TEST DRIVE : รีวิว TOYOTA CAMRY HYBRID (TNGA) สปอร์ตหรูดูแพง แฝงด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ลงตัวกว่าเดิม
จากต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นเมื่อช่วงปี 2523 ของ Camry ในฐานะรถสปอร์ตซีดาน ระดับตำนาน อย่าง Celica โดยใช้ชื่อว่า Celica-Camry และขายอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 2 ปี แม้ในระยะเวลาช่วงสั้นๆ แต่ Celica-Camry ได้สร้างความประทับใจที่โดดเด่น จากนั้นในปี 2525 Camry เจเนอเรชันที่ 1 ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ในไลน์อัพของรถซีดานเครื่องยนต์หน้า-ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่มาพร้อมกับเอกลักษณ์ของภายในที่กว้างขวางมากกว่ารุ่น Crown ในขณะนั้น
นับตั้งแต่นั้น Camry ได้กลายเป็นรถซีดานรุ่นสำคัญของโตโยต้า โดยในระดับโลกได้รับความสำเร็จอย่างท่วมท้นในกว่า 100 ประเทศรวมทั้งประเทศไทย โดยปัจจุบัน Camry มียอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกถึง 20 ล้านคัน สำหรับตลาดในประเทศไทยนั้น Camry ได้รับการแนะนำเป็นครั้งแรกในปี 2536 และได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวไทยที่มองหารถยนต์หรูที่มาพร้อมกับประสบการณ์เหนือระดับ และจากกระแสตอบรับค่อนข้างดีนี่เอง ส่งผลให้ Camry เจนเนอเรชันที่ 4 ถูกนำมาประกอบ ในประเทศไทย เมื่อปี 2542 ยิ่งไปกว่านั้น โตโยต้ายังเป็นผู้บุกเบิกยนตรกรรมระบบไฮบริดเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2552 ซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการเปิดตัวในประเทศไทย โดยมียอดจำหน่ายสะสมรวมกว่า 200,000 คัน
Camry ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “ปรากฏการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่” จากแรงบันดาลใจในการออกแบบของ Sensual-Smart Confidence ส่งผลให้ถูกพัฒนา ไปสู่การเป็นรถยนต์ที่หรูหรา สปอร์ต และล้ำสมัย แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้ยังยกระดับสมรรถนะในการขับขี่ ด้วยสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ของโตโยต้า TNGA ได้แก่ การนำโครงสร้างที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ ผสานเข้ากับเครื่องยนต์ Dynamic Force รุ่นล่าสุด รวมทั้งนำระบบไฮบริด เจเนอเรชั่นที่ 4 ที่พัฒนาใหม่ มาผสมผสานเพื่อมอบความรู้สึกสนุกในการขับขี่ พร้อมประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันที่ดียิ่งขึ้น
รูปลักษณ์ภายนอก ภาพรวมของ Camry ใหม่ถูกออกแบบให้สะท้อนถึงความโฉบเฉี่ยวของเส้นสายที่คมชัดขึ้น ดูแล้วมีเสน่ห์ในทุกมิติ และเมื่อผสานความทันสมัยกับไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light และไฟเลี้ยวแบบ LED ก็ยิ่งเสริมให้รถมีมุมที่น่าสนใจกว่าเดิม
ในขณะที่กระจังหน้าดีไซน์ให้โฉบเฉี่ยวหรูหรากว่าเดิม แถมยังเข้ากันอย่างลงตัวกับกันชนแบบซี่หลายชั้นเรียงกันอย่างลื่นไหล ส่วนมุมซ้าย-ขวา ฝังด้วยไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED ซึ่งแม้มีขนาดเล็กแต่กับเป็นองค์ประกอบที่พอดิบพอดีกับด้านหน้า
กระจกบังลมหน้าเป็นแบบ Acoustic High Solar Energy Absorb Glass โดยทีมวิศวกรเผยว่ามันถูกพัฒนาให้สามารถป้องกันเสียงรบกวนและแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ ในขณะที่ล้อแม็กเป็นซี่ขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์อาจไม่หวือหวาแต่ทว่ากับดูเรียบหรู พร้อมยาง 215/55 R17 (รุ่น 2.0G ล้อแม็กมีตั้งแต่ 16-18 นิ้ว)
ส่วนไฟท้ายแบบ LED ออกแบบได้ค่อนข้างน่าสนใจและมีรายละเอียดอยู่ในตัว
มิติตัวถัง (เทียบกับ Camry รุ่นเดิม) กว้าง 1,840 มม. กว้างขึ้น 15 มม.) ยาว 4,885 มม. (ยาวขึ้น 35 มม.) สูง 1,445 มม. รถต่ำลง 25 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 140 มม. ความยาวช่วงล้อ 2,825 มม. ระยะฐานล้อยาวขึ้น 50 มม. น้ำหนักตัวรถ 1,650 กก. (รุ่น 2.5 HV Premium) และ 1,520 กก. (รุ่น 2.0G)
ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร ทันทีเมื่อเข้ามา นับว่าถ่ายทอดและบ่งบอกตัวตนได้ชัดว่าเป็นซีดานที่ผสานความสปอร์ตเข้ามา พร้อมออกแบบให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง ด้วยแผงแดชบอร์ดที่ออกแบบให้ทุกองค์ประกอบเชื่อมโยงกันอย่างไร้ที่ติ พร้อมลาย Hybrid Onyx สะท้อนภาพลักษณ์ระดับผู้นำ
มาตรวัดเรืองแสง Optitron พร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ TFT ขนาด 7 นิ้ว แสดงสถานะระบบการทำงานต่างๆ ได้ค่อนข้างชัดเจน เช่น ระบบ TPWS ตรวจวัดแรงดันลมยางอัตโนมัติแจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อลมยางอ่อน ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ LDA เป็นต้น
อีกหนึ่งความโดดเด่นคือหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสี บนกระจกหน้ารถสะดวกสบายสูงสุด ผู้ขับจึงไม่ต้องละสายตาขณะขับขี่
กลางคอนโซลเป็นชุดเครื่องเสียงรองรับการเล่น DVD พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง ให้คุณภาพเสียงที่ค่อนข้างแน่น และคมชัดทีเดียว ความสะดวกสบายด้วยระบบสตาร์ทอัจฉริยะ ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ รวมทั้งฟังก์ชั่นการควบคุมการล็อก-ปลดล็อกประตูและที่เก็บสัมภาระท้ายรถ ระบบปรับอากาศแยกอิสระ 3 โซน ซ้าย-ขวา และด้านหลังพร้อมระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสาร nanoe สร้างโมเลกุลน้ำล้อมรอบประจุลบ ทำหน้าที่ช่วยยับยั้งเชื้อโรคและขจัดกลิ่นทั่วห้องโดยสาร
ให้ความปลอดภัยมากขึ้นด้วยระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติและระบบเบรกมือไฟฟ้า ขับขี่ได้อย่างสะดวกด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่พวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องละมือจากการควบคุม รวมถึงพวงมาลัยจดจำตำแหน่งของผู้ขับขี่เพื่อความสะดวกสบายสูงสุด
ทันสมัยด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สายรองรับระบบการชาร์จไฟแบบ Qi ชาร์จไฟสะดวก เพียงวางสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนถาดชาร์จ ช่องต่อ USB ด้านหลัง 2 ช่อง สะดวกสบาย ชาร์จไฟสะดวกสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ฟังก์ชันที่ควรมีสำหรับยนตรกรรมแบบซีดานพรีเมียมกับหลังคามูนรูฟ (Moonroof)
ในส่วนของเบาะหุ้มด้วยหนังแบบ Smooth Leather และวัสดุสังเคราะห์ คู่หน้าเป็นแบบ Seat Ventilato ช่วยลดความอับชื้น ด้วยพัดลมใต้เบาะและพนักพิง และมีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ สามารถปรับระดับได้ 8 ทิศทาง มาพร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้าด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
เบาะหลังในรุ่น 2.5HV Premium สามารถปรับเอนได้ด้วยระบบไฟฟ้า
บริเวณพนักท้าแขนของเบาะแถวหลังมาพร้อมแผงควบคุมหน้าจอสัมผัสแบบดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีม่านบังแดดไฟฟ้ากระจกหลัง-ข้าง เพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และลดระดับอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังเพื่อความปลอดภัย กระจกมองข้างปรับอัตโนมัติขณะถอยหลังและพับเก็บอัตโนมัติ สะดวกสบาย ปลอดภัยในทุกมุมมอง
เครื่องยนต์ บล็อคใหม่รหัส A25A-FXS VVT-iE & D-4S เบนซิน 4 สูบแถวเรียงพิกัด 2.5 ลิตร (2,487 ซีซี) 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 221 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600–5,200 รอบ/นาที พร้อมระบบ Hybrid System II แบบล่าสุด (ระบบไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 4) มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ 202 นิวตัน-เมตร ถังน้ำมัน 50 ลิตร (รุ่น 2.5G และ 2.0G ถังน้ำมัน 60 ลิตร)
ระบบส่งกำลังติดตั้งเกียร์อัตโนมัติสายพานพูเล่ย์แบบแปรผัน E-CVT พร้อมโปรแกรมใช้งาน Auto Mode/Manual Mode มีจังหวะล็อกอัพมาให้ โดยชุดระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวลต่อเนื่อง PCU (Power Control Unit) พัฒนาให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ช่วยให้ควบคุมการทางานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) แบตเตอรีใหม่มากับขนาดที่เล็กลง เก็บประจุไฟฟ้าได้เร็วขึ้น และทางโตโยต้าเน้นว่าสามารถจ่ายไฟฟ้าให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้ประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาระบบระบายความร้อนให้ทนทานและประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น
โดย All New Camry 2.5 HV Premium Hybrid ได้พัฒนาแบตเตอรี่ใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อความทนทาน เป็นแบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) มาพร้อมกับขนาดที่เล็กลง ความจุ 6.5 แอมป์แปร์/ชั่วโมง ส่วนอายุการใช้งานเรียกว่าหายห่วง เพราะทางทีมวิศวกรโตโยต้าบอกมาว่า เกินกว่า 200,000 กม. โดยมีการรับประกันแบตเตอรี่เป็นระยะเวลา 10 ปี (ระบบไฮบริด รับประกัน 5 ปี) จึงไม่ต้องกังวล แต่หากอยากเปลี่ยนเอง โตโยต้าคิดราคาค่าแบตเตอรี่ที่ 68,500 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
T-CONNECT TELEMATICS อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ล้ำกับระบบที่เชื่อมต่อระหว่างรถและผู้ใช้รถ
– GEO-FENCING ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณที่กำหนด, FIND MY CAR เช็คตำแหน่งรถผ่านแอพพลิเคชั่น
– PARKING ALERT ระบบแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ทหรือเคลื่อนที่
– STOLEN VEHICLE TRACKING ระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม
– OPS (OPERATOR SERVICE) ผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจองร้านอาหารชั้นนำ
– SOS EMERGENCY SERVICE ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง* (*อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในบางกรณี)
– PAY AS YOU DRIVE ประกันภัย “ขับน้อย จ่ายน้อย”
– NAVIGATOR ระบบนำทางพร้อมแสดงข้อมูลจราจร
– MY TOYOTA WI-FI เชื่อมต่อทุกความบันเทิงได้พร้อมกันสูงสุดถึง 9 อุปกรณ์*
มาตรฐานความปลอดภัย TOYOTA SAFETY SENSE
ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (PRE-COLLISION SYSTEM) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (LANE DEPARTURE ALERT) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (DYNAMIC RADAR CRUISE CONTROL) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (AUTOMATIC HIGH BEAMS)
ระบบความปลอดภัย Active Safety กล้องมองภาพขณะถอยหลัง พร้อม Back Guide Monitor ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) สัญญาณไฟกระพริบเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal) และ Passive Safety ถุงลมเสริมความปลอดภัย 9 ตำแหน่ง
ช่วงทดสอบ เน้นเสมือนใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยขับขี่ทั้งในเมือง และชานเมือง โดยในส่วนของสมรรถนะ ระบบไฮบริดระบบใหม่นี้ เมื่อวิ่งด้วยการเลือกใช้งาน EV Mode ซึ่งใช้พลังงานจากไฟฟ้าล้วน รถสามารถขับได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม.
แต่เมื่อเลือกการขับเป็นโหมดปกติ มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถขับที่ความเร็วถึงระดับ 100 กม./ชม.ได้ โดยในช่วงที่ขับบนถนนโล่งๆ เห็นได้ว่า มอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ที่ความระดับเร็ว 80 กม./ชม. อย่างไรก็ดีทั้งหมดขึ้นอยู่กับปริมาณแบตเตอรี่และการกดคันเร่ง
ซึ่งปริมาณแบตเตอรี่นั้น ระบบจะดึงออกมาใช้เมื่อมีระดับสูงเกินครึ่งและจะกลับไปชาร์จเมื่อต่ำกว่าครึ่ง โดยจะไม่ปล่อยให้แบตเตอรี่เต็มหรือลดลงไปจนถึงขีดล่าง ทั้งนี้ก็เพื่อยึดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่และช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น ตัวเลขจากการขับแบบสบายๆ ตัวเลขแสดงบนหน้าปัดอยู่ที่ 17.2 กม./ลิตร
สำหรับอัตราเร่งสัมผัสได้ค่อนข้างชัด ว่าเครื่องยนต์บล็อกนี้ให้การตอบสนองค่อนข้างดีทีเดียว การเพิ่มความเร็วทำได้อย่างทันใจตั้งแต่ช่วงรอบต่ำ ในขณะที่การตัดต่อกำลังก็ทำออกมาได้อย่างนุ่มนวล เรียกว่าถ้าไม่ตั้งใจจับอาการแบบจริงจังก็แทบไม่รู้สึกถึงรอยต่อ
ในโหมด Sport รู้สึกว่าคันเร่งจะตอบสนองไวขึ้น กดคันเร่งเบาๆ ทั้งมอเตอร์และเครื่องยนต์จะช่วยกันขับเคลื่อนรถ การบังคับควบคุมรวมๆ พวงมาลัยนับว่าทำได้แม่นยำกว่ารุ่นเดิม แม้ด้วยขนาดและมิติของรถจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็สามารถขับได้คล่องตัว และให้สัมผัสที่เบามือเมื่อใช้ความเร็วต่ำ แต่เมื่อขยับปรับความเร็วขึ้นก็สัมผัสได้ชัดว่าหน่วงและหนืดมือขึ้น
ด้านระบบช่วงล่าง ด้านหน้ามาในรูปแบบของอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังอิสระแบบปีกนกคู่ แน่นอนว่าด้วยสไตล์รถแบบซีดานหรู จึงสัมผัสได้ว่าถูกเซ็ตโดยเน้นฟิลลิ่งที่ค่อนข้างนุ่มนวล
อย่างไรก็ตามในช่วงที่เข้าโค้งแรงๆ ที่ระดับความเร็วประมาณ 100-140 กม./ชม. อาจรู้สึกว่าออกอาการย้วยให้พอได้รู้สึกบ้างเล็กน้อย ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากยาง 215/55/17 ที่แก้มยางค่อนข้างสูง
ในขณะเดียวกันเมื่อสาดโค้งที่มีลักษณะกว้างๆ ด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. รู้สึกได้ว่าควบคุมรถได้สบาย ตัวรถถือว่านิ่งมีอาการโคลงไม่มากนัก
การหยุดยั้งความเร็ว ส่วนระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังดิสก์เบรก โดยระบบเบรกทำงานได้ดีแต่ข้างค่อนจับไวไปสักนิด ต้องใช้เวลาปรับตัวจึงจะเบรกได้นุ่มนวลได้จังหวะอย่างเหมาะสมและปลอดภัย
สำหรับรายละเอียดในห้องโดยสารการเก็บเสียงลมปะทะทำได้ดี แต่ในช่วงเวลาที่กดคันเร่งหนักเพื่อคลิกดาวน์และรอบเครื่องยนต์กวาดไปสูง รู้สึกชัดเจนว่าเสียงเครื่องยนต์เข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างชัด
ความสบายในการนั่ง สำหรับตำแหน่งของผู้ขับและผู้โดยสารนั่งนานๆ ยังให้ความสบาย Seat Ventilato ช่วยลดความอับชื้น ด้วยพัดลมใต้เบาะและพนักพิง เรียกว่าไม่มีหลังแฉะให้รู้สึก ฐานเบาะยาวซัพพอร์ตใต้ท้องขาได้เป็นอย่างดี เดินทางไกลลดความเสี่ยงเรื่องความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
ส่วนพนักพิงค่อนข้างกระชับแนบลำตัวขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แต่ก็ไม่ถึงขั้นบีบแน่นและไม่ได้ส่งผลต่อการขับขี่แต่อย่างใด
อย่างก็ตามสำหรับผู้ขับที่ชอบเบาะปีกกว้างนั่งหลวมๆ อาจจะรู้สึกว่าพนักพิงแคบสักนิด
ส่วนเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับสูง-ต่ำได้
อีกหนึ่งที่นับเป็นความโดดเด่นคือเบาะแถวหลัง ซึ่งรวมนับว่านั่งได้ค่อนข้างสบาย พนักพิงมีองศาที่เอนกำลังดี นิ่ม และไม่ยวบเป็นหลุม ระยะเฮดรูมยังเหลืออีกหนึ่งฝ่ามือแนวนอน เช่นเดียวกับเลกรูมยังเหลือ ทำให้นั่งสบายเข่าไม่ยันกับด้านหลังพนักพิงเบาะหน้า มาพร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ตำแหน่ง รวมทั้งมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก (ISOFIX) มาให้
รุ่นและราคา
2.0 G 1,445,000 บาท
2.5 G 1,589,000 บาท
2.5 HV 1,639,000 บาท
2.5 HV Premium 1,799,000 บาท (รุ่นที่นำมารีวิว)
สรุป : TOYOTA CAMRY HYBRID (TNGA) นับเป็นยนตรกรรมที่ถูกพัฒนาให้เป็นมากกว่าซีดานหรูทั่วไป โดยนำเอาดีไซน์ความโฉบเฉี่ยวมาผสมผสานเข้าไว้ในรายละเอียดของเส้นสาย ตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้ายได้อย่างลงตัว ที่สำคัญสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ของโตโยต้า TNGA กับโครงสร้างที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่เข้ากับเครื่องยนต์ Dynamic Force รุ่นล่าสุด ก็ยิ่งช่วยผลักดันให้ซีดานหรูคันนี้ มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่ผู้ขับจะสัมผัสได้ คือ ประสิทธิภาพและสมรรถนะการขับขี่ในหลายๆ ด้านดูดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมแบบชัดเจนภายใต้ที่สุดคุ้มค่า
สิ่งที่ควรปรับปรุง :
– พนักท้าวแขนบริเวณแผงประตูแข็ง
– มือดึงเปิดประตูในห้องโดยสารยื่นจากหลุมออกมาเยอะ
สิ่งที่อยากให้มี : –
ขอบขอบคุณ : บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " TEST DRIVE : รีวิว TOYOTA CAMRY HYBRID (TNGA) สปอร์ตหรูดูแพง แฝงด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ลงตัวกว่าเดิม "