รีวิว LEXUS ES300h รื่นรมย์และเร้าใจ สองบุคลิกในคันเดียว
มาถึง Generation ที่ 6 กันแล้วสำหรับ Lexus ตระกูล ES ที่มีการดีไซน์ใหม่ให้มีความเร้าใจตั้งแต่แรกเห็น และให้ความรื่นรมย์ในการขับขี่ มีสมรรถนะใกล้เคียงกับรถสปอร์ต ผสานความหรูหรากว้างสบาย ห้องโดยสารที่เงียบ การควบคุมรถที่ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ทุกการเดินทาง มีความสุนทรีย์ในแบบของผู้นำ
ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัท เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จำกัด ได้จัดงานเปิดตัว Lexus ES 300h โดยได้เชิญลูกค้าระดับ VIP มาร่วมยลโฉม ES 300h ใหม่ บรรยากาศสนุกสนานอย่างเป็นกันเองมาก มีมินิคอนเสิร์ตจากวง The FabFour ยาวนาน 1 ชั่วโมงเศษ ย้อนบรรยากาศสมัยวง The Beatles กำลังโด่งดัง ทุกเพลงที่ขับร้อง ล้วนเป็นเพลงดังที่ทุกคนรู้จักดีในยุคนั้น สร้างความสุขและความประทับใจให้กับผู้ร่วมงานทุกคน งานนี้ Lexus ได้ใจไปเต็มๆ
งานครั้งนี้ จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ พระราม 9 ซึ่งดำเนินธุรกิจมาครบ 20 ปี ก้าวสู่ปีที่ 21 อย่างภาคภูมิใจ
Highlight ของงาน อยู่ที่ Lexus ES 300h สีขาว คันนี้ ซึ่งมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ ES 300h Premium ราคา 3.89 ล้านบาท และ ES 300h Luxury ราคา 3.49 ล้านบาท
คันสีขาวในภาพนี้ เป็นรุ่น Premium ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ออพชั่นครบครันแบบจัดเต็ม
ด้านหน้า โดดเด่น งดงาม ด้วยกระจังหน้าแบบ Spindle Grille
กระจังหน้าด้านบนและล่าง เชื่อมผสานกันอย่างลงตัว
กระจังหน้าแบบนี้ เรียกว่า Spindle Shape เชื่อมต่อกันด้วยโครเมียมขอบซ้ายขวา
ด้านหน้าลู่ลม ตามหลักอากาศพลศาสตร์
มาดูด้านท้ายกันบ้าง
ไฟท้ายแบบ LED เป็นลายเส้นสีแดงสวยงาม
แถบโครเมียมฝาท้าย พาดตรงกับแนวไฟถอยหลัง ตามสไตล์ของโตโยต้าในยุคสมัยนี้
ไฟเลี้ยวและไฟถอยหลัง เป็นหลอดไฟธรรมดา
โลโก้เล็กซ์ซัสขนาดใหญ่
ปลายไฟท้าย เป็นหางแหลมไปยังด้านข้างของตัวรถ
ตัวอักษร 300h เป็นสีน้ำเงิน ล้อมกรอบโครเมียม ดูยิ่งใหญ่ ทรงพลัง
โดยรวม ถือว่าไฟท้ายดูสปอร์ต และดูเป็นวัยรุ่นมากกว่ารุ่นเดิม
ครีบควบคุมการไหลของอากาศที่ส่วนล่างของกันชนท้าย ดูเท่ดีนะ ถัดขึ้นไปสีแดงเป็นไฟตัดหมอกหลัง
ล้ออัลลอย และยางขนาด 215/55 R17
กระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยว LED ขนาดเล็ก
กระจกมองข้าง มุมมองกว้าง ปรับมุมในขณะเข้าเกียร์ถอยหลังได้ด้วย
สังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่ามีที่ฉีดทำความสะอาดโคมไฟหน้า
ไฟตัดหมอก LED ล้อมกรอบโครเมียม
แผ่นรองป้ายทะเบียนทรงยาว
สีดำ ที่ดูขัดตาไปหน่อย ถ้าใส่ป้ายกรอบทะเบียนรถทรงยาว ก็อาจผิดกฎหมาย
โลโก้ Lexus ขนาดใหญ่มาก
มีไฟส่องสว่างในเวลากลางวันแบบ LED daytime running lights เป็นรูปลูกศร ตามสไตล์ของ Lexus
ครีบกระจังหน้าเป็นสีเทาเงิน
ไฟหน้าแบบ HID
เซ็นเซอร์กะระยะที่กันชนหน้า มีสองจุด ซ้าย-ขวา
ฝาท้ายเปิดได้มุมกว้าง
ยางอะไหล่และเครื่องมือเปลี่ยนยาง
ปุ่มช่วยปิดฝาท้ายระบบไฟฟ้า มีเฉพาะรุ่น Premium เท่านั้น
ช่องเก็บสัมภาระท้าย กว้างและเรียบ
มีระบบช่วยผ่อนแรงในการเปิดปิดที่นุ่มนวล
ไฟส่องป้ายทะเบียน และกล้องช่วยมองหลังในขณะถอยจอด
โลโก้ Lexus ท้ายรถ
สปอยเลอร์ขนาดกะทัดรัด ติดมากับตัวรถ
มุมมองด้านข้าง ดูเพรียวลมดี หลังคาโค้งสวยงาม สัญลักษณ์ Hybrid อยู่ที่ประตูผู้โดยสารตอนหลัง
Lexus ES 300h คันนี้สีน้ำตาลเข้ม อาจเป็นสีที่บางคนชื่นชอบ
Lexus ES 300h คันนี้สีฟ้าอ่อน Silvery Blue Metalic ก็ดูสวยงามสะอาดตา
ดูช่องเก็บสัมภาระท้ายกันอีกครั้งแบบชัดๆ
คันนี้เป็นรุ่น Luxury ที่ราคาต่ำลง จึงไม่มีปุ่มช่วยปิดฝาท้ายระบบไฟฟ้า
ลองมาสำรวจภายในตัวรถกันบ้าง การตกแต่งภายใน เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาสีดำสปอร์ต หรือสี Ivory อย่างในภาพข้างล่างนี้ เลือกได้ตามใจชอบว่าอยากได้ห้องโดยสารที่มืดหรือสว่าง สำหรับรถคันที่นำมารีวิวครั้งนี้ ภายในเป็นสี Ivory
เริ่มต้นกันที่ประตูผู้โดยสารตอนหน้า
ให้ความรู้สึกที่ดีเมื่อได้สัมผัสหนัง ที่สะท้อนให้เห็นว่ามีความประณีตอย่างมาก
ที่นั่งของผู้โดยสารตอนหน้า สามารถบันทึกการตั้งค่าของเบาะที่นั่งได้ 3 บุคคล มีปุ่มหมายเลข 1-2-3 ให้เลือกบันทึก ของใครหมายเลขไหน ก็จดจำไว้ เพราะแต่ละบุคคลมีสรีระที่แตกต่างกัน การปรับเอนที่นั่งรวมทั้งความสูงต่ำของเบาะก็ต่างกัน
ที่เปิดประตู เป็นโครเมียม ออกแรงเบาๆ ก็เปิดได้เลย
อุปกรณ์มาตรฐานมากับรถ ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม
ปรับไฟฟ้าทั้งหมด สะดวกสบาย
ห้องโดยสารตอนหน้า สี Ivory สว่าง ดูกว้างขวาง
พรมรองพื้นที่ติดมากับตัวรถ มีคุณภาพดีมาก จนไม่อยากให้มันเปื้อนเลอะเทอะเลยจริงๆ
Dashboard ด้านหน้า ออกแบบมาให้โค้งลาดลง ป้องกันการวางสิ่งของ ขวางถุงลมนิรภัย
คอนโซลหน้า
เครื่องเสียง วิทยุ พร้อมเครื่องเล่น CD มาพร้อมกับระบบเสียง Dolby Digital ถัดลงมาเป็นเครื่องปรับอากาศที่มีลูกเล่นมากมาย ปรับตั้งค่าได้ละเอียดมาก
ปุ่มปรับลมของเครื่องปรับอากาศ ช่องใส่ขวดน้ำขนาดเล็ก และปุ่มเลือกโหมดการขับขี่
ช่องเก็บสัมภาระด้านหน้า
ช่องลมเครื่องปรับอากาศ ขนาดเล็ก แต่ลมแรง เย็นเร็วอย่างทั่วถึง
เกียร์ระบบ E-CVT นุ่มนวล แต่ก็สั่งได้ดั่งใจ
RTI หรือ Remote Touch Interface สำหรับควบคุมและสั่งงานบนจอภาพกราฟฟิค
ปุ่มควบคุม RTI เลื่อนได้ทุกทิศทาง แล้วกดเพื่อ Select เมนูบนจอภาพ
จอภาพแสดงข้อมูลทั้งหมด ที่สั่งงานได้ด้วย RTI
นาฬิกาแบบ Analog สไตล์คลาสสิคที่พบเห็นใน Lexus หลายรุ่น
ปุ่ม Start เครื่องยนต์
ช่องใส่ขวดน้ำหรือแก้วน้ำสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า แต่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะอาจเกะกะ
กุญแจรีโมท
ด้านหลัง มีโลโก้ Lexus เลียนแบบให้ดูเหมือนมีไฟเรืองแสงรอบโลโก้ เหมือนกับที่ตัวรถ
ช่องใส่ขวดน้ำหรือแก้วน้ำ สำหรับคนขับ
ช่องเก็บของใต้ที่วางแขน
ไฟส่องสว่างหลายทิศทาง และปุ่มเลื่อนเปิดปิด Moon roof
ไฟส่องกระจกแต่งหน้า ทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร
ทดลองเปิด Moon roof
ประตูของผู้โดยสารตอนหลัง ตกแต่งลายไม้เหมือนกับประตูหน้า
ม่านบังแสง
ทดลองดึงม่านออกมาบังแสง ทั้งกระจกบานใหญ่และบานเล็ก
ดึงออกมาแล้วเกี่ยวยึดง่ายๆ ไม่ต้องดูว่าจะตรงหรือไม่ตรงกับตะขอเกี่ยว
กว้าง เข้าออกได้สะดวก ไม่มีปัญหากับทุกสรีระ
กว้างขวาง เพดานสูงกว่าที่คิด มองรถจากภายนอก อาจคิดว่าเพดานต่ำ
ประณีตในทุกจุด ใส่ใจทุกรายละเอียด เบาะนั่งสบาย สัมผัสแล้วรู้สึกดี
พื้นที่วางเท้า กว้างมาก
ปูพรมรองพื้นอย่างดีทั่วทั้งคัน
มีช่องลมจากเครื่องปรับอากาศมาเป่าเท้าด้วย ติดตั้งไว้ที่ส่วนล่างของเบาะคู่หน้า
ช่องลมขนาดใหญ่ เย็นทั่วถึงแน่นอน
Leg room กว้างมาก พื้นที่วางเท้าและพื้นที่บริเวณหัวเข่า มีมากพอ ไม่รู้สึกอึดอัด ขยับได้สะดวก
มุมมอง ทัศนวิสัย
ทุกประตู มีลำโพงติดตั้งไว้
เบาะหลัง นั่งได้ 3 คน ปรับความสูงของพนักพิงศีรษะได้ทั้ง 3 ที่นั่ง
ที่วางแขนขนาดใหญ่มาก วางพร้อมกันสองฝั่งสบายๆ
ช่องเก็บของใต้ที่วางแขน ใส่ของจุกจิกได้มากมาย
สั่งงานเครื่องเสียงและเครื่องปรับอากาศได้เอง จากปุ่มตรงที่วางแขนนี้
ดึงม่านบังแสงออกมา ก็ยังมีแสงผ่านได้เยอะอยู่ ส่วนม่านบริเวณกระจกหลัง เป็นม่านกลไกระบบไฟฟ้า
พิสูจน์ให้เห็นว่า Leg room กว้าง นั่งสบาย ความยาวและความสูงของเบาะ เหมาะสมกำลังดี
สุดท้าย มาดูกันที่ฝั่งคนขับ ที่ประตูก็มีแผงลายไม้และปุ่มบันทึกการปรับเบาะที่นั่ง 3 ตำแหน่งเช่นกัน
เบาะปรับไฟฟ้า ปรับระดับได้เยอะ รองรับผู้ขับขี่ได้ทุกสรีระ
ระดับเพดานห้องโดยสาร ไม่ต่ำ ไม่มีปัญหาติดศีรษะแน่นอน
พวงมาลัยจับกระชับมือดีมาก มีทั้งในส่วนที่ตกแต่งลายไม้และหนังหุ้ม
ทั้งสองฝั่งของพวงมาลัย มีปุ่มควบคุมที่ใช้กันบ่อยๆ
ปุ่มปรับกระจกไฟฟ้า
มาตรวัดในขณะไม่ได้ติดเครื่องยนต์
เกียร์อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้พอดีกับความยาวของแขน ไม่ต้องเอื้อมไปข้างหน้า
พวงมาลัยไฟฟ้า ขนาดใหญ่ ผ่อนแรงได้เยอะ น้ำหนักเบา ควบคุมทิศทางได้ง่าย
กระจกมองหลังตัดแสง ด้านหลังติดตั้ง Sensor ตรวจจับน้ำฝน ที่ปัดน้ำฝนทำงานอัตโนมัติ
เบาะที่นั่ง หนา นุ่ม แน่น ไม่ค่อยมีกลิ่นเหม็นของเบาะใหม่มารบกวนเท่าไรนัก
เบรคทั้งสองและคันเร่ง
ในประเทศไทย มีโอกาสไม่บ่อยนักที่จะเปิด Moon Roof แบบรับลมภายนอก
สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่ยังมีในรถยนต์เล็กซ์ซัส
เบาะที่นั่งตอนหลัง ก็ถือว่านั่งสบาย นั่งนานๆ เดินทางไกล ก็ไม่เมื่อยล้า
มือจับประตู สีเดียวกับตัวรถ
โลโก้ Hybrid มีทั้งสองฝั่ง ด้านข้างของตัวรถ ที่ประตูผู้โดยสารตอนหลัง
มาตรวัดเรืองแสง
จอแสดงผล มีเมนูภาษาไทย ตัวอักษรขนาดใหญ่ ผู้ขับขี่ที่เป็นวัยผู้ใหญ่ ก็สามารถอ่านได้ง่าย
แสดงข้อมูลการใช้พลังงานของระบบไฮบริด
ระบบนำทาง
บอกพิกัดตำแหน่งได้ถูกต้องแม่นยำ
ข้อมูลผลลัพธ์ของการค้นหา ถูกต้อง มีประโยชน์ อัพเดตตรงกับปัจจุบัน
ปรับตั้งค่าของระบบปรับอากาศภายในรถ แสดงอุณหภูมิภายนอกรถได้
การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ ก็ทำได้สะดวก
ข้อมูลจราจร ก็แสดงให้เห็น มีประโยชน์ในระดับหนึ่ง
ปรับระดับการทำงานของเครื่องปรับอากาศแยกอิสระ ระหว่างห้องโดยสารตอนหน้าและตอนหลัง
ทดสอบการขับขี่
ทดสอบขับขี่บนถนนเพชรบุรีและถนนพระราม 9 ในช่วงเวลาที่รถไม่ติด มีโอกาสให้ได้ทดสอบเร่งแซงหรือทำความเร็วได้พอสมควร พบว่าการขับขี่ การทรงตัว การควบคุมรถ ความเงียบในห้องโดยสาร น่าประทับใจอย่างมากในทุกด้าน
ทันทีที่กดปุ่มสตาร์ต ระบบ Hybrid ก็พร้อมจะทำงานทันที เหยียบคันเร่งเบาๆ ก็รู้สึกถึงพลังจากระบบไฮบริด ออกตัวได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ เงียบ นุ่มนวล ที่ประทับใจมากที่สุดคือ พวงมาลัยที่มีน้ำหนักเบา ควบคุมการขับรถคันนี้ได้ง่ายจริงๆ บังคับเลี้ยวง่าย จอดง่าย ช่วงล่างนุ่มนวลและเกาะถนนดีมาก เร่งแซงสนุก เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร แสดงให้เห็นถึงพลังอันมากมาย ตอบสนองได้เร็วทันใจ ขับสนุกจริงๆ ได้อารมณ์แบบรถสปอร์ตหรู
เครื่องปรับอากาศเย็นเร็วมาก เสียงลมจากเครื่องปรับอากาศไม่ดังจนรำคาญแม้ว่าจะเร่งพัดลมแรง ห้องโดยสารเงียบ เสียงรบกวนจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาได้ค่อนข้างน้อย พวงมาลัยปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง จับได้ถนัดมือมากๆ ในขณะถอยหลังจอด ก็มีภาพจากกล้องด้านหลังมาช่วยกะระยะ และบอกทิศทางว่าผู้ขับขี่จะต้องปรับทิศทางพวงมาลัยไปทางใด
โดยรวมแล้ว เป็นประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจมากสำหรับ Lexus ES 300h คันนี้ เห็นข้อดีหรือจุดเด่นมากมาย แต่ก็มีข้อสังเกตอยู่บ้าง ที่อยากได้มีการปรับปรุง ได้แก่
ในระดับราคา 3-4 ล้านบาท ก็มีรถยนต์หรูจากฝั่งยุโรปหลายรุ่นให้เปรียบเทียบเป็นตัวเลือก ก็อยากให้ผู้สนใจทดลองขับ BMW 5-Series และ Mercedes-Benz E-Class เปรียบเทียบกับ Lexus ES ดูด้วย เลือกคันที่ใช่ในสไตล์ที่ชอบ ที่สะท้อนบุคลิกของผู้ขับขี่ออกมาได้ตามความเป็นจริง
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว LEXUS ES300h รื่นรมย์และเร้าใจ สองบุคลิกในคันเดียว "