกระจก หักเหให้ผู้ขับมองเห็นได้ชัดเจน และรู้ว่าเซ็นเซอร์ฝั่งใดที่เตือน (Front/LeftRear/RightRear)
เมื่อเข้ามานั่ง ก็รู้สึกว่าตำแหน่งของเกียร์และปุ่มต่าง ๆ บนแผงคอนโซลกลาง สามารถสั่งงานได้ง่าย โดยอยู่ไม่ไกลเกินไป ไม่ต้องเอื้อมมือจนสุดแขน
มาตรวัดความเร็วแบบ Analog และมีจอภาพขนาบสองฝั่ง บอกข้อมูลที่สำคัญ ทั้งความบันเทิงและการขับขี่ที่จำเป็นต้องรู้
ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยมีสองฝั่ง ปุ่มฝั่งซ้ายสำหรับสั่งงานจอแสดงข้อมูลฝั่งซ้ายของมาตรวัด และปุ่มฝั่งขวาสำหรับสั่งงานจอแสดงข้อมูลฝั่งขวานั่นเอง ลดความสับสน
ตัวอย่างการแสดงข้อมูล บอกถึงระยะห่างกับรถคันข้าง ๆ รอบทิศ บอกว่ารถอยู่ในแนวระนาบหรือไม่ คิดเป็นกี่องศาเมื่อขับบนทางลาดชัน หรือทำหน้าที่เป็น Gyrometer นั่นเอง
ระยะทางที่วิ่งต่อไปได้จนกว่าน้ำมันจะหมดถัง
รอบต่อนาที
จอภาพฝั่งซ้ายเน้นไปที่การเชื่อมต่อสื่อสารและความบันเทิงในรถ
จอภาพหลัก เป็นจอภาพขนาดค่อนข้างใหญ่ สั่งงานด้วยระบบสัมผัสที่ไวดี จอภาพตัดแสงสะท้อนจากภายนอกรถได้ดี สีสันสดใส อ่านง่าย เมนูดูดีทันสมัย ใช้งานง่าย
เครื่องปรับอากาศ แยกปรับอุณหภูมิอิสระซ้ายขวา
วิทยุ AM / FM สแกนเร็ว ใช้งานง่าย
เชื่อมต่อไร้สายกับสมาร์ทโฟนได้ง่าย เพื่อใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 2.0
มีปฏิทิน เหมือนเป็น Organizer ส่วนตัวขนาดย่อม
เมนูการตั้งค่าหลักของระบบ
ตั้งค่ากล้องมองหลัง ช่วยกะระยะถอยจอด
ปรับระดับเสียงได้ทั้งย่านทุ้ม กลาง แหลม
ตั้งค่าหรี่แสงจอภาพแบบอัตโนมัติได้ เพื่อให้เหมาะสมทั้งกลางวันและกลางคืน
กำหนดให้แสดงอุณหภูมิภายนอกรถ พร้อมนาฬิกาบนจอภาพไว้ตลอดเวลาก็ได้
ปุ่มปรับเครื่องเสียงและเครื่องปรับอากาศ มีไฟเรืองแสงสีฟ้า สวยงามเย็นตา เสียดายที่มีเวลาจำกัด จึงไม่ได้ทดสอบระบบ SYNC 2.0 ในส่วนของคุณภาพเสียง จะกล่าวสรุปตอนท้าย
ย้ายมาดูกันต่อในห้องโดยสารที่นั่งแถวที่ 2 กับ 3
เบาะนั่งใน 2 แถวหลัง สามารถพับให้เป็นระนาบเดียวกันได้โดยไม่มีขั้นบันได สามารถใส่สัมภาระชิ้นใหญ่ได้สบาย โดยเบาะที่นั่งในแถวที่สองกับสาม พับได้ด้วยสัดส่วน 60:40 และ 50:50 ตามลำดับ
ในรุ่น 3.2L Titanium + มีสวิตช์ปิดฝาท้ายด้วยไฟฟ้า ที่สามารถกดหยุดให้ค้างไว้ได้
ฝาท้ายเปิดได้มุมสูง ไม่ต้องกลัวชน
ที่เก็บเครื่องมือเปลี่ยนล้ออะไหล่และสายไฟพ่วงแบตเตอรี่
ป้องกันการขโมยล้ออะไหล่ที่ใต้ท้องรถได้ เพราะในการถอดล้ออะไหล่ จะต้องเปิดฝาท้ายแล้วใช้เครื่องมือที่มีมาให้กับรถ ไขปลดตัวล็อกที่ข้างกล่องเครื่องมือนี้เท่านั้น ไม่สามารถมุดใต้ท้องไปถอดล้ออะไหล่ออกมาได้โดยตรง
ปรับพับเบาะที่นั่งแถวที่ 3 ได้ด้วยไฟฟ้า อิสระซ้ายขวา
ช่องเสียบ Car Charger มีเยอะใกล้ทุกที่นั่ง
มีไฟส่องห้องเก็บสัมภาระท้ายรถด้วย
เชื่อว่าหลายคนคงจะชื่นชอบเบาะที่นั่งแถวที่ 3 พับขึ้นหรือราบลงได้ด้วยไฟฟ้า ทำให้ดูสะอาดตา ไม่มีเชือกดึงเบาะให้เกะกะสายตา
มือจับฝาท้าย จับได้สะดวกสำหรับคนถนัดขวา
กล้องมองหลังกะระยะถอยจอด มีเส้นบอกตามองศาการเลี้ยวของล้อด้วย เพื่อความแม่นยำในการจอด
เรื่องที่หลายคนอยากรู้ ก็คือเบาะที่นั่งแถวหลังสุด
ผู้ใหญ่ก็พอนั่งได้ แต่เหมาะกับเด็กมากกว่า เพราะผู้ใหญ่ขายาวกว่า จะกลายเป็นนั่งยอง ๆ ตลอดทาง
ดึงที่รองศีรษะยืดออกมาได้สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโต
ช่องลมเครื่องปรับอากาศและไฟส่องสว่างสำหรับผู้โดยสารแถวหลังสุด ก็มีให้พร้อม
เบาะที่นั่งแถวหลังสุด มีที่วางแขนและหลุมใส่ขวดน้ำให้ด้วย
การเข้าออกจากเบาะที่นั่งแถวที่ 3 ก็ไม่ยากเพราะบานประตูขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เปิดได้กว้าง
ที่นั่งแถวที่ 2 สามารถนั่งได้ 3 คนโดยไม่อึดอัด มีพนักพิงศีรษะครบทุกที่นั่ง
นอกจากปรับมุมพับเอนเบาะได้ ก็ยังเลื่อนเบาะเดินหน้า-ถอยหลังได้ด้วย
Leg room กว้าง นั่งสบาย ระยะห่างจากหัวเข่าถึงหลังเบาะหน้า เหลืออีกประมาณ 15-18 cm.
สวิตช์ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ช่องจ่ายไฟทั้ง 12V และ 220V เสียบปลั๊ก Notebook นั่งทำงานได้เลย
ที่วางแขนและวางแก้วเครื่องดื่ม
พนักพิงศีรษะ ปรับความสูงได้เยอะ
ซันรูฟ เปิดรับแสงได้กว้าง หรือเลือกเปิดรับลมได้กว้างแค่ไหนก็ได้ตามต้องการ
เปิดรับแสงอย่างเดียว
เปิดรับลมกว้างสุด
ไฟส่องสว่างและช่องลมเครื่องปรับอากาศ
*คลิกเพื่อดูภาพขยายใหญ่
Ford สร้างนิยามใหม่ให้กับตลาดรถอเนกประสงค์ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ด้วยสมรรถนะการขับขี่อย่างเหนือชั้นทั้งการขับขี่บนทางเรียบและแบบออฟโรด พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ดีไซน์โฉบเฉี่ยวและบึกบึน สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ที่นั่ง
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง ให้ความรู้สึกสะดวกสบายแม้ขับขี่ในเมือง หรือบนเส้นทางแบบออฟโรดที่สมบุกสมบัน ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกบายอย่างเหนือชั้น ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้เกินความคาดหมายจากรถเอสยูวีแบบ 7 ที่นั่งทั่วไปในตลาดกลุ่มเดียวกัน
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นผลงานการสร้างสรรค์โดยทีมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดรถอเนกประสงค์ทั่วโลกของฟอร์ดมาใช้ ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถสานต่อความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านความทนทานและความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ทั้งนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นี้ มีให้เลือกทั้งแบบรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ
ภายใต้รูปลักษณ์ดุดันที่สะท้อนถึงความสมบุกสมบันและเทคโนโลยีล้ำสมัย ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบครันทั้งความแข็งแกร่ง พร้อมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย มีดีไซน์สวยสะดุดตา ด้วยสมรรถนะเพื่อการขับขี่แบบออฟโรดเต็มรูปแบบ และยังรักษาความเป็นรถยนต์ที่ขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความคล่องตัวบนท้องถนน พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งหรูหราและสะดวกสบาย
ความชาญฉลาดในการออกแบบเพื่อตอบสนองต่อการใช้งาน
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวแต่แข็งแกร่ง สื่อถึงสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้นและเทคโนโลยีล้ำสมัยที่อยู่ภายใน ส่วนหน้ารถที่ดูดุดันด้วย ไฟหน้าขนาดใหญ่ พร้อมไฟวิ่งกลางวันแบบแอลอีดี อันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ดควบคู่กับตัวถังที่ผ่านการทดสอบทางอากาศพลศาสตร์โดยละเอียดทุกขั้นตอน จนเกิดเป็นผลงานการออกแบบที่ผสมผสานความสวยงามและประสิทธิภาพเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบความหรูหราโดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพสูง และเส้นสายรอบคันที่สอดประสานกันอย่างกลมกลืนและลงตัวกับภายในห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง ที่ทั้งประณีต นั่งสบาย และใช้งานสะดวกด้วยคุณสมบัติมากมาย ทั้งหลังคาแบบพาโนรามิคมูนรูฟขนาดใหญ่ ประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ช่องเก็บของกว่า 30 ช่อง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับเบาะหน้าและเบาะหลัง ที่นั่งและพื้นที่เก็บของที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับทุกการใช้งานได้ โดยเบาะนั่งแถวที่สองและสามสามารถพับเก็บให้แบนราบได้ทั้งสองแถว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานและการบรรทุกสัมภาระได้อย่างลงตัว ซึ่งหลังจากพับเบาะนั่งแถวที่สองและสามแล้ว ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะสามารถบรรทุกสัมภาระได้ถึง 2,010 ลิตร*
เพื่อให้ห้องโดยสารปราศจากเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือน และความแข็งกระด้าง (NVH) ฟอร์ดจึงได้ติดตั้งเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน ไว้ภายในตัวรถ ทั้งยังพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย
ขุมพลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมัน
สมรรถนะอันเหนือชั้นของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาจากขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2 รุ่น ในตระกูลดูราทอร์คของฟอร์ดที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด หรือเกียร์ธรรมดา และเทคโนโลยีอันทันสมัย ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและมอบสมรรถะในการขับขี่ที่เป็นเลิศ
ระบบเกียร์อัตโนมัติของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นั้น สามารถจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ โดยระบบสามารถวิเคราะห์ได้จากอัตราการเร่งและลดความเร็ว การใช้เบรคและคันเร่ง และการใช้ความเร็วขณะเข้า เพื่อเลือกเกียร์ที่ถูกต้องเหมาะสมในทุกสถานการณ์ โดยระบบ ยังช่วยให้ผู้ขับขี่มือใหม่สามารถขับรถได้ง่ายดายยิ่งขึ้น และช่วยให้ขับสนุกยิ่งขึ้นสำหรับนักขับมืออาชีพ
ดุลยภาพแห่งสมรรถนะ ความพร้อมลุยแบบออฟโรด และความนุ่มสบายบนท้องถนน
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีความทนทาน พร้อมฝ่าฟันทุกเส้นทาง ด้วยโครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ทำให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีตัวถังที่แข็งแกร่ง เหมาะสำหรับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน นอกจากนี้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ระบบเกียร์แบ่งกำลังพร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิด แบบ on Demand ระบบ Terrain Management ความสูงจากพื้นรถ ถึง 225 มิลลิเมตร สูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน พร้อมลุยน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตร ผนวกกับความชันของมุมไต่และมุมจาก ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย
“ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบสมรรถนะและความหลากหลายในการใช้งานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนทางราบและแบบออฟโรด” ฟอสตัน กล่าว “ไม่ว่าคุณกำลังขับลุยสายน้ำเชี่ยว ไต่บนเนินทราย ลุยโคลน หรือไต่หินขรุขระ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สามารถฝ่าฟันทุกเส้นทางด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ทรงประสิทธิภาพ”
ระบบ Terrain Management ได้รับการออกแบบมาพร้อมกับโหมดตั้งค่าการขับขี่พิเศษสี่แบบ 1. แบบพื้นผิวทั่วไป 2. พื้นหิมะ/โคลน/หญ้า 3. พื้นทราย และ 4. พื้นหินขรุขระ โดยแต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่า อัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ และระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกสถานการณ์ ในกรณีที่ต้องเผชิญกับเส้นทางออฟโรดสุดหฤโหด ผู้ขับขี่ก็สามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อที่อัตราทดรอบต่ำ เพื่อการควบคุมรถได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
นอกเหนือไปจากสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดแล้ว รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นนี้ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและมอบความคล่องตัวในระดับที่เหนือความคาดหมาย ด้วยช่วงล่างแบบคอยล์สปริงหน้า-หลัง พร้อมวัตต์ลิงค์ที่เพลาหลัง เพื่อมอบความสะดวกสบาย และการเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะกับสภาพถนนในเมือง ให้ความรู้สึกสนุกในการขับขี่ ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของฟอร์ดไว้อย่างเต็มรูปแบบ
เทคโนโลยีล้ำสมัย มอบความสะดวกสบายและปลอดภัยได้อย่างเหนือชั้น
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย ที่พร้อมสร้างประสบการณ์การขับขี่อันสุดพิเศษ จนถือเป็นหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ติดตั้งระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 2 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อการสื่อสารภายในรถรุ่นล่าสุดจากฟอร์ด ผู้ขับขี่จึงสามารถใช้เสียงสั่งการอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับตัวรถได้อย่างเป็นธรรมชาติและสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ ระบบ ซิงค์ 2 ยังมาพร้อมจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ที่ใช้งานง่ายด้วยเมนูควบคุมที่แบ่งจอออกเป็น 4 มุม และใช้สีที่แตกต่างกันบ่งบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานหลักๆ อย่างชัดเจน พร้อมระบบเพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบด้วยลำโพงคุณภาพสูงถึง 10 ตัวรวมซับวูฟเฟอร์ มอบเสียงที่ชัดเจนพร้อมเสียงเบสทุ้มลึกและหนักแน่น
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอีกมากมายที่ไม่เคยปรากฏในรถอเนกประสงค์รุ่นใดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (Blind Spot Information System หรือ BLIS) พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ซึ่งจะคอยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่มีรถคันอื่นอยู่ในจุดบอด หรือมีรถตัดผ่านในขณะถอยออกจากซองจอด
เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ ได้แก่ ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll Stability Control) และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) ที่ทำงานสอดประสานกับระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อความมั่นใจสูงสุดขณะขับขี่ ส่วนระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) จะช่วยให้การนำรถเข้าจอดเทียบข้างเป็นเรื่องง่าย โดยที่ผู้ขับขี่จะควบคุมเพียงแค่การเหยียบคันเร่ง เข้าเกียร์ และเบรก โดยไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกในตลาดรถอเนกประสงค์ระดับเดียวกันในประเทศไทย
โดยนอกเหนือจากเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเหล่านี้แล้ว ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ยังช่วยปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนด้วยโครงสร้างห้องโดยสารที่แข็งแกร่งด้วยวัสดุสุดทนทานอย่างเหล็กโบรอน และอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ถุงลมนิรภัย 7 จุด เพื่อป้องกันผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน เป็นต้น
สมรรถนะแกร่งทุกเส้นทาง
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบสมรรถนะที่เหนือกว่าทุกความคาดหมาย ผสมผสานความสมบุกสมบันเพื่อการขับขี่ออฟโรดในทุกสภาพพื้นถนนเข้ากับความสะดวกสบายอย่างเหนือชั้นในขณะขับขี่ โดยที่ยังรักษาความเป็นรถยนต์ที่ขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความคล่องตัวบนท้องถนน จึงพร้อมให้นักขับมืออาชีพได้ขับขี่อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเสริมความมั่นใจให้กับนักขับมือใหม่ได้เป็นอย่างดี
ดีไซน์ช่วงล่าง
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีระบบช่วงล่างล้อหน้าอิสระแบบคอยล์-โอเวอร์-สตรัท ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษให้เหมาะกับรูปแบบการขับขี่ ทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำงานโดยอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำหนักตัวรถ จุดศูนย์ถ่วงรูปแบบการส่งกำลัง และการส่งแรงบิดลงสู่ล้อ เช่นเดียวกับวาล์วแดมเปอร์และสปริง ที่ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อมอบความนุ่มนวลและความแม่นยำสูงสุดในการขับขี่
ช่วงล่างล้อหลังแบบคอยล์สปริงช่วยเสริมความนุ่มสบาย ขณะที่เพลาหลังมีความแข็งแกร่ง เปี่ยมสมรรถนะสำหรับการขับขี่ออฟโรดและงานลากจูง มาพร้อมวัตต์ลิงค์ที่เพิ่มความคล่องตัวและแม่นยำในการควบคุม ช่วยให้ตัวรถมีความสมดุลย์มากยิ่งขึ้นขณะเข้าโค้งและตอบสนองได้รวดเร็ว จึงทำให้การขับขี่สบาย นุ่มนวล ไม่ส่ายหรือกระตุกไปมา ส่วนโช้คหลังซึ่งติดตั้งไว้นอกโครงตัวถัง ช่วยทำให้รถทรงตัวได้ดีและนั่งสบายแม้บนพื้นผิวขรุขระ
วัตต์ลิงค์
แกนช่วงล่างแบบวัตต์ลิงค์ของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาทดแทนแกนแบบเดิมที่รู้จักกันในชื่อแกนแพนฮาร์ด (Panhard Rod) ถึงแม้ว่าแกนช่วงล่างทั้งสองแบบจะมีหน้าที่รักษาตำแหน่งในแนวนอนของเพลาเหมือนกัน แต่มีวิธีการทำงานและประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย
แกนช่วงล่างแบบแพนฮาร์ดนั้น จะมีเพลาที่ติดตั้งอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวถัง บนก้านโลหะในแนวขวางที่ยาวเต็มความกว้างของตัวรถ เมื่อตัวถังรถเอียงขณะเข้าโค้ง แกนดังกล่าวนี้ก็จะเคลื่อนตามไปด้วย จึงทำให้รถมีลักษณะการขับขี่ที่ไม่สมดุลย์ ซึ่งหากรถเข้าโค้งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ตัวถังของรถก็จะเอียงหรือบิดไปมากกว่าการเข้าโค้งในทางตรงข้าม ดังนั้น ทีมวิศวกรจะต้องออกแบบรถยนต์ทั้งคันให้เข้ากับความไม่สมมาตรในขณะเข้าโค้งนี้
สำหรับแกนช่วงล่างวัตต์ลิงค์ใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่นี้ ช่วยให้เพลาล้อสามารถเคลื่อนตัวขึ้นลงได้โดยแทบจะไม่ต้องมีการเคลื่อนตัวในแนวนอน ทำให้ทีมวิศวกรสามารถเสริมความแม่นยำและคล่องตัวในการขับขี่ให้กับรถได้ดียิ่งขึ้น เพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าให้ผู้ขับ
ห้องโดยสารทั้งเงียบและประณีต
วิศวกรของฟอร์ดได้ยกระดับห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นทั้งในด้านความเงียบและความสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบอันชาญฉลาด การวางตำแหน่งติดตั้งวัสดุซับเสียงอย่างมีหลักการ พร้อมการใช้เทคโนโลยีอันชาญฉลาด เพื่อให้ภายในห้องโดยสารทั้งเงียบและประณีตที่สุด
การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์
ทีมวิศวกรผู้ออกแบบ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ใช้การจำลองการไหลของอากาศ การทดสอบในอุโมงค์ลม และการทดลองขับบนถนนจริงเพื่อปรับแต่งรูปทรงและการออกแบบของรถยนต์รุ่นนี้ให้มีเสียงลมน้อยที่สุด กระจกมองข้างทั้งสองถูกออกแบบให้ช่วยลดเสียงลมได้สูงสุดถึง 10 เดซิเบล ในขณะที่ขับรถโดยเปิดหน้าต่างไว้
ระบบตัดเสียงรบกวน
การขับขี่รถยนต์ที่ความเร็วต่ำแม้จะช่วยให้คุณประหยัดน้ำมัน แต่ก็ทำให้เครื่องยนต์มีเสียงความถี่ต่ำที่ดังรบกวนทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งหากไม่มีเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนนี้ วิศวกรต้องออกแบบเครื่องยนต์ที่หลีกเลี่ยงการทำงานในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งจะทำให้รถประหยัดเชื้อเพลิงได้น้อยลง
เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน มีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกับการต้านเสียงรบกวนของหูฟังระดับพรีเมียมโดยจะมีไมโครโฟนความไวสูงสามตัวติดตั้งไว้ภายในวัสดุบุเพดานรถ ไมโครโฟนสองตัวแรกติดตั้งไว้บริเวณเหนือเบาะนั่งแถวหน้า และอีกหนึ่งตัวติดตั้งไว้เหนือเบาะหลัง เพื่อตรวจวัดระดับเสียงจากเครื่องยนต์ ไมโครโฟนทั้งสามตัวนี้จะส่งสัญญาณเสียงที่ได้รับไปยังระบบควบคุมการตัดเสียงรบกวนแบบเรียลไทม์
และเมื่อได้รับสัญญาณเสียงแล้ว ระบบควบคุมในตัวรถจะทำการสังเคราะห์คลื่นเสียงที่ตรงข้ามกันเพื่อหักล้างกับเสียงรบกวนผ่านระบบเครื่องเสียงในตัวรถเพื่อช่วยกลบเสียงเครื่องยนต์ จนสามารถตัดเสียงรบกวนได้ในช่วงย่านความถี่ 30-180 เฮิรตซ์
วัสดุดูดซับเสียง
วัสดุดูดซับเสียงในบริเวณบานประตู หลังคา และรอบๆ ตัวถัง ล้วนมีคุณสมบัติช่วยลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร รวมถึงกระจกหน้ารถแบบซับเสียงที่ติดตั้งในบางรุ่น ล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น
ซีลสองชั้น พร้อมบานประตูสุดหนึบ
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ติดตั้งซีลกันเสียงลมถึงสองชั้นที่ขอบประตูทุกบาน และบานประตูที่ได้รับการพัฒนาโครงสร้างให้มีความหนึบกว่าเดิมนี้ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของซีลได้ดียิ่งขึ้น
ระบบส่งกำลัง
ระบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ แบบ 6 สปีดของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบความยอดเยี่ยมทั้งด้านสมรรถนะ ประสิทธิภาพ และการควบคุมรถ
เกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด
เกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีดรุ่นใหม่ ซึ่งคันเกียร์มีลักษณะคล้ายคลึงกับเกียร์ในรถยนต์นั่ง ช่วยให้เข้าเกียร์ได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมมอบความสนุกในการขับขี่ตามสไตล์รถฟอร์ด เอเวอเรสต์ สมรรถนะการลากจูงโดดเด่นด้วยตัวคลัตช์ที่ทนทาน ทำให้เครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถรักษาระดับแรงบิดได้ดี ผู้ขับขี่จึงสามารถเลือกใช้เกียร์ได้เหมาะสมในทุกสถานการณ์ ทั้งในขณะขับขี่แบบลากจูง ออกตัวอย่างรวดเร็วหลังสัญญาณไฟ หรือขณะขับรถทางไกล
นอกจากนี้ แผงหน้าปัดของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ยังแจ้งเตือนจังหวะการเข้าเกียร์เพื่อการขับขี่ที่ช่วยประหยัดน้ำมันกว่าเดิม ส่วนล้อส่งกำลังแบบ dual mass ก็ช่วยให้การเข้าเกียร์ราบรื่นและตอบสนองได้เร็วยิ่งขึ้น
ชุดเกียร์ธรรมดานี้มาพร้อมคุณสมบัติ Crank-in-Gear ที่ทำให้รถสามารถสตาร์ทเครื่องใหม่ได้ในโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตราทดต่ำทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาคลัตช์
เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด
เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีดในฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการปรับแต่งในทุกด้านเพื่อการตอบสนองที่รวดเร็วและราบรื่น ให้ทุกการขับขี่ยอดเยี่ยม ทั้งในเชิงสมรรถนะ การควบคุมรถ และการส่งกำลังขณะลากจูง
เมื่อขับขี่ในโหมดปกติ ชุดเกียร์อัตโนมัตินี้จะเน้นการขับขี่ที่นุ่มนวล นั่งสบาย และประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อต้องเรียกใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ ผู้ขับขี่ก็สามารถใช้โหมดเปลี่ยนเกียร์แบบธรรมดา สปอร์ต ชิฟท์ เปลี่ยนเกียร์ตามต้องการด้วยการกดปุ่ม เพื่อเพิ่มอัตราเร่งแบบเต็มกำลัง และใช้รับมือกับสัมภาระหนักได้อย่างสบาย
ระบบเกียร์รุ่นนี้ยังมีโหมดการทำงานต่างๆ อีกมากมาย อาทิ โหมดประหยัดน้ำมัน โหมดขับขี่แบบสมรรถนะสูง โหมดสปอร์ต โหมดขึ้นเนิน ลงเนิน โหมดลากจูง โหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตราทดสูง และโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตราทดต่ำ ซอฟต์แวร์ของชุดเกียร์จะทำงานควบคู่กับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) เพื่อตรวจสอบว่าตัวรถกำลังวิ่งอยู่บนพื้นราบ ขึ้นเนิน หรือลงเนิน ก่อนจะปรับการทำงานของเกียร์ให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ
ในกรณีการขับขี่แบบลากจูงของหนักที่ความเร็วสูง ระบบเกียร์อัตโนมัติจะช่วยเลือกเกียร์ที่เข้ากับน้ำหนักของสิ่งของที่ลากจูง ซึ่งอาจจะเป็นเกียร์ 4 5 หรือ 6 ก็ได้ และเมื่อเปลี่ยนมาขับขี่ในโหมดขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดต่ำ ระบบก็จะปรับจังหวะการเข้าเกียร์ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางสุดวิบากที่กำลังเผชิญอยู่
ซอฟต์แวร์ของระบบเกียร์ยังสามารถจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ ก่อนจะปรับรูปแบบการทำงานของระบบเกียร์ให้เข้าผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี โดยระบบจะพิจารณาทั้งอัตราการเร่งและลดความเร็ว การใช้เบรกและคันเร่ง และการใช้ความเร็วขณะเข้าโค้ง เพื่อเลือกเกียร์ที่ถูกต้องเหมาะสมในทุกสถานการณ์ และป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนเกียร์ผิดจังหวะ
ทั้งนี้ ระบบเกียร์จะใช้ฟังก์ชั่นการนับคะแนนจากลักษณะการขับขี่ที่ตรวจพบ เพื่อดูว่าจะต้องเปิดใช้งานคุณสมบัติต่างๆ ในเวลาใด โดยเริ่มจากการขับขี่แบบมาตรฐานที่เน้นความประหยัด (0 คะแนน) ก่อนจะขยับมาเป็นการขับแบบสปอร์ต (100 คะแนน) และการขับอย่างมืออาชีพ (200 คะแนน)
เมื่อระบบตรวจพบการเร่งความเร็วอย่างรวดเร็วหรือการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง ซอฟต์แวร์ของระบบเกียร์จะเพิ่มคะแนนให้ตรงกับลักษณะการขับขี่แบบประสิทธิภาพสูง ก่อนจะปรับลดคะแนนเมื่อผู้ขับขี่ชะลอความเร็วลง
คุณสมบัติการปรับเปลี่ยนระบบเกียร์ตามการขับขี่นี้ จะช่วยให้รถมีสมรรถนะการขับขี่และการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังอีกด้วย
ขุมพลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพ
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและมอบสมรรถะในการขับขี่ที่เป็นเลิศ ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์อันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 5 สูบ ขนาด 3.2 ลิตร ที่พร้อมรับมือกับงานลากจูงและเส้นทางออฟโรดสุดโหด หรือเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร ที่ให้ความประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม
ระบบเทอร์โบแปรผัน Variable Geometry Turbocharger (VGT)
ระบบเทอร์โบแปรผัน หรือ วีจี เทอร์โบ (VGT) ช่วยเพิ่มพละกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ด้วยการควบคุมมุมใบพัดภายในตัวเทอร์โบด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งการปรับมุมใบพัดแบบหลากหลายนี้จะทำให้เทอร์โบสามารถควบคุมแรงดันการเร่งได้อย่างแม่นยำมากขึ้น จึงทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงในช่วงรอบต่ำ และยังสามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างดีเยี่ยม
ตัวกรองอนุภาคน้ำมันดีเซลพร้อมระบบไอระเหย Coated Vaporized Diesel Particulate Filter (cDPF) with Vaporizer
ตัวกรองอนุภาคน้ำมันดีเซลหรือ cDPF พร้อมระบบไอระเหยนี้ช่วยให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีระดับการปล่อยอนุภาคไอเสียตรงตามมาตรฐานยูโร 5 โดยระบบดังกล่าวจะใช้ความร้อนเพื่อทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนหนึ่งระเหยเป็นไอ และปล่อยเข้าสู่ระบบท่อไอเสียเพื่อรวมกับก๊าซไอเสียต่างๆ จากนั้น ระบบไอระเหยจะจุดระเบิดเพิ่มความร้อนของไอนี้ให้มีอุณหภูมิสูงถึง 600 องศาเซลเซียส ขณะที่ก๊าซเสียเคลื่อนผ่านชุดกรอง cDPF เพื่อกำจัดอนุภาคไอเสียออกไปได้ด้วยความร้อน
ระบบหมุนเวียนก๊าซไอเสีย
ระบบหมุนเวียนก๊าซไอเสีย หรือ EGR รุ่นใหม่ ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ สามารถทำความเย็นกับก๊าซไอเสียได้ดียิ่งขึ้น โดยอาศัยชุดวาล์วเพียร์เบิร์ก (Pierberg) และท่อไอดีแบบใหม่ที่มีลิ้นปีกผีเสื้อ (throttle body) ติดตั้งอยู่ตรงกลาง ช่วยทำให้เครื่องยนต์สามารถส่งไอดีและไอเสียไปยังแต่ละกระบอกสูบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มการควบคุมระดับการไหลของก๊าซ และสามารถลดปริมาณก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ที่ปล่อยออกสู่ภายนอกลงได้เช่นกัน
หัวฉีดไดเรค อินเจคชั่นความดันสูง
ระบบหัวฉีดน้ำมันในเครื่องยนต์ดูราทอร์ครุ่นล่าสุดทำงานที่ความดัน 1,800 บาร์ ทั้งยังมาพร้อมกับมุมโคนหัวฉีดที่ปรับเปลี่ยนใหม่ ช่องฉีดเชื้อเพลิงที่มากขึ้น และอัตราการไหลของเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ส่วนหัวฉีดแบบเพียโซ (piezo) ก็ช่วยเสริมความแม่นยำในการฉีดเชื้อเพลิงเข้าสู่เครื่องยนต์ จึงทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงเป็นไปอย่างสะอาดและสมบูรณ์ เพิ่มทั้งพละกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ ทั้งยังช่วยลดอัตราการใช้น้ำมันและปริมาณก๊าซไอเสียลงอีกด้วย ระบบหัวฉีดของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นี้ได้รับการปรับแต่งในทุกรายละเอียดเพื่อให้สามารถเผาไหม้เชื้อเพลิงได้อย่างราบรื่น เครื่องยนต์จึงเดินเรียบ ไม่มีสะดุด มอบประสิทธิภาพสูงสุด
ปั๊มเชื้อเพลิงแบบ Variable Flow
ปัมเชื้อเพลิงรุ่นนี้จะช่วยจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้เท่าที่จำเป็น ทำงานในเวลาที่สั้นลงใช้พลังงานน้อยลง และช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น ระบบการไหลเวียนของเชื้อเพลิงในตัวรถด้รับการปรับจูนใหม่ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบรื่นกว่าเดิม
เทคโนโลยีการขับขี่แบบออฟโรด
ระบบเกียร์แบ่งกำลังพร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิดแบบ on Demand ระบบ Terrain Management System และเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential ใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ทำงานประสานกันเป็นอย่างดีเพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดที่ยอดเยี่ยม ทำให้ตัวรถยังสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แม้ขณะที่ล้อหน้าทั้งสองและล้อหลังข้างหนึ่งอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่เรียบลื่น ตราบที่ล้อหลังอีกล้อยังยึดอยู่บนพื้นผิวนั้น
ระบบเกียร์แบ่งกำลัง (Active Transfer Case)
ระบบเกียร์แบ่งกำลังอลูมิเนียมแบบสองสปีด ติดตั้งด้านซ้าย เยื้องศูนย์เดี่ยว (left hand drop / single offset)
เฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential
ผู้ขับขี่สามารถสั่งล็อคเฟืองท้ายได้ด้วยตนเองเพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนแบบสูงสุด ในกรณีที่สั่งล็อคแล้ว แม้ว่าล้อใดล้อหนึ่งจะไม่ได้สัมผัสกับพื้นผิวการขับขี่ ล้อที่เหลืออยู่จะยังได้รับแรงบิดจากเพลาอย่างเต็มที่ ทำให้สามารถขับเคลื่อนรถต่อไปได้ และหากใช้คู่กับระบบ Terrain Management System ผู้ขับขี่จะสามารถล็อคเฟืองท้ายของรถได้ในระยะความเร็วที่สูงขึ้นอีกด้วย
ระบบ Terrain Management System (TMS)
โหมดตั้งค่าการขับขี่ทั้งสี่รูปแบบ ช่วยให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีสมรรถนะสูงสุดในทุกสภาพการขับขี่ โดยแต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ระบบส่งกำลัง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และความไวของคันเร่ง
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ | ระบบส่งกำลัง | เบรกและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี | คันเร่ง | |
พื้นผิวทั่วไป | ปรับแต่งให้เหมาะสมกับการขับขี่บนท้องถนน ด้วยอัตราส่วนแรงบิดล้อหลังและล้อหน้าที่ 60-40 โดยจะปรับระดับแรงบิดที่ส่งไปยังล้อหน้าให้เหมาะกับการหักเลี้ยวและการเร่งความเร็ว และลดการลื่นไถลให้น้อยที่สุด | ทำงานแบบปกติ | ทำงานแบบปกติ | ทำงานแบบปกติ |
หิมะ / โคลน / หญ้า | เพิ่มแรงบิดเพื่อเสริมการควบคุมรถบนพื้นผิวลื่น | เปลี่ยนเกียร์สูงให้เร็วขึ้น และปรับลดเกียร์ต่ำให้ช้าลง เพื่อให้รอบเครื่องต่ำ ควบคุมง่าย | เพิ่มการยึดเกาะถนน ลดการลื่นไถล | ลดความไวคันเร่งลงเพื่อควบคุมความเร็วที่แม่นยำมากขึ้น |
ทราย | เพิ่มแรงบิดสูง และสามารถล็อคเฟืองท้ายที่ความเร็วสูงกว่าโหมดอื่นๆ | ปรับการเปลี่ยนเกียร์สูง-ต่ำให้ช้าลง ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์หากไม่ได้เหยียบคันเร่ง และจะปรับลดเกียร์อย่างรวดเร็วเมื่อแตะเบรก เพื่อรักษาสมดุลของตัวรถ | ปล่อยให้ล้อรถลื่นไถลได้มากขึ้น เพื่อให้รถสามารถรักษาสมดุลและขับเคลื่อนต่อไปได้ | เพิ่มความไวคันเร่ง เพื่อให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้เร็วต่อทุกสัมผัส |
หิน | เพิ่มแรงบิดสูงสุดสำหรับพื้นผิวการขับขี่แบบวิบาก ให้ ใช้งานได้ในโหมดอัตราทดต่ำเท่านั้น | ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์สูง และจะปรับเกียร์ลงเป็นเกียร์ 1 แทน เพื่อการควบคุมรถอย่างแม่นยำบนพื้นผิวขรุขระ | ลดการลื่นไถลของล้อด้วยประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้รถเกาะถนน | ลดความไวคันเร่งลงเพื่อการควบคุมความเร็วที่แม่นยำมากขึ้น |
อัตราทดเกียร์ต่ำ | เพิ่มแรงบิดสูงสุดสำหรับพื้นผิวการขับขี่แบบวิบาก | ปรับการเปลี่ยนเกียร์สูง-ต่ำให้ช้าลง เพื่อรักษาการควบคุมรถบนพื้นผิวออฟโรด และป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์สูงหากไม่ได้เหยียบคันเร่ง และจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำอย่างรวดเร็วเมื่อเหยียบเบรก | ลดการลื่นไถลของล้อด้วยประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้รถเกาะถนน | ลดความไวคันเร่งลงเพื่อให้ควบคุมความเร็วได้แม่นยำมากขึ้น |
ผู้ขับขี่จะสามารถเปลี่ยนโหมดจากอัตราทดสูงเป็นอัตราทดต่ำได้เมื่อรถหยุดนิ่งเท่านั้น โดยโหมดอัตราทดต่ำจะมอบการควบคุมรถแบบแม่นยำสูงสุดที่ความเร็วต่ำไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ฟอร์ด ประเทศไทย จัดทริปนำคณะสื่อมวลชนร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นครั้งแรก ณ จังหวัดเชียงราย
ในวันแรกของการเดินทาง ฟอร์ด นำสื่อมวลชนมุ่งหน้าสู่ไร่บุญรอด เพื่อรับประทานอาหารกลางวันท่ามกลางไร่ชาที่รายล้อมด้วยทะเลสาบ ซึ่งไร่บุญรอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีพื้นที่สำหรับปลูกชาอู่หลงและพืชพรรณอื่นๆ กว่า 600 ไร่
จากนั้น จึงออกเดินทางสู่วัดร่องขุ่น เพื่อแวะชมศาสนสถานสำคัญประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ซึ่งคณะสื่อมวลชนได้มีโอกาสร่วมชื่นชมสถาปัตยกรรมและศิลปะไทยสมัยใหม่ที่เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีขาวบริสุทธิ์สลับกับสีทองอร่าม พร้อมการประดับด้วยกระจกขาวจับประกายระยิบระยับจากทุกบริเวณโดยรอบ จากนั้น ฟอร์ดได้พาสื่อมวลชนเดินทางสู่ร้านชีวิตธรรมดา ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก เพื่อรับประทานอาหารว่างและจิบกาแฟท่ามกลางสวนสีเขียวและบรรยากาศตกแต่งสไตล์อังกฤษ
หลังจากนั้นจึงเดินทางเข้าพักผ่อนที่ เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยฟอร์ดได้จัดอาหารค่ำต้อนรับคณะสื่อมวลชน ณ ห้องอาหารอิตาเลี่ยน ฟาโวลา ริมแม่น้ำกก ก่อนพาเที่ยวชมตลาดเชียงรายไนท์บาร์ซาร์ เพื่อชมและเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ถึงเวลาทดสอบสมรรถนะของรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ บนระยะทางไป-กลับเฉียดร้อยกิโลเมตร โดยเริ่มออกเดินทางจากที่พัก ผ่านเส้นทางในพื้นที่ชนบทตำบลดอยฮาง พักรับประทานอาหารกลางวันที่ คะเนรี่ เนเชอรัล รีสอร์ท ก่อนออกเดินทางตามเส้นทางบนเนินเขามุ่งหน้าสู่หมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่า เพื่อชมการแสดง “หล่า เฉ่อ บี่ เออ” ประเพณีโล้ชิงช้าของชาวเขาเผ่าอาข่า ซึ่งเป็นประเพณีรื่นเริง เพื่อรำลึกถึงพระคุณแห่งเทพธิดา “อึ่มซาแยะ” ผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้กับพืชพันธุ์ธัญญาหาร
โดยตลอดเส้นทางบนภูเขาอันคดเคี้ยวนี้ พิสูจน์สมรรถนะอันเหนือชั้นสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด และสัมผัสสุดยอดเทคโนโลยีอันล้ำสมัยต่างๆ ที่ได้รับการติดตั้งในฟอร์ดเอเวอเรสต์ ใหม่ ได้แก่ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า หรือ ระบบ Electric Power-Assisted Steering (EPAS) โดยระบบพวงมาลัยไฟฟ้าดังกล่าวนี้ จะปรับให้พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาในขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ เช่น กรณีเข้าจอด และในขณะเดียวกัน ก็สามารถปรับเน้นความแม่นยำเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง จึงช่วงลดความวิตกกังวลให้แก่ผู้ขับขี่ทุกครั้งที่ต้องบังคับพวงมาลัยแม้ในสถานการณ์การขับขี่ที่ยากลำบาก
ระบบ Terrain Management ที่มาพร้อมกับโหมดการตั้งค่าการ ขับขี่พิเศษที่สามารถปรับเปลี่ยนการตั้งอัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อเพิ่มความมั่นใจระหว่างการขับขี่ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ 1) บนพื้นผิวถนนทั่วไป 2) บนพื้นหิมะ/ โคลน/ หญ้า 3) บนพื้นทราย และ 4) บนพื้นหินขรุขระ หรืออย่างเส้นทางออฟโรดสมบุกสมบันในครั้งนี้ ที่มีทั้งการขับลุยข้ามลำธาร ทางหินกรวด ขึ้นเขา ลุยโคลน ลุยทุกพื้นผิว สื่อมวลชนสามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อที่อัตราทดรอบต่ำ เพื่อการควบคุมรถที่แม่นยำยิ่งขึ้นได้อีกด้วย
หลังจากที่ทดสอบสมรรถนะการขับขี่บนเส้นทางแบบออฟโรดแล้ว จึงเดินทางกลับสู่ตัวเมืองจังหวัดเชียงราย เพื่อทดสอบสมรรถนะการขับขี่บนถนนในเมืองที่เป็นทางเรียบ ซึ่งฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยต่างๆ มากมาย เพื่ออำนวยความสะดวกและความมั่นใจในระหว่างการขับขี่สูงสุด โดยมาพร้อมกับ ระบบตรวจจับรถในจุดบอด หรือ ระบบ Blind Spot Information (BLIS) พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ซึ่งจะคอยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่มีรถคันอื่นอยู่ในจุดบอดหรือเมื่อมีรถตัดผ่านในขณะถอยออกจากซองจอด นอกจากนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นี้ ยังมาพร้อม ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) เพื่อให้การนำรถเข้าจอดเทียบข้างเป็นเรื่องง่าย โดยที่ผู้ขับขี่ควบคุมเพียงแค่การเหยียบคันเร่ง เข้าเกียร์ และเบรก โดยไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย จึงช่วยลดความวิตกกังวลแก่ผู้ขับขี่มือใหม่เมื่อต้องถอยจอดในบริเวณที่แคบต่างๆ ในเมือง
และปิดท้ายกิจกรรมในครั้งนี้ ด้วยมื้ออาหารค่ำที่ร้านอาหารหลู้ลำ ร้านอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของเชียงราย ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 30 ปี เมื่ออิ่มท้องแล้วจึงเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
Ford Everest เป็นรถที่ดีมาก เหนือชั้นกว่า PPV ทุกรุ่นในตลาด (จากการทดสอบในเดือนกรกฎาคม 2558 ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการเผยโฉม Mitsubishi Pajero Sport ใหม่) ฟอร์ดออกแบบได้สวยงามลงตัวไม่แพ้ Toyota Fortuner แต่ในการตัดสินใจเลือกซื้อ ก็ต้องคำนึงเรื่องการบริการและงานซ่อมของศูนย์บริการ เพราะฟอร์ดประเทศไทยยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยได้ ทุกคนต้องการซื้อรถเพื่อนำไปใช้งานทุกวันอย่างสบายใจ ไม่มีปัญหาจุกจิก ไม่ต้องซ่อมบ่อย ฟอร์ดทำรถออกมาได้ดีอยู่แล้ว แต่เสียดายที่บริการหลังการขายในไทยยังไม่ดีพอ ซึ่งปีนี้ฟอร์ดประเทศไทย ได้มีการปรับปรุงศูนย์บริการให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว สังเกตได้ถึงเสียงบ่นจะน้อยลงกว่าแต่ก่อน
ข้อสังเกตอีกอย่างก็คือ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในขณะขับแบบออฟโรดบนเส้นทางสุดโหดอย่างที่ทดสอบกันสลับกับออนโรดบนทางหลวง ข้อมูลบนจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 7 km/L ถ้าขับแบบออนโรดอย่างเดียว เน้นใช้งานในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ก็คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 7-11 km/L ตามลักษณะการขับขี่ แต่จากที่คุยกับคณะสื่อมวลชน พบว่าผู้ใช้รถ SUV / PPV ไม่ได้เน้นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่แล้ว เน้นไปที่ระบบการชับขี่ 4WD มากกว่า และปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลก็มีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อย ๆ
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองที่แสดงบนจอภาพที่ระบุ 7 km/L นั้น หมายถึงตลอดทั้งทริปของการทดสอบโดยคณะสื่อมวลชนทั้งวัน รวมระยะทางประมาณเกือบร้อยกิโลเมตร หากแบ่งตามช่วงเวลาที่มีการใช้รถยนต์ทดสอบ ประกอบด้วยการขับออนโรดบนทางหลวงพื้นราบ 15% ขับออนโรดขึ้นเขาลงห้วยกับติดเครื่องจอดรอเฉย ๆ รวมกัน 85% เพราะอยู่บนเส้นทางบนภูเขาเป็นส่วนใหญ่นานหลายชั่วโมง แต่ทั้งหมดเป็นการทดสอบให้เห็นสมรรถนะแบบครบถ้วน ทดสอบทุกฟังก์ชันของระบบช่วยขับเคลื่อนผ่านอุปสรรคในแต่ละเส้นทาง สำหรับลูกค้าทั่วไปก็คงซื้อ Ford Everest มาใช้งานปกติ สัดส่วนการวิ่งบนพื้นราบต้องมากกว่าขึ้นเขาอยู่แล้ว อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยก็จะได้ตัวเลขที่ดีกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฝากผู้อ่านที่สนใจลองไป Test Drive ที่ศูนย์บริการ เพื่อพิสูจน์ด้วยตนเองว่าสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ให้มาถือว่าคุ้มค่าจริง ๆ ครับ ^__^
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
very good