เชื่อหรือไม่! รถที่ดีที่สุดสำหรับวัยรุ่นต้อง “ใหญ่, ช้า และอัปลักษณ์”

สถานที่ที่ฉันโตขึ้นมา วัยรุ่นหลายคนดูเหมือนจะรอคอยให้ถึงอายุที่เหมาะสม (ตามที่รัฐบาลกำหนด) เพื่อจะได้ขับรถเสียที

เมื่อถึงเวลาที่ได้เข้าไปนั่งบนเบาะของตัวรถของจริง อะไรก็ตามที่ยังคงเป็นปัญหา ก็สามารถไขข้อข้องใจได้ด้วยคู่มือรถยนต์ในที่สุด และสิ่งสำคัญมากก็คือ การเลือกครูผู้สอบขับรถนั่นเอง

สภาพภูมิประเทศทั่วโลกนั้นค่อนข้างหลากหลาย และไม่ใช่ทุกที่ที่จะโชคดีพอที่จะมีถนนโล่งๆ ให้ฝึกขับรถ โดยการฝึกหัดขับรถครั้งแรกมักจะผ่านการสอนจากครูผู้สอนในบริเวณลานจอดรถที่เต็มไปด้วยกรวย แทนที่จะเป็นเพื่อน, พ่อแม่ หรือญาติสนิทที่สามารถไว้ใจได้และเคยขับรถมาก่อน

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่เคยใช้เวลาในการฝึกหัดขับรถมาก่อนที่จะไปเรียนที่โรงเรียนสอนขับรถแล้วล่ะก็ คุณก็จะลงท้ายด้วยการบังคับรถส่ายไปส่ายมา, ขับคร่อมเลน, กลัวตำรวจ, การจราจร รวมถึงรถของคุณเอง

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นรายงานจากเว็บไซต์ USA Today โดยแนะนำว่า รถที่ดีที่สุดสำหรับวัยรุ่นจะต้อง “มีขนาดใหญ่, ช้า และมีรูปร่างอัปลักษณ์” แต่ก็ยังมีข้อโตเถียงอีกว่า รถที่มีขนาดใหญ่ และตอบสนองช้า จะปลอดภัยกว่าจริงหรือไม่ แต่อย่างไรตาม นั่นไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นกฏ เนื่องจากคุณก็สามารถขับรถชนได้ แม้จะขับรถที่ให้ลุคแบบธรรมดาที่สุด, เชื่องช้า หรือแม้กระทั่งมาพร้อมกำลังอันน้อยนิด เช่นรถจากค่าย Buick ในช่วงทศวรรษที่ 1990

แนวคิดดังกล่าวก็คือ รถไม่ใช่ส่วนที่สำคัญจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่ Jeremy Clarkson จากเว็บไซต์ Top Gear ได้พิสูจน์แล้วว่า รถแบบสปอร์ตกว่าและเร็วกว่า จะปลอดภัยกว่ารถขนาดใหญ่กว่าและช้ากว่า เนื่องจากมันได้รับการสร้างสรรค์งานด้านวิศวกรรมในเรื่องความเร็วสูง อัตราเร็วจำกัดของมันค่อนข้างยากที่จะไปถึง ดังนั้น มันจึงยากกว่าที่จะขับชน ไม่เพียงเท่านั้น รถสปอร์ตยังมีระบบเบรก และระบบความปลอดภัยที่ดีกว่าเช่นกัน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า รายงานข้างต้นไม่เป็นเหตุเป็นผล เมื่อพูดถึงเรื่องระบบความปลอดภัยสำหรับรถคันแรกของวัยรุ่น แต่ในมุมมองของฉัน ระบบความปลอดภัยในเรื่องการควบคุมความเสถียรของตัวรถ, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และการเตือนการชน จะไม่พบในรถ “ขนาดใหญ่”, “ช้า” และ “อัปลักษณ์” นอกจากนี้ วัยรุ่นยุคสมาร์ทโฟน ก็คงจะไม่ถึงขั้นเสียชีวิต หลังจากขับรถลื่นไถลลงไปในน้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอายุขนาดนั้นแล้ว วัยรุ่นทั้งหลายก็ควรจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง และไม่เชื่อกฎเกณฑ์อะไรก็ตาม ซึ่งเขียนขึ้นมาโดยคนสูงวัยที่ไม่เคยพบคุณหรือรู้จักคุณมาก่อน การขับรถเป็นเรื่องจริงจัง และควรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่ทำไมถึงไม่ให้ความรู้กับนักขับวัยรุ่นให้มากกว่านี้ เพื่อที่ว่าจะไม่กำหนดกฏที่ไร้สาระสำหรับพวกเขา หรือเรียกเก็บค่าประกัน กลับปล่อยให้พวกเขาขับสนุกเพียงอย่างเดียว

นอกเหนือจากเรื่องความปลอดภัยที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่จะพูดถึง และจะช่วยให้พ่อแม่สามารถปกป้องบุตรหลานของตนได้ ฉันคิดว่าระบบเช่น Ford’s MyKey เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เนื่องจากคุณสามารถจำกัดความเร็วสูงสุดได้ตามที่คุณต้องการ ตัวอย่างเช่นรถที่สามารถทำความเร็วได้ 200 ไมล์/ชม. ก็จะสามารถทำให้ปลอดภัยกว่าได้ที่ความเร็ว 30 ไมล์/ชม.