GROUP TEST! รีวิว NEW MG ZS (X) B-SUV ครบเครื่อง..คุ้มค่า 1,500 พาเพลิน !
หลังบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดตัวสมาร์ทเอสยูวีรุ่นใหม่ ‘NEW MG ZS’ ในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์ได้จัดกิจกรรมให้สื่อมวลชน ได้ร่วมทดสอบกันแบบสดๆ ร้อนๆ ทันที เพื่อสัมผัสกับเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะอย่าง i-SMART ที่เป็นจุดขายสำคัญของรถรุ่นนี้ รวมถึงสมรรถนะการขับขี่และความสะดวกสบายจากอุปกรณ์และฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้แบบจัดเต็ม บนเส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ระยอง รวมระยะทางเกือบ 600 กิโลเมตร
MG ZS นับเป็นยานยนต์ที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของ B-SUV รูปลักษณ์ตลอดคันออกแบบด้วยแนวคิด ‘บริท ไดนามิค’ ชุดแผงกระจังหน้ามาในสไตล์ลายรังผึ้งสีดำ ซึ่งถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก MG E-motion Concept ผสมผสานกับไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ ที่เปิด-ปิดแบบอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น X) พร้อม Daytime Running Light โดยทีมออกแบบเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก London Eye ล้วนๆ ส่วนไฟท้ายเป็นแบบแอลอีดี ทิวบ์ เติมเต็มความน่าสนใจด้วยลูกเล่นของมือเปิดฝาท้าย ที่ออกแบบให้เป็นชุดเดียวกับโลโก้ MG การเปิดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงใช้มือกดลงไปตรงมุมด้านบนเท่านั้น มาดูกันที่ส่วนของล้อแม็กรุ่น X เป็นขนาด 17 นิ้ว ลาย 5 ก้าน Octagon และขนาด 16 นิ้ว ลายก้านวายสำหรับรุ่น C และ D ส่วนขนาดและมิติรถบอกเลยว่า MG เล่นใหญ่ โดยมีความยาว 4,314 มม. กว้าง 1,809 มม. สูง 1,624 มม. ส่วนระยะฐานล้อยาว 2,585 มม. ระยะฐานล้อคู่หน้า 1,526 มม. ระยะฐานล้อคู่หลัง 1,534 มม.
สำหรับภายในห้องโดยสารเมื่อพิจารณากับสิ่งที่จัดมาให้ นับว่าดึงดูดใจได้ไม่น้อย ซึ่งในรุ่น D และ X ตกแต่งด้วยสีสันแบบทูโทนน้ำตาล-ดำ นัยว่าต้องการสื่อสะท้อนหรือให้สัมผัสหรูสไตล์รถยุโรป เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ส่วนแผงประตู และแผงคอนโซลเลือกใช้วัสดุแบบผิวสัมผัสนุ่มนวล ดึงนำสายตาด้วยช่องแอร์ดีไซน์คล้ายเจ็ทเทอร์ไบน์ ขณะเดียวกันมาตรวัดเป็นแบบเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงผล MID แสดงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบเรียลไทม์-เฉลี่ย ระยะเวลาการขับ ระยะทางที่ขับได้ เพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และพวงมาลัยดีไซน์มุมล่างแบบตัดตรง (Flat Bottom) มาพร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และสามารถรองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อมยูเอสบี (USB) นอกจากนี้ยังมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์เตือนการถอย
ขณะที่จุดขายหลักก็คือเทคโนโลยี i-Smart ซึ่งสามารถเข้าถึงการใช้งานได้ 3 ช่องทาง คือผ่าน ‘สมาร์ทโฟน’ ด้วยแอพพลิเคชั่น สามารถเช็ครายละเอียดต่างๆ ของรถหรือควบคุมการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ได้ เช่น ปลด-ล็อคประตู สั่งเปิด-ปิดแอร์ แจ้งเตือนความผิดปกติของรถ เช่น สถานะของเครื่องยนต์ ปริมาณน้ำมัน แรงดันลมยาง ระบบเบรก เป็นต้น โดยในส่วนของระบบแอร์ หากผู้ขับเปิดใช้งานผ่านจอสมาร์ทโฟน จะควบคุมให้ทำงานต่อเนื่องได้ 5 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที (ระบบจะถามยืนยันคำสั่งผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนทุกๆ 10 นาที ว่าจะเปิดหรือปิดหรือไม่) ถ้าผู้ขับยังไม่เข้าไปในรถก็จะสั่งปิดการทำงานอัตโนมัติทันที และอีกหนึ่งช่องทางการเข้าถึงคือ ‘จอทัชสกรีน’ ขนาด 8 นิ้ว บริเวณกลางคอนโซล โดยควบคุมระบบการทำงานและฟังก์ชั่นต่างๆ บนจอด้วยการสไลด์ (ยังกดจิ้มไม่ได้) เช่น ระบบนำทางทั้งแบบออฟไลน์-ออนไลน์ การโทรออก-รับสายจากจอทัชสกรีนในกรณีฉุกเฉิน (โทรได้ 50 นาที/เดือน) รวมทั้งสามารถขอ POI หรือพิกัดที่ตั้งสถานที่ต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน โรงแรม ร้านอาหาร ผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งระบบจะส่งพิกัดเป็นข้อความกลับมาที่จอบนรถ จากนั้นก็เลือกใช้การนำทางได้ทันที
สำหรับการเข้าถึงระบบ i-Smart สุดท้าย คือ ‘การสั่งการด้วยเสียงเป็นภาษาไทย’ ซึ่งนับเป็นไฮไลต์ของรถรุ่นนี้ โดยมีไมค์รับเสียงบริเวณแผงสวิตช์ไฟตรงเพดาน และ MG การันตีเลยว่านี่คือครั้งแรกในโลก โดยสามารถควบคุมการเปิด-ปิดซันรูฟ เพิ่ม-ลดความแรงของพัดลมแอร์ เลือกสั่งเปลี่ยนเพลง รวมทั้งการเปิดกระจกฝั่งคนขับ และจากการทดลองใช้ขณะขับขี่ การสั่งด้วยเสียงทุกครั้งต้องเริ่มด้วยประโยค ‘ฮัลโหลเอ็มจี’ เสมอ จากนั้นหน้าจอกลางคอนโซลก็จะขึ้นถามเป็นข้อความกลับมาว่า ‘ฉันกำลังรอฟัง’ และหากระบบไม่แน่ใจรูปประโยค ก็จะถามกลับเพื่อยืนยันคำสั่งอีกครั้งว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ โดยครั้งแรกของการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ อาจรู้สึกว่าใช้เวลานานสักนิดกับการประมวลผล เนื่องจากระบบกำลังจดจำเสียงและเรียนรู้โทนคำสั่ง เสมือนสร้างความคุ้นเคย และเมื่อใช้บ่อยๆ ก็จะทำงานได้รวดเร็วขึ้น โดยรวมนับว่าให้ความสะดวกสบายและปลอดภัย เพราะไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยหรือละสายตาจากถนน
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ MG ZS คือ การติดตั้งซันรูฟแบบพาโนรามิก (เฉพาะรุ่น X) ซึ่งขนาดคิดเป็น 90% ของหลังคา จึงมีส่วนช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับรถรุ่นนี้ได้ไม่น้อย ขณะเดียวมิติของห้องโดยสารนับว่าออกแบบจัดสรรพื้นที่ให้มีความกว้างแบบเหลือๆ ทั้งส่วนของระยะ Head Room ระยะความห่างระหว่างเข่ากับคอนโซลหน้า หรือความห่างเข่ากับพนักพิงเบาะหน้าเมื่อต้องนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารแถวหลัง คนรูปร่างสูงใหญ่ขายาวก็นั่งได้สบาย ไม่ต้องกังวลว่านั่งแล้วเข่าจะติดหัวจะชนจนรู้สึกอึดอัด นอกจากนี้เบาะด้านหลังยังสามารถพับแยกส่วนได้แบบ 60:40 ส่วนพื้นเก็บสัมภาระด้านท้ายก็ปรับได้ 2 ระดับ โดยเพิ่มพื้นที่ขึ้นอีก 10 เซนติเมตร เรียกว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลายได้อย่างเหลือเฟือ
อีกหนึ่งความคุ้มค่าของรถรุ่นนี้คือ ระบบความปลอดภัยแบบ Synchronized Protection System ที่ติดตั้งมาให้ถึง 9 ระบบ ไม่ว่าจะเป็น ABS ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรกฉุกเฉิน, EBD ระบบกระจายแรงเบรก, EBA ระบบเสริมแรงเบรก, TCS ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล, CBC ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง, SCS ระบบความคุมการทรงตัว, HAS ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน , TPMS ตรวจสอบแรงดันลมยาง และ Emergency Stop Signal หรือระบบสัญญาณไฟเตือนเมื่อเบรกฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้ถึง 6 จุด
ทดสอบเสมือนใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน บนความหลากหลายของสภาพจราจร
สำหรับกิจกรรมการทดสอบครั้งนี้ทีมงาน บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมรถ MG ZS รุ่น X ให้สื่อมวลชนได้ขับทดสอบทั้งหมด 8 คัน และหลังจากฟังบรรยายรายละเอียดข้อมูลรถจากทีมงานฝ่ายเทคนิคเรียบร้อย ก็เริ่มทยอยออกเดินทางทันทีจากโรงแรม So Sofitel สาธร มีจุดหมายปลายทางที่ Centara Q Resort จังหวัดระยอง รวมระยะทางเกือบ 600 กิโลเมตร
เมื่อผ่านพ้นจากหัวถนนสาธร ก็ต่อเนื่องขึ้นทางด่วนจากถนนพระราม 4 มุ่งหน้าบางนา-บูรพาวิถี ก่อนตัดลงย่านบางวัวแล้วเข้าสู่ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 มอเตอร์เวย์ ซึ่งช่วงแรกต้องฝ่าสภาพจราจรที่ค่อนข้างคับคั่ง สัมผัสแรกที่รู้สึกได้ว่า MG ZS มีจุดเด่นชัดเจนคือ ‘ความคล่องตัวในการขับใช้งาน’ โดยเฉพาะในเมือง ซึ่งผสานกับพวงมาลัยที่สามารถเลือกระดับปรับโหมดความเบา-หน่วงได้ถึง 3 สเต็ป คือ 1.City ให้ความเบามือสุดๆ ชนิดที่คุณผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ขับได้สบาย 2.Standard หนืดกำลังดีเบามือกำลังเหมาะ 3.Sport ก็จะให้ฟิลลิ่งหน่วงๆ หนึบๆ บังคับทิศทางได้คมขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เมื่อไหร่ที่ผู้ขับเพิ่มความเร็วขึ้น ระบบก็จะปรับความหนืดของพวงมาลัยให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติซึ่งแปรผันตามความเร็วนั่นเอง
ต่อเนื่องมาถึงช่วงมอเตอร์เวย์-ชลบุรี สื่อมวลชนที่ร่วมทดสอบต่างก็ขยับปรับความเร็วเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 90-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งมีโอกาสได้สัมผัสกับสมรรถนะและอัตราเร่งอย่างเต็มที่ จากเครื่องยนต์เบนซินรหัส 15SC4 DOHC VTi-TECH 4 สูบ 1.5 ลิตร พละกำลัง 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบ/นาที โดยตัวเครื่องยนต์มีการปรับปรุงจังหวะการจุดระเบิดใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนชิ้นส่วนบางตัวให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิมและปรับค่า Friction หรือแรงเสียดทานให้น้อยลง อีกทั้งยังรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง E85 ผสานการทำงานด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อม Manual Mode
จากการไล่ระดับความเร็ว ในช่วง 60-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราเร่งและการตอบสนองค่อนข้างช้า รู้สึกชัดเลยว่าอืดหน่วงพอสมควร แม้ใช้การปรับโหมดเกียร์เป็นแมนวลช่วย ก็ยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่ทันอกทันใจเท่าไหร่นัก ทำให้การเร่งแซงอาจต้องกะระยะหรือจับจังหวะให้พอดี ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลพวงของเกียร์ที่ให้มาเพียง 4 จังหวะเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันความหฤหรรษ์กับเพิ่มขึ้น เมื่อความเร็วไต่ไปถึงระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป การเร่งความเร็วและการตอบสนองมาแบบลื่นไหล กดคันเร่งเติมเมื่อไหร่รถก็พร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าแบบต่อเนื่องทันที โดยช่วงความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,250 รอบ/นาที, 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 2,500 รอบ/นาที, 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง 2,275 รอบ/นาที, 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง 3,000 รอบ/นาที, 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง 3,250 รอบ/นาที และ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่อง 3,500 รอบ/นาที
ในส่วนของระบบช่วงล่าง ด้านหน้ามาในรูปแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม ซึ่งจากการหวดยาวๆ ด้วยความเร็วช่วง 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผ่านช่วงถนนจากชลบุรีไปยังระยอง เส้นทางส่วนใหญ่ไม่เรียบเนียนเหมือนมอเตอร์เวย์ มีสภาพชำรุดของผิวถนนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อขับรูดผ่านการซับแรงสะท้อนของช่วงล่างนับว่าทำงานได้ค่อนข้างดี ถึงไม่นุ่มมากแต่ก็ไม่แข็งจนรู้สึกกระด้างหรือโคลงเคลงจนเวียนหัว ส่วนในทางโค้งยาวๆ หรือต่อเนื่องก็ยังสามารถเคลื่อนผ่านไปได้แบบมั่นคง แม้ไม่ถึงกับคมนิ่ง แต่ก็เพียงพอและให้ความมั่นใจเมื่อใช้ความเร็ว
ด้านอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ช่วงบ่ายก่อนถึงจุดหมายปลายทาง Centara Q Resort จังหวัดระยอง ทีมงานเอ็มจีได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทดสอบขับ เพื่อพิสูจน์ตัวเลขความประหยัดกับระยะทาง 80 กิโลเมตร โดยกำหนดเวลาไว้ 90 นาที ในสภาพจราจรที่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งเขตเมืองซึ่งต้องผ่านจุดแยกจุดตัด มีสภาพจราจรคับคั่ง รวมถึงทางคดโค้งต่อเนื่องในถนนสายรองสองเลนสวน ซึ่งจากตัวเลขบนจอแสดงผลบนรถ สื่อมวลชนที่ร่วมทดสอบสามารถทำออกมาได้ดีที่สุดคือ 20.5 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนอัตราสิ้นเปลืองมากสุดอยู่ที่ 16 กิโลเมตร/ลิตร
MG ZS ทำตลาด 3 รุ่น C ราคา 679,000 บาท, D 729,000 บาท และ X 789,000 บาท มีให้เลือก 5 สี แดงสกาเลตต์เรด (Scarlet Red), ฟ้ามารีน่าบลู (Marina Blue), เงินซิลเวอร์เมทัลลิก (Silver Metallic), ขาวอาร์คติคไวท์ (Arctic White) และดำแบล็คไนท์ (Black Knight) โดยลูกค้าที่ซื้อ MG ZS จะได้รับแพ็คเกจใช้งานระบบอัจฉริยะ i-SMART ฟรี เป็นระยะเวลา 5 ปี และได้รับความอุ่นใจกับการบริการแพสชั่น เซอร์วิส (Passion Service) ด้วยการรับประกันคุณภาพนาน 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) และศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (MG Call Centre) ตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงบริการเช็คระยะนอกสถานที่ (Mobile Services)
สรุป ภาพรวมการทดสอบขับ ด้วยระยะทางเกือบ 600 กิโลเมตร บนสภาพจราจรที่หลากหลายทั้งในเขตเมืองที่จราจรคับคั่งหรือการขับยาวๆ ข้ามจังหวัด MG ZS (X) นับว่าให้ความคุ้มค่าอย่างมากในช่วงเวลานี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาที่ไม่ถึง 8 แสนบาท กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่มีอย่างพอเพียง อีกทั้งยังมีลูกเล่นของเทคโนโลยี i-Smart ให้ใช้งานอย่างสนุก ขนาดความกว้างของห้องโดยสารก็รองรับการใช้งานได้อเนกประสงค์ วัสดุที่เลือกใช้รวมๆ นับว่าไม่ขี้ริ้วขี้เหล่อะไร ระบบความปลอดภัยก็ติดตั้งมาให้แบบจัดเต็ม ขณะที่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แม้ค่อนข้างอืดๆ ในช่วงต้น แต่ก็ทดแทนด้วยการตอบสนองอย่างสนุกเร้าใจในช่วง 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งหากผู้สนใจยอมรับ และเข้าใจได้กับคาแร็คเตอร์ภายใต้ประสิทธิภาพระดับนี้ MG ZS พร้อมตอบโจทย์คุณได้อย่างคุ้มค่าแน่นอน
รูปภาพ และผู้เขียน : ระพี มาประสพ
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
รับจองรถยนต์ MG ทุกสีทุกรุ่นค่ะ
สาขาราชพฤกษ์
สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียด โปรโมชั่นดีๆ ก่อนได้ค่ะ ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องไฟแนนซ์
บี : 084-0050440
Line ID : beblaire
หรือ http://line.me/ti/p/N2I4DFMQGA