รีวิว ISUZU D-MAX Hi-Lander 1.9 Ddi Z-Prestige เติมเต็มความสดใหม่ผสานดีไซน์พรีเมี่ยมยิ่งขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถปิกอัพเป็นยานยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องใช้ประกอบอาชีพทำมาหากิน ด้วยเหตุผลของอรรถประโยชน์ที่สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลาย
ซึ่งในอดีตบางคนอาจมองว่าความสะดวกสบายตลอดจนความคล่องตัวในการใช้งาน อาจไม่ดีเหมือนรถเก๋งหรือรถประเภทอื่น และจากข้อจำกัดต่างๆ
ทำให้ผู้ผลิตได้ปรับปรุงพัฒนารถปิกอัพให้มีคุณสมบัติที่สามารถตอบโจทย์ได้ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
อีซูซุเป็นหนึ่งในแบรนด์รถปิกอัพชั้นนำของไทยมีความเข้าใจและให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้ใช้รถยุคใหม่มากขึ้น
โดย ISUZU D-MAX Hi-Lander 1.9 Ddi Z-Prestige โมเดลปี 2018 เป็นรถปิกอัพรุ่นล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น พร้อมดีไซน์ที่สดใหม่เร้าใจกว่าเดิม เพิ่มเติมฟังก์ชั่นล้ำสมัย โดยเน้นไปที่การใช้งานง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น สามารถตอบทุกไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด UNIVERSAL DESIGN
ภายนอกเติมเต็มรายละเอียดเพิ่มความสดใหม่ รูปลักษณ์ภายนอกของ ISUZU D-MAX Hi-Lander 1.9 Ddi Z-Prestige เสมือนได้รับการแต่งหน้าทาปากใหม่ เพื่อสะท้อนออกมาเป็นดีไซน์ที่ลงตัวมากขึ้น โดยปรับเปลี่ยนและเติมความสดใหม่เข้าไปในหลายๆ จุด
บริเวณด้านหน้ามีการเปลี่ยนมาใช้ไฟหน้าแบบ Bi-LED ให้พื้นที่ความสว่างมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานน้อยลง อีกทั้งยังสามารถปรับความสูง-ต่ำได้ 4 ระดับ (โมเดลปี 2017 ไม่มี) พร้อม Multifunctional Daylight แบบ Built-in ดีไซน์ใหม่สปอร์ตลงตัว ซึ่งเป็นทั้งไฟส่องสว่างเวลากลางวันและไฟหรี่เวลากลางคืน ส่วนตัวกรอบไฟด้านบนมีการเสริมด้วยแถบโครเมียม ซึ่งลากยาวต่อเนื่องมาจากชุดกระจังหน้าช่วยให้รถดูสะดุดตาขึ้นอย่างชัดเจน
ในส่วนของแผงกระจังหน้าแบบโครเมียมได้รับการออกแบบใหม่ ให้มิติแห่งพลังและดูหรูหรามีระดับ ผสานกับกรอบไฟตัดหมอกแบบโครเมียมดีไซน์ใหม่ รับกับกันชนหน้าใหม่ที่มีความโฉบเฉี่ยวเร้าใจอย่างลงตัว (ขนาดกรอบไฟตัดหมอกรุ่นปี 2018 ใหญ่กว่าและมีตำแหน่งครอบอยู่ตรงกันข้าม)
กระจกมองข้างแบบโครเมียมปรับ-พับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว ส่วนเสาประตูข้างเปลี่ยนเป็นสีดำ (Blackout Film) ถัดลงมาบริเวณชายล่างเสริมความแกร่งด้วยบันไดข้างดีไซน์ใหม่แบบชิ้นเดียว ซึ่งมีการเพิ่มลวดลายผิวสัมผัส เพื่อป้องกันการลื่นไถลขณะที่เหยียบขึ้น-ลงรถ ซึ่งรุ่นปี 2018 มีลักษณะเหมือนแถบยางดำเซาะร่องแนวนอน เหนือขึ้นไปที่หลังคาเสริมความเท่ทันสมัยด้วยเสาอากาศแบบ Shark Fin หรือครีบฉลาม (เฉพาะ Z-Prestige เท่านั้น) ถัดต่ำลงมาเป็นไฟเบรกดวงที่ 3
ส่วนด้านท้ายดีไซน์เส้นสายใหม่พร้อม Built-in Spoiler บึกบึนเต็มอารมณ์สปอร์ต สำหรับมือจับเปิดฝาท้ายเป็นโครเมียมซึ่งมีกล้องมองหลังฝังติดอยู่ด้วย ขณะที่ไฟท้ายยังเป็นแบบ LED ผสานความเท่ด้วยล้อแม็กดีไซน์ใหม่ ลายก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง BRIDGESTONE DUELER H/T ขนาด 255/60 R18
กระจกมองข้างแบบโครเมียมปรับ-พับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว
เสาประตูข้างเปลี่ยนเป็นสีดำ Blackout Film
บันไดข้างดีไซน์ใหม่แบบชิ้นเดียว ซึ่งมีการเพิ่มลวดลายผิวสัมผัส
ล้อแม็กดีไซน์ใหม่ลายก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง BRIDGESTONE DUELER H/T ขนาด 255/60 R18
มิติตัวรถ ยาว 5,200 มม. กว้าง 1,860 มม. สูง 1,795 มม. ระยะฐานล้อ 3,095 มม. ความกว้างช่วงล้อหน้า/หลัง 1,570/1,570 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 235 มม. น้ำหนักรถโดยประมาณ 1,830 กก. ความจุถังน้ำมัน 76 ลิตร
ภายในห้องโดยสารจัดเต็มความสะดวกสบายพร้อมดีไซน์พรีเมี่ยมยิ่งขึ้น สำหรับรายละเอียดภายในห้องโดยสาร หากมองแบบผ่านๆ หลายคนอาจคิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมนัก แต่หากสังเกตดูจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีการปรับเปลี่ยนแปลงใหม่ในหลายจุด
ไม่ว่าจะแผงประตูที่มีการตกแต่งด้วยแถบวัสดุแบบ Piano Black โดยในตำแหน่งพนักพิงแขนมีการบุนวมให้ความรู้สึกนุ่มสบาย และหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สีน้ำตาล (โมเดล 2017 เป็นพนักพิงพลาสติกล้วนตกแต่งด้วยแถบสีเงิน) สะท้อนความพรีเมี่ยมมากขึ้นโดยเลือกใช้วัสดุหุ้มเบาะทั้งชุด-ฝาปิดคอนโซลกลางด้วยหนังสังเคราะห์สีน้ำตาล ในขณะที่เบาะฝั่งผู้ขับสามารถปรับ-เลื่อนได้ด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าก็เป็นแบบ ELR 3 จุด ดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ พร้อมสามารถปรับระดับได้เพื่อรองรับกับสรีระที่แตกต่างกันไป
ส่วนบริเวณคอนโซลกลางและช่องแอร์ด้านหน้ามีการเลือกใช้วัสดุตกแต่งแบบ Piano Black และแถบโครเมียม
ฝาเก๊ะเก็บของด้านบนฝั่งผู้โดยสาร ได้รับการหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์และตกแต่งด้วยแถบ Piano Black พร้อมสัญลักษณ์ D-MAX
สำหรับที่นั่งแถวสองก็เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร ด้วยพนังวางแขนที่ง้างออกและเก็บจากพนักพิงเบาะได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความอเนกประสงค์ด้วยเบาะที่สามารถพับได้แบบ 60:40 พร้อมจุดยึดที่นั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX)
เต็มอรรถรสความบันเทิงด้วย ISUZU iCONNECT สะดวกและใช้งานได้ง่ายด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว สามารถเล่นทั้ง CD/DVD/MP3/WMA/AAC พร้อมระบบ Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi Dongle รวมทั้งมีระบบ Bluetooth เชื่อมต่อระบบโทรศัพท์ พร้อมฟังก์ชั่นบลูทูธออดิโอ ฟังเพลงผ่านบลูทูธอุ่นใจในทุกการขับขี่ด้วยระบบนำทางพร้อมแผนที่แบบ Built-in Navigator
นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกรองรับอุปกรณ์สื่อสาร-สมาร์ทโฟน ด้วยช่อง USB ชาร์จไฟ 2 ตำแหน่งที่ด้านหน้าใต้สวิตช์แอร์และด้านหลังคอนโซลกลาง เพิ่มความปลอดภัยด้วยกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอดแบบ Built-in พร้อมเส้นกะระยะ Lane Guide
เต็มอารมณ์ความสุนทรีภาพแห่งการฟังเพลงกับ ISUZU SURROUND SYSTEM ด้วยลำโพงถึง 8 ตัว พร้อม Roof Speaker ลำโพงพิเศษบนเพดาน เพิ่มมิติเสียงให้ความรู้สึกดั่งเสียงระดับ Hi-end กระหึ่มรอบทิศทาง
เท่มีสไตล์ด้วยเรือนไมล์ Super Vision ดีไซน์แบบ 3D Shape Point พร้อมหน้าจอ Color Display MID แสดงข้อมูลการขับขี่อย่างละเอียด ส่วนพวงมาลัยหุ้มด้วยหนังพร้อมสวิตช์มัลติฟังก์ชั่นเพิ่มความสะดวกสบายในขณะขับขี่ และให้ความเย็นสบายอย่างทั่วถึงทุกมุมของห้องโดยสาร ด้วยระบบปรับความเย็นแบบอัตโนมัติ
ระบบ Push Start ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ พร้อม ISUZU Genius Entry
ขุมพลัง 1.9 ลิตร ขับสนุกอย่างเพียงพอ เครื่องยนต์ ISUZU D-MAX 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ รหัส RZ4E-TC 1,900 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่น พร้อม VGS เทอร์โบและอินเตอร์คลูเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที
โดยเครื่องยนต์บล็อกนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด ‘The Power of Less’ มีเป้าหมายสำคัญสูงสุด 3 ด้านคือ กำลังเครื่องยนต์สูงสุด ค่ามลพิษต่ำสุด ประหยัดน้ำมันสูงสุด รวมทั้งต้องมีแรงม้าและแรงบิดเพียงพอสำหรับรถปิกอัพขนาด 1 ตัน และสามารถรองรับการใช้งานกับรถบรรทุกขนาดกลาง ที่มีน้ำหนักบรรทุกรวมถึง 5 ตันได้ในอนาคต
เน้นความอึดและคงทน โดยเสื้อสูบเป็นแบบ Melt-in Liner ชุบแข็งแบบเหนี่ยวนำด้วยคลื่นความถี่สูง ลิขสิทธิ์เฉพาะอีซูซุ หัวฉีดใหม่เคลือบด้วยสารพิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งทนทาน รวมทั้งมี Oil Galleries ช่องกักเก็บน้ำมันเครื่องและ Shower Spray ที่ฝาครอบวาล์ว ปกป้องเครื่องยนต์ได้ทันทีตั้งแต่สตาร์ทยืดอายุการใช้งาน ช่วยลดการสึกหรอได้ดีเยี่ยม ในขณะเดียวกันชุดกระเดื่องกดวาล์วก็พัฒนาใหม่เป็นแบบลูกกลิ้ง Roller Rocker Arm พร้อมระบบปรับตั้งระยะวาล์วอัตโนมัติ* (Hydraulic Lash Adjuster) ไม่ต้องบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน
และยังติดตั้งระบบหล่อเย็นน้ำมันเครื่อง ช่วยลดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องเพิ่มประสิทธิภาพการหล่อลื่น เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ โดยออกแบบระบบโพรงน้ำใหม่เป็นแบบแยกเฉพาะสูบ ให้น้ำไหลแนวขวางผ่านทุกกระบอกสูบ ช่วยยืดอายุการใช้งาน เช่นเดียวกับท่อร่วมไอเสียพัฒนาใหม่เพิ่มส่วนผสมของสาร Molybdenum ช่วยให้สามารถทนความร้อนได้สูงกว่าเดิม
สำหรับระบบส่งกำลัง ในรุ่นที่เรานำมารีวิวเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ พร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต Rev Tronic สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เฉกเช่นเกียร์ธรรมดา รวมทั้งยังมีโอเวอร์ไดร์ฟ (2 ตำแหน่ง ที่เกียร์ 5-6) อัตราทดเกียร์ เกียร์ 1/3.600, 2/2.090, 3/1.488, 4/1.000, 5/0.687, 6/0.580 และเกียร์ถอยหลัง 3.732 อัตราทดเฟืองท้าย 4.1 นอกจากนี้ยังมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และโอเวอร์ไดร์ฟ (2 ตำแหน่ง ที่เกียร์ 5-6) เป็นทางเลือก ด้านระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ทำให้ควบคุมพวงมาลัยได้อย่างเบามือและแม่นยำ
ทันสมัยด้วยอีซูซุอินไซท์ เทคโนโลยีวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่หนึ่งเดียวแห่งวงการปิกอัพ ช่วยแนะนำให้ผู้ขับสามารถพัฒนาการขับขี่ของตนเอง ทั้งด้านความประหยัดน้ำมันและความปลอดภัยได้เต็มศักยภาพยิ่งขึ้น
ระบบช่วงล่างมั่นใจได้พร้อมให้ความนุ่มนวล ขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยด้วย i-GRIP Platform โดยมีการวางตำแหน่งเครื่องยนต์แบบ Semi-midship ช่วยกระจายน้ำหนักให้สมดุลยิ่งขึ้น สำหรับระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง-เหล็กกันโคลง พร้อมโช้กอัพแก๊ส ส่วนด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นรูปครึ่งวงรี (แหนบเหนือเพลา พร้อมโช้กอัพแก๊ส ขณะที่ระบบหยุดยั้งความเร็วด้านเป็นดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นดรัมเบรก
อัดแน่นระบบความปลอดภัย ให้ทุกการเดินทางอุ่นใจมากขึ้น ทั้งความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งประกอบด้วย HDC ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, HSA ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ABS ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรก, EBD ระบบกระจายแรงเบรก, BA ระบบเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ , ESC ระบบควบคุมการทรงตัว, TCS ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ในขณะที่ระบบความปลอดภัยปกป้องขณะเกิดอุบัติเหตุ ประกอบด้วย High Tensile Strength Steel หรือโครงสร้างตัวถังแบบเหล็กกล้า แข็งแกร่งสามารถดูดซับแรงกระแทกภายในห้องโดยสารได้ดี Dual SRS Airbags & Pretensioner with Load Limiter Safety Belt แอร์แบคคู่หน้า ที่ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ รวมไปถึงแกนพวงมาลัยและแป้นเบรกที่ยุบตัวได้
ช่วงทดลองขับ ในด้านสมรรถนะและพละกำลังของเครื่องยนต์ ISUZU D-MAX Hi-Lander 1.9 Ddi Z-Prestige ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการแบกน้ำหนักตัวรถและผู้ขับแล้วก็เกือบตันเก้า (1,900 กก.) ภายใต้พละกำลังระดับ 150 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร แบบแฟลตทอร์ค ก็ถ่ายทอดอัตราเร่งออกมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจ ช่วงออกตัวหรือจังหวะความเริ่มต้นตอบสนองได้ดีไม่อืดไม่หน่วง จังหวะเร่งแซงก็กดคันเร่งทะยานออกไปได้อย่างทันอกทันใจ แต่ในช่วงความเร็วลอยตัวระดับ 130-140 กม./ชม.ขึ้นไป หากต้องการกดคันเร่งเพื่อเติมความเร็วอาจจะรู้สึกว่ารถหนืดๆ หน่วงๆ ไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ส่งผลกระทบหรือมีปัญหาต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะตามความเร็วเฉลี่ยที่ใช้กันบนท้องถนนส่วนใหญ่ก็อยู่ประมาณ 100-120 กม./ชม. ขณะเดียวกันระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ก็ถ่ายทอดกำลังได้ค่อนข้างเนียน การเปลี่ยนอัตราทดราบเรียบและต่อเนื่อง
สำหรับการควบคุมรถหลายคนมักเชื่อและเข้าใจเสมอว่า รถปิกอัพเมื่อใช้งานในเมืองหรือที่จราจรแออัดไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ทว่าเมื่อได้ลองขับจริงบนถนนเพชรเกษม ซึ่งใครที่เคยผ่านไปผ่านมาย่านนี้ ก็จะรู้ดีว่าติดขัดขนาดไหน ทั้งรถเมล์ที่จอดเข้าป้ายรับคนแทบทุกซอย จุดกลับรถถี่ๆ ใกล้กัน แถมบางช่วงก็ยังทำถนนอีก ซึ่งก็พบว่าในการใช้งานก็ไม่รู้สึกว่าขับได้ยากลำบากเท่าไรนัก การเปลี่ยนเลนหลบรถช้าหรือจอด ตลอดจนเบี่ยงหลบช่องจราจรที่ซ่อมแซมอยู่กับทำได้ง่ายคล่องตัว
ที่สำคัญการบังคับพวงมาลัยก็ไม่หนักมือ คุณผู้หญิงก็สามารถขับใช้งานได้ เพราะระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียนที่พร้อมกับเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ที่สำคัญด้วยความสูงของรถซึ่งเอาเข้าจริง ก็ให้ทัศนะวิสัยในการมองรอบๆ ด้านได้ดี แต่ทว่าคนที่ไม่คุ้นเคยกับการขับปิกอัพก็ต้องปรับตัวสักระยะ รับรองว่าจะขับได้อย่างมั่นใจน่นอน
ในส่วนของระบบช่วงล่าง ใครที่เคยขับอีซูซุมาก่อนจะรู้เลยว่าคาแร็คเตอร์ของแบรนด์นี้จะออกไปทางนุ่มๆ มีอาการโคลงเคลงอยู่บ้าง แต่ในรุ่นใหม่ทั้งโมเดลปี 2017-2018 ทีมวิศวกรได้พยายามแก้ไขและปรับปรุงช่วงล่างให้มีความแน่นมากขึ้น ซึ่งก็ช่วยลดอาการโคลงได้พอสมควร แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงสไตล์นุ่มๆ ไว้เช่นเดิมและยึดเกาะถนนได้ดี สำหรับการหยุดยั้งความเร็วก็ทำได้ในระดับที่น่าพอใจ สามารถรองรับพละกำลังของเครื่องยนต์ได้อย่างเหมาะสม ที่สำคัญมีตัวช่วยในการเบรกมากมายทั้ง ABS, EBD และ BA จึงช่วยให้การหยุดหรือชะลอความเร็วทำงานได้อย่างมั่นใจ
สรุป ISUZU D-MAX Hi-Lander 1.9 Ddi Z-Prestige รุ่นโมเดลปี 2018 แม้ไม่ใช่รุ่นโมเดลเช้นจ์ เป็นเพียงรุ่นปรับโฉม แต่งหน้าทาปากใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในบางจุด แต่ทว่าก็สามารถช่วยเติมเต็มและปรับภาพลักษณ์ให้ตัวรถดูมีเสน่ห์น่าสนใจมากกว่าเดิม ผสานภายในห้องโดยสารซึ่งมีโดดเด่นเรื่องความกว้างขวาง มาพร้อมกับความพรีเมี่ยมและฟังก์ชั่นของอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับการใช้งานได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ภายใต้สมรรถนะเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร BLUE POWER ที่สามารถมอบการขับขี่ได้อย่างเร้าใจเพียงพอและให้ความประหยัดเป็นเลิศ ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 990,000 บาท นับว่าเป็นรถปิกอัพที่คุ้มค่า สามารถรองรับไลฟ์สไตล์การใช้งานในยุคปัจจุบันซึ่งต้องการความอเนกประสงค์อย่างลงตัว
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว ISUZU D-MAX Hi-Lander 1.9 Ddi Z-Prestige เติมเต็มความสดใหม่ผสานดีไซน์พรีเมี่ยมยิ่งขึ้น "