คุณรู้จักหลอดไฟหน้ารถดีแค่ไหน !

คุณรู้จักหลอดไฟหน้ารถดีแค่ไหน !

เชื่อว่านักขับมือใหม่หลายๆ ท่านอาจจะมองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญกับไฟหน้ารถเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่มักคิดว่าก็แค่ทำหน้าที่ส่องสว่างเท่านั้น จะสนใจอะไรมากมายเสียเมื่อไหร่ก็ให้ช่างให้อู่เปลี่ยนก็จบ ทั้งที่ความจริงหากผู้เป็นเจ้าของศึกษาและทำความเข้าใจ ก็ย่อมส่งผลดีต่อการเลือกซื้อและการใช้งานได้โดยตรง ไม่ว่าประเภทหรือชนิดของหลอดไฟ ค่าความสว่างที่ปลอดภัยไม่ผิดกฎหมายหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ร่วมถนน รวมถึงไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้จำหน่ายหลอดไฟที่ไม่ได้คุณภาพ

สำหรับประเภทของหลอดไฟรถยนต์ หลักๆ ที่ใช้ติดตั้งมี 3 ประเภท คือ หลอดไฟฮาโลเจน, หลอด HID หรือซีนอน และ LED โดยแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติ ความสว่าง และหลักการทำงานที่แตกต่างกันออกไป

– หลอดไฟฮาโลเจน เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ขดลวดทังสเตน (Tungsten) ภายในหลอดไฟมีก๊าซฮาโลเจนบรรจุอยู่ แสงสว่างที่เกิดจากหลอดฮาโลเจน มาจากการเผาขดลวดให้เปล่งแสงสว่างออกมาให้เกิดความร้อนและเกิดการระเหยของทังสเตน  ก๊าซฮาโลเจนที่อยู่ภายในหลอดไฟทำหน้าที่หมุนเวียนและจับตัวกับทังสเตนที่ระเหยออกมา เพื่อไม่ให้ไอระเหยนั้นไปเกาะผิวแก้วด้านในของหลอด และยังช่วยนำพาทังสเตนที่ระเหยกลับไปยังขั้วหลอดเมื่ออุณหภูมิเย็นลง โดยหน้าที่ของก๊าซฮาโลเจนนั้นช่วยให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น และช่วยให้หลอดไฟไม่หมองจากไอระเหยของทังเสตนที่ระเหยออกมา

– หลอดไฟรถยนต์ HID หรือที่เรารู้จักกันทั่วไปว่า ‘ซีนอน’ แตกต่างไปจากหลอดไฟฮาโลเจน การสปาร์คของหลอดไฟประเภทนี้ นั้นต้องใช้แรงดันไฟสูงถึงประมาณ 22,000 โวลท์ จึงต้องมีบัลลาสท์ควบคุมแรงดันไฟ ภายในหลอดมีก๊าซเฉื่อยที่ชื่อว่าซีนอนบรรจุอยู่ ทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟภายในหลอดให้คงที่ เมื่อสปาร์คและเกิดแสงสว่างแล้ว แรงดันไฟจะกลับมาอยู่ที่ 12 โวลท์ และใช้กำลังไฟ 35 วัตต์ โดยหลอดไฟ HID นั้นใช้กำลังไฟน้อยกว่าหลอดไฟฮาโลเจน แต่ให้ความสว่างที่มากกว่าและอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดฮาโลเจน

– LED นั้นย่อมาจาก Light Emitting Diode โดยสามารถแปลได้ตรงๆ ว่า ‘ไดโอดที่ปล่อยแสงออกมา’ การกำเนิดแสงจาก LED นั้นแตกต่างจากหลอดฮาโลเจนที่ใช้การจุดไส้หลอด เพื่อให้เกิดแสงสว่าง หรือหลอด HID ที่ใช้แรงดันไฟสูงเพื่อ สปาร์คกระแสไฟ ภายในหลอดให้เกิดแสงสว่าง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลอดฮาโลเจนและ HID ใช้ พลังงานมากและมีความร้อนสูงLED กำเนิดแสงด้วยการจ่ายกระแสไฟเข้าสู่ LED เพื่อให้ LED ปล่อยแสง ออกมาโดยตรง ซึ่งใช้พลังงานน้อยในการกำเนิดแสงและแสงที่ออกมาก็มีความร้อนน้อยเช่นกัน

ความสว่างมีค่า K เป็นตัวแปร เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินหรือคุ้นหูเกี่ยวกับค่า K นี้อยู่บ้าง เพราะผลิตภัณฑ์หลอดไฟส่วนใหญ่มักมีอักษรนี้กำกับอยู่ โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายผลิตชุด HID 7000K, 8000K ไปจนถึง 12000K หรือเกินกว่านั้น หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าหลอดซีนอน 7000K-12000K สว่างกว่า คุ้มกว่าและประสิทธิภาพสูงกว่าหลอดที่มีค่า K ต่ำกว่า ทั้งความจริงอุณหภูมิสี (เคลวิน K) นั้นแปรผันกับความสว่าง (ลูเมนส์ lm) และถ้าค่า K สูงขึ้น ความสว่างจะน้อยลง เช่น หลอด OEM 4100K ที่ 12.8 โวลต์ ให้ความสว่างที่ 3,200 ลูเมนส์ ส่วนหลอด 5800K ที่ 12.8 โวลต์ให้ความสว่างที่ 2,400 ลูเมนส์ ขณะที่หลอดฮาโลเจนโดยทั่วไปจะให้ความสว่างที่ 800 ลูเมนส์เท่านั้น

นอกจากนั้นค่า K (อุณหภูมิสี) ที่สูง หรือแสงโทนฟ้าเข้ม ก็ยังมีแนวโน้มที่จะฟุ้ง (Glare) เข้าตาผู้ร่วมทาง และทำให้เกิดอาการล้าทางสายตาได้ง่ายกว่าด้วย สำหรับรถยุโรป เช่น Benz, BMW และ Audi จะเห็นว่าไฟหน้า HID ของรถทั้ง 3 ยี่ห้อเป็นสีฟ้าอมม่วง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วทั้งหมดใช้หลอดที่มีอุณหภูมิสีเพียง 4100K เท่านั้น แต่ที่ได้สีออกมาเป็นน้ำเงินเข้ม เป็นผลจากส่วนประกอบต่างๆ ในโคมไฟหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวโปรเจกเตอร์ เลนส์ โคมสะท้อนแสง หรือแผ่นชิลด์ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นเดียวกับแก้วปริซึม ซึ่งต่างจากการใช้หลอดที่มีสีน้ำเงินหรือม่วง

นอกจากการใช้ HID สีน้ำเงินหรือม่วง ไม่เพียงแค่ทำให้สมรรถนะของระบบไฟหน้าลดลงเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายกับผู้ร่วมทางด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถสวนมา เพราะแสงสีน้ำเงินเป็นแสงที่มีการกระจายตัวสูง คุณสมบัติของมันจะแพร่กระจายออกไปทางด้านข้างมากกว่าจะพุ่งตรงไปข้างหน้า ผลก็คือเกิดการฟุ้งของแสงออกนอกแพ็ตเทิร์นที่ทางผู้ผลิตรถยนต์ได้ออกแบบไว้และยอนเข้าตาของผู้ที่ขับรถสวนทางมา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุรุนแรงได้

เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนหลอดไฟ หลายคนมักปล่อยให้เสียแบบกลางอากาศคือดับขณะที่กำลังขับรถอยู่ หรือคนที่ไม่สนใจหรือสังเกต อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไฟรถตัวเองไม่ติด โดยปกติแล้วหลอดไฟหน้ารถที่เราขับใช้งานกันอยู่ทุกๆ วัน ไม่ได้พังกันง่ายๆ และมีอายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน เพราะส่วนใหญ่โดยทั่วไปคนเราใช้งานรถเวลากลางคืนน้อยกว่ากลางวัน หลอดไฟจึงไม่ขาดง่ายๆ แต่ความสว่างย่อมลดลงบ้าง ฉะนั้นให้เราหมั่นสังเกตดูความเปลี่ยนแปลง เมื่อไหร่รู้สึกว่าไฟเริ่มไม่สว่าง แม้ล้างโคมแล้วก็ยังขุ่นๆ มัวๆ อยู่ นั่นหมายถึงว่าไฟเสื่อมสภาพ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนหลอดไฟได้แล้ว ที่สำคัญแม้ว่าไฟจะเสียข้างเดียวก็ควรเปลี่ยนทั้งคู่ เพราะการเปลี่ยนที่ละข้างก็จะทำให้สว่างไม่เท่ากัน ซึ่งส่งผลต่อการใช้งานโดยตรง

เลือกหลอดไฟเกรดไหนดี แน่นอนว่าการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หลอดไฟ ควรเลือกแบรนด์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในตลาด อย่าเลือกเพราะราคาถูกอย่างเดียว เนื่องจากการเลือกหลอดไฟที่ดีย่อมส่งผลโดยตรงต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพความสว่าง ความปลอดภัยในการใช้งาน อายุการใช้งานที่คงทนยาวนาน

ทำไมต้องหลอดไฟของ ‘OSRAM’ ออสแรมเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับแสงสว่างจากเยอรมนี และหลอดไฟรถยนต์ ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจหลัก ออสแรมได้เริ่มพัฒนาและผลิตหลอดไฟส าหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ตั้งแต่ปี 1919 และในปัจจุบัน ด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง รวมถึงการพัฒนานวัตกรรม ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ออสแรมได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการผลิตหลอดไฟรถยนต์ ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั่วโลก

ชุดไฟซีนอน HID Kit อันดับหนึ่งจากประเทศเยอรมนี OSRAM ผู้ผลิตหลอดไฟอันดับหนึ่งของโลก ได้ออกแบบชุดซีนอนมาตรฐานสูงสุดสำหรับการอัพเกรดระบบไฟส่องสว่างด้านหน้า มีให้เลือกหลายหลายขั้วทั้งแบบ H1 H4 H7 H11 HB1 และ HB4 ครอบคลุมทุกการติดตั้ง ทั้งไฟหน้า ไฟสูง และไฟตัดหมอก

HID Conversion Kit OSRAM 6000K HID (High Intensity Discharge) หรือหลอดซีนอน เทคโนโลยีไฟส่องสว่างที่ต่างไปจากระบบฮาโลเจนปกติ แสงของหลอดฮาโลเจนจะเกิดจากการเปล่งแสงของขดลวดความต้านทาน ขณะที่แสงของ HID จะเกิดจากการปล่อยกระแสไฟฟ้าให้วิ่งผ่านก๊าซซีนอน คล้ายกับการทำงานของหลอดนีออนฟลูออเรสเซนต์การสปาร์คครั้งแรกจะใช้แรงดันไฟสูงถึง 25,000 โวลต์ ก่อนจะลดระดับลงมาเป็นไฟเลี้ยงที่ 35 วัตต์ 12 โวลต์

ข้อดีของระบบ HID กินไฟต่ำกว่าฮาโลเจน 3 เท่า (HID = 35 วัตต์, ฮาโลเจน = 55-100 วัตต์ สว่างกว่าฮาโลเจน 4 เท่า (HID = 2400-3200 ลูเมนส์, ฮาโลเจน = 800-1700 ลูเมนส์) มีความเข้มของแสงสูงกว่าฮาโลเจน 10 เท่า (HID = 202,500 แรงเทียน, ฮาโลเจน = 21,000 แรงเทียน) ที่สำคัญมีอายุใช้งานนานกว่าฮาโลเจน 6 เท่า (HID = 2,500 ชั่วโมง, ฮาโลเจน = 400 ชั่วโมง)

หลอดไฟหน้ามีอยู่หลายลักษณะ ตามมาตรฐานต่างๆ เช่น  H1,H2,H3,H4,HB3,HB4 ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะของขั้วหลอดและรูปทรง

สนใจผลิตภัณฑ์หลอดไฟจาก OSRAM สามารถสอบถามรายละเอียดได้ทาง www.facebook.com/OsramTHAI