Group Test : รีวิว MITSUBISHI TRITON 2019 ลองแล้ว! ขับสนุก ลุยสบาย ช่วงล่างเฟิร์มขึ้น
หลังบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถกระบะเรือธงอย่าง ‘ไทรทัน’ ใหม่ ไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ล่าสุดก็ได้จัดกิจกรรมเชิญสื่อมวลชนกว่า 100 คน ร่วมพิสูจน์สมรรถนะที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยขับขี่ทั้งบนถนนหลวงรวมถึงการขับบนเส้นทางออฟโรดลัดเลาะตามแนวเขาสูงที่สุดในประเทศไทย เพื่อท้าทายคุณสมบัติของรถกระบะที่ได้รับการพัฒนาด้วยแนวคิด ‘แกร่ง ลุยทุกอุปสรรค’
แนวทางพัฒนาของ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ นอกจากปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลาแล้ว ยังเป็นช่วงเดียวกับจังหวะการฉลองครบ 40 ปีแห่งความสำเร็จของรถกระบะมิตซูบิชิ ทั้งในด้านการจัดจำหน่ายและการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต โดยได้รับการพัฒนาให้มีความโดดเด่นรอบด้าน ทั้งความทนทานแข็งแกร่ง สมรรถนะการขับขี่ที่มั่นใจได้ ตลอดจนความอเนกประสงค์ในการใช้งาน รวมถึงเทคโนโลยีและระบบขับเคลื่อน
รูปลักษณ์ภายนอก มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ดีไซน์ Advanced Dynamic Shield พร้อมรูปลักษณ์แข็งแกร่งและทรงพลัง เสริมให้ส่วนหน้ารถโดดเด่นด้วยความแกร่งกว่าเดิม ด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-LED พร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ (มีเฉพาะรุ่น Double Cab 4WD GT-Premium 6AT) และไฟตัดหมอกซึ่งติดตั้งบนตำแหน่งที่สูงจากพื้นกว่า 700 มม. ช่วยลดโอกาสต่อความเสียหายเมื่อต้องขับขี่บนเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังหรือจากเศษหินที่ลอยมาถูกด้านหน้าตัวรถ
ด้านข้างสะท้อนความบึกบึนด้วยโป่งซุ้มล้อที่ดีไซน์เป็นเหลี่ยมสัน ส่วนด้านหลังให้มุมมองที่โฉบเฉี่ยวกับสปอยเลอร์แบบ Ducktail ที่บริเวณขอบฝาปิด ไฟท้าย-ไฟเบรกมาในรูปแบบ LED พร้อม LED Light Guide เพิ่มความเท่ด้วยล้อแม็กทูโทนขนาด 18 นิ้ว ลงตัวด้วยยางขนาด 265/60 R18
มิติตัวถัง Double Cab 4WD GT-Premium A/T
ยาว 5,300 มม.
กว้าง 1,815 มม.
สูง 1,795 มม.
ระยะฐานล้อ 3,000 มม. (เท่าเดิม)
ความกว้างช่วงล้อ หน้า/หลัง 1,520 /1,515 มม.
ระยะความสูงจากพื้น 220 มม.
ความกว้างกระบะใน 1,470 มม.
ความยาวกระบะใน 1,520 มม.
น้ำหนักโดยประมาณ 1,960 กก.
ภายในห้องโดยสารของ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ สะท้อนความดุดันด้วยโทนสีเข้ม อุปกรณ์ทุกชิ้นออกแบบให้สะดวกต่อการใช้งาน เบาะที่นั่งโอบกระชับรับกับทุกสรีระหุ้มด้วยหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์ พร้อมระบบปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางด้านคนขับ อีกทั้งหลายจุดยังตกแต่งด้วยวัสดุที่ให้ผิวสัมผัสนุ่มรองรับการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น รองรับการใช้งานได้อเนกประสงค์ด้วยช่องเก็บของและจุดวางเครื่องดื่ม รวมถึงการติดตั้งช่อง USB ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งานสำหรับผู้โดยสารทั้งตอนหน้าและตอนหลัง
ภาคบันเทิงเต็มรูปแบบด้วยเครื่องเล่นวิทยุ DVD MP3 หน้าจอระบบสัมผัส มาพร้อมระบบนำทางที่ได้รับพัฒนาใหม่ เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และระบบเชื่อมต่อ Bluetooth แบบ A2DP ทันสมัยด้วยระบบแสดงข้อมูลในการขับขี่ผ่านจอแบบสีพร้อม 3D ANIMATION และมาตรวัดแบบไฮคอนทราสต์และกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูงขึ้น สะดวกด้วยพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน รองรับระบบสั่งงานด้วยเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ สวิตช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลในการขับขี่ที่พวงมาลัย และกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน ภายในห้องโดยสารยังมีช่องระบายความเย็นติดตั้งบนเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (มีเฉพาะรุ่น Double Cab 4WD GT-Premium 6AT)
เครื่องยนต์ รหัส 4N15 แบบ 4 สูบ 2.4 ลิตร 181 แรงม้า พร้อมแรงบิด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที พร้อมระบบ MIVEC (Mitsubishi Innovation Valve Timing Electronic Control) ควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วไอดีแปรผัน ทำงานสอดคล้องกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ควบคุมการทำงานด้วยสมองกลอัจฉริยะ ผสาน VG Turbo (Variable Geometry Turbo) เพิ่มประสิทธิภาพแรงอัดอากาศด้านไอดีให้สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ ด้วยเทอร์โบแปรผันที่สามารถควบคุมปริมาณไอเสีย เพื่อช่วยสร้างแรงอัดอากาศด้านไอดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงทั้งในรอบต่ำ รอบปานกลาง และรอบสูงอย่างต่อเนื่อง ทำงานร่วมกับอินเตอร์คลูเลอร์ขนาดใหญ่ ช่วยลดความร้อนไอดีได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไอดีมีความหนาแน่นมากขึ้น
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (Super Select 4WD II) เทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off- Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc สำหรับพื้นที่ลาดชันหรือลุยโคลนได้ตามต้องการ
Off-Road Mode ปรับรูปแบบการส่งกำลังเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว และเส้นทางในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เช่น พื้นกรวด พื้นโคลน พื้นทราย (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4HLc และ 4LLc) และพื้นหิน (ใช้งานควบคู่กับระบบ 4LLc) พร้อมระบบล็อกเฟืองท้ายหลัง ควบคุมการทำงาน ด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อหลัง ทั้งซ้ายและขวาหมุนเท่ากันตลอดเวลา ทำงานร่วมกับระบบ Center Differential Lock
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ คือโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE (Reinforced Impact Safety Evolution) ซึ่งพัฒนาขึ้นให้มีความทนทานและแข็งแกร่ง พร้อมปกป้องเพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น โครงสร้างและแชสซีส์ที่แข็งแกร่งนี้ ส่งผลให้ทีมวิศวกรสามารถทำการปรับแต่งระบบกันสะเทือนเพื่อยกระดับสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นได้อย่างเต็มที่ โครงสร้างที่มั่นคงยังช่วยลดเสียงจากแรงสั่นสะเทือนและความกระด้าง ส่งผลให้ภายในห้องโดยสารมิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่สามารถนั่งได้สบายยิ่งขึ้น รวมถึงการติดตั้งวัสดุป้องกันเสียงรบกวนและลดแรงสั่นสะเทือนในตำแหน่งสำคัญรอบตัวรถ
เทคโนโลยีระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันอัน มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ นับว่ามีให้อย่างครบครัน ทั้งระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ซึ่งกล้องและระบบเรดาร์เลเซอร์ตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนข้างหน้า, ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตาพร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน เพื่อเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถอยู่ด้านข้างขณะเปลี่ยนเลน, ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ตรวจจับว่ามีรถยนต์กีดขวางขณะถอยหลังหรือไม่ และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุเมื่อเหยียบคันเร่งไปข้างหน้าหรือถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ
เสริมความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยกล้องมองภาพรอบคัน (4 ตัว) ทำหน้าที่จับภาพรอบคัน พร้อมภาพมุมสูงที่แสดงสิ่งกีดขวางรอบคัน และเซ็นเซอร์กะระยะจอด เพื่ออำนวยความสะดวกในการจอดรถ โดยในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ยังติดตั้งระบบควบคุมรถขณะลงทางลาดชัน ช่วยรักษาความเร็วรถให้คงที่ขณะลงทางลาดชัน รวมถึงมีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ ซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เส้นทางการทดสอบ ระยะรวม 220 กิโลเมตร โดยรถมิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ที่ใช้ขับเป็นรุ่น Double Cab ขับเคลื่อนสี่ล้อทั้งหมด เริ่มสตาร์ทจากโรงแรมนอกตัวเมืองเชียงใหม่ สู่เส้นทางบนถนนสายหลักและถนนสายรอง รวมถึงเส้นทางแบบออฟโรด เพื่อให้ได้สัมผัสสมรรถนะการขับขี่ การควบคุมรถ ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนของระบบช่วงล่าง และเทคโนโลยีความปลอดภัย
โดยช่วงแรกของการทดสอบภาพรวมเป็นเส้นทางเรียบขึ้นดอยอินทนนท์ ขับไต่ระดับความสูงชันขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีโค้งสลับซ้ายขวาเกือบตลอด ทำให้สื่อมวลชนได้พิสูจน์พละกำลังได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ภายใต้ขุมพลัง MIVEC VG Turbo 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที พร้อมกับแรงบิดที่มีถึง 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที สามารถถ่ายทอดสมรรถนะออกมาให้รู้สึกอย่างชัดเจน โดยจังหวะที่ต้องการกำลังในช่วงไต่ทางชัน เมื่อกดคันเร่งลงไปการตอบสนองนับว่าค่อนข้างไวไม่มีอาการรอรอบให้รู้สึกกังวล ผสานการทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ ซึ่งค่อนข้างตัดต่อกำลังได้ไวและต่อเนื่อง ทำให้การขับนั้นทำได้อย่างลื่นไหล ที่สำคัญใช้รอบเครื่องไม่สูงมากนัก
ด้านอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตัวเลขที่เคลมจากโรงงาน (ทดสอบในแล็ปซึ่งจำลองสถานการณ์ทั้งขับในเมืองและนอกเมือง) อยู่ที่ 13.2 กม./ลิตร ส่วนตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองหลังการทดสอบในทริปนี้ ซึ่งขับบนถนนเรียบและออฟโรดในจอบนรถคำนวณออกมาอยู่ที่ 11.4 กม./ลิตร
เมื่อต้องเคลื่อนผ่านเส้นทางโค้งที่มีแบบต่อเนื่อง มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ นับว่าให้ความมั่นใจแก่ผู้ขับ กับระบบช่วงล่างด้านหน้าที่เป็นแบบอิสระปีกนกคู่ ส่วนด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อนติดตั้งเหนือเพลา ซึ่งทีมวิศวกรเผยว่ามีการปรับเปลี่ยนในส่วนโช้กอัพให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมจาก 42.7 มม. เป็น 45 มม. พร้อมกับปรับตั้งแหนบใหม่เพื่อลดความกระด้าง ทำให้ตลอดช่วงการขับบนทางเรียบและคดโค้ง รู้สึกได้ถึงความนิ่งหนึบและมั่นคงกว่ารุ่นเดิม อีกทั้งเมื่อต้องรูดผ่านถนนต่างระดับก็รู้สึกว่านุ่มนวลกว่าเดิมพอสมควร อย่างไรก็ดีก็มีจุดควรปรับปรุงคือ พวงมาลัยที่ค่อนข้างมีความหนักมือไปสักนิด ทำให้จังหวะการควบคุมพวงมาลัยผ่านทางโค้งแบบต่อเนื่องผู้ขับต้องออกแรงมาก สาเหตุคือระบบบังคับเลี้ยวนั้นแม้เป็นแรคแอนด์พิเนียนก็ตาม แต่ก็ยังแบบไฮดรอลิคอยู่ ซึ่งถ้าเป็นเป็นแบบไฟฟ้าก็จะทำให้การควบคุมรถสบายยิ่งขึ้นกว่านี้
เมื่อผ่านพ้นทางเรียบการขับทดสอบ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ต่อเนื่องด้วยการขับตะลุยบนเส้นทางอันสมบุกสมบันเลียบหน้าผา ปกคลุมไปด้วยผืนป่าที่งดงามแต่แฝงไว้ซึ่งอุปสรรคสุดท้าทายหลากหลายรูปแบบ ทั้งทางชันที่เปียกลื่น ตลอดจนสภาพพื้นผิวถนนแบบฝุ่น ขรุขระเป็นหลุมและบ่อโคลน เป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร ผ่านหน่วยจัดการต้นน้ำแม่จอนหลวงลัดเลาะขึ้นไปบนทิวเขาถนนธงชัยตะวันออก ไต่ขึ้นสู่เส้นทางออฟโรดขุนวางที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2,500 เมตร เพื่อทดลองระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล รวมถึงการควบคุมรถฝ่าอุปสรรคอย่างเหนือชั้น
การขับช่วงแรกรวมๆ ยังพอใช้ความเร็วได้ประมาณ 40-50 กม./ชม โดยเลือกใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในโหมด 4HLc หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง ซึ่งสามารถปรับตำแหน่งได้โดยที่ไม่ต้องหยุดรถ ช่วยรถสามารถเคลื่อนตัวผ่านทางชันและทางขรุขระได้ง่ายและลื่นไหล ขับต่อมาเรื่อยเส้นเริ่มมีอุปสรรคมากขึ้น ทั้งหลุมและรอยแยก มีพื้นผิวต่างระดับกว่าเดิมแถมเพิ่มเติมด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ รถคันนำซึ่งเป็นทีมอินสตรัคเตอร์จึงได้แนะนำให้เปลี่ยนมาใช้โหมด 4LLc หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ ซึ่งการเคลื่อนผ่านอุปสรรคต่างๆ ก็ทำได้อย่างง่ายดายไม่ติดขัด ด้วยพละกำลังแรงบิดที่มีให้เรียกใช้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งด้วยความสูงใต้ท้องรถถึง 220 มม. และด้วยล้อขนาดใหญ่ 18 นิ้ว ของ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ จึงทำให้สามารถขับฝ่าอุปสรรคได้อย่างไม่มีปัญหา สามารถขับไต่สิ่งกีดขวางได้ถึง 31 องศา (Approach Angle) หรือลาดต่ำลงทำมุม 23 องศา (Departure Angle) และสามารถขับคร่อมทำมุม 25 องศา (Breakover Angle)
นอกจากนี้ในช่วงทางแคบๆ ฝั่งซ้ายเป็นเขาฝั่งขวาเป็นเหว ก็ยังมีโอกาสได้ใช้ระบบความปลอดภัยกับกล้องมองภาพรอบคันหรือ Multi Around Monitor ที่ใช้กล้อง 4 ตัวจับภาพรอบคันพร้อมภาพมุมสูงที่แสดงสิ่งกีดขวางรอบคัน ซึ่งการใช้ก็ทำได้ง่ายพวงกดสวิตช์ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายภาพก็แสดงบนจอแบบเรียลไทม์ให้ผู้ขับได้เห็น การทำงานของกล้องจะเริ่มทำงานที่ตั้งแต่รถหยุดนิ่ง แต่กล้องหน้าจะตัดการทำงานไม่เกิน 10 กม./ชม. เพื่อเป็นการเซฟตี้และต้องการให้ผู้ขับโฟกัสไปที่การมองถนนมากกว่า ส่วนกล้องข้างยังทำงานตลอดและขับไปสักระยะก็จะตัดการทำงานอัตโนมัติ
เมื่อหลุดจากทางออฟโรดสภาพเส้นทางเปลี่ยนเป็นลงเขาอันลาดชัน ผู้ขับมีโอกาสได้ทดลองใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) เพื่อรักษาความเร็วรถให้คงที่ขณะลงทางลาดชัน ซึ่งสามารถเลือกใช้งานโดยกดสวิตช์ที่บริเวณด้านล่างของแป้นบิดระบบขับเคลื่อน โดยเจ้า HDC นี้จะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 20 กม./ชม และตัดทำงานเมื่อความเร็วแตะที่ 80 กม./ชม.
รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันทันสมัยอื่นๆ อันครบครัน ทั้งระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว โดยระบบดังกล่าวนี้ใช้กล้องและระบบเรดาร์เลเซอร์ตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนข้างหน้า ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตาพร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน เพื่อเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถอยู่ด้านข้างขณะเปลี่ยนเลน ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ตรวจจับว่ามีรถยนต์กีดขวางขณะถอยหลังหรือไม่ และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุเมื่อเหยียบคันเร่งไปข้างหน้าหรือถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ
บทสรุป : หลังจากได้สัมผัสกับ ‘มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่’ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ภาพรวมนับว่าเป็นรถกระบะที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นมีสไตล์เฉพาะตัวชัดเจน ภายใต้เส้นสายที่ค่อนข้างทันสมัยและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ผสานตัวถังขนาดใหญ่สะท้อนแข็งแกร่งบึกบึน ในขณะที่สมรรถนะการขับขี่สามารถตอบโจทย์อย่างลงตัว การขับใช้งานแบบ On Road ก็ให้ความสนุกเร้าใจ หรือจะขับบนเส้นทาง Off Road ก็มั่นใจพร้อมลุยผ่านอุปสรรค ที่สำคัญระบบความปลอดภัยล้ำๆ จัดมาให้แบบไม่กั๊ก เรียกว่าใครที่สนใจรถกระบะเท่ๆ แบบครบๆ จบในคันเดียว มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ตอบโจทย์ได้แน่นอน
มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ทำตลาดทั้งหมด 19 รุ่นย่อย มี 5 สีให้เลือก คือ White Diamond, Sterling Silver, Graphite Gray, Jet Black Mica และ Sunflare Orange โดยรุ่น Double Cab 4WD GT-Premium 6AT (รุ่นที่ขับทดสอบ) ราคา 1,099,000 บาท, Double Cab 4WD 2.4 GLS 6MT 935,000 บาท
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " Group Test : รีวิว MITSUBISHI TRITON 2019 ลองแล้ว! ขับสนุก ลุยสบาย ช่วงล่างเฟิร์มขึ้น "