GROUP TEST : รีวิว All New SUZUKI SWIFT ครบเครื่อง คุ้มค่า พร้อมราคามิตรภาพ

GROUP TEST : รีวิว All New SUZUKI SWIFT ครบเครื่อง คุ้มค่า พร้อมราคามิตรภาพ

หลังจาก SUZUKI เปิดตัว All New Swift เจเนอเรชั่นที่ 3 ในประเทศไทยเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็สามารถสร้างกระแสความฮือฮาในตลาดกลุ่มของอีโคคาร์ได้มากทีเดียว โดยเฉพาะออปชั่นที่ติดตั้งมาให้อย่างเต็มรูปแบบพร้อมราคาที่ค่อนข้างน่าสนใจ โดยล่าสุดถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์ซูซูกิจัดกิจกรรมให้สื่อมวลชนได้ร่วมพิสูจน์สมรรถนะ เทคโนโลยีใหม่ต่างๆ รวมทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัยของ All New Swift บนเส้นทางภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่

ดีไซน์ทันสมัย…ใหม่ทั้งคัน

All New Suzuki SWIFT นับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ตั้งแต่เริ่มทำตลาดมา ได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ INNOVATION-Fun & Sporty โดยทุกรายละเอียดของรถล้วนออกแบบใหม่หมดทั้งคัน ทำให้ All New Suzuki SWIFT มีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างโดดเด่นและสะดุดตา โดยมีการผสมผสานมีกลิ่นอายของรถยุโรปมากยิ่งขึ้น ด้านหน้าเร้าใจด้วยไฟแบบ LED Projector พร้อม Daytime Running เพิ่มความปลอดภัยในเวลากลางวัน โดยช่วยให้รถที่สวนทางมานั้นสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนช่วงเวลากลางคืนก็ความสว่างลดลง 30% เพื่อป้องกันการแยงตารถคันอื่น นอกจากนี้ให้ความสปอร์ตดุดันขึ้นด้วยกระจังหน้าสีดำตัดด้วยเส้นสีแดง อีกหนึ่งความสะดุดตาคือมือจับประตูหลังที่ออกแบบให้แบนเรียบแนบกับตัวรถ ส่วนไฟหลังเป็นแบบ LED ดีไซน์ทรงตัว C ดูทันสมัยพอสมควร

นอกจากนี้มิติของตัวรถก็แตกต่างจากเดิมชัดเจน กว้าง 1,735 มม.(กว้างขึ้น 40 มม.) ยาว 3,840 มม. (ลดลง 10 มม.) และสูง 1,495 มม. (ต่ำลง 15 มม.) ความยาวฐานล้อมากขึ้น 2,450 มม. (ยาวขึ้น 20 มม.) ส่วนน้ำหนัก 875-910 กก. (ลดลง 65-85 กก.) เติมเต็มความเท่ด้วยล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว และยางขนาด 185/55R16 สำหรับรุ่น GLX/GLX-Navi และล้อแม็กขนาด 15 นิ้ว พร้อมยางขนาด 175/65R15 สำหรับรุ่น GA/GL

ห้องโดยสารเรียบง่าย พร้อมรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลายหลาก

ภายใน ห้องโดยสารของ All New Suzuki SWIFT ดีไซน์ใหม่ทั้งหมดไม่เหลือเค้าโครงเดิม คอนโซลหน้ามีการตกแต่งด้วยสีขาวเสมือนช่วยความสะดุดตา ในขณะที่บริเวณแผงคอนโซลกลางออกแบบให้มีมุมเอียงเข้าหาคนขับ เพื่อให้ง่ายต่อการยื่นมือไปควบคุมสวิทช์ต่างๆ อีกหนึ่งไฮไลต์ที่เป็นอีกหนึ่งจุดขายคือ จอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมฟีเจอร์ที่ผู้ผลิตเรียกว่า Suzuki Smart Connect โดยมีการรวมระบบนำทางกับฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมแอพพลิเคชั่น Apple CarPlay สำหรับ iOS

ในขณะที่ชุดมาตรวัดมีการตกแต่งด้วยลายเส้นสีแดง ตรงกลางจอแสดงข้อมูลขับขี่แบบ LCD ที่แสดงผลค่าต่างๆ ทั้งอัตราสิ้นเปลือง Real Time หรือแบบเฉลี่ย ระยะทางที่ขับ และอีกมากมาย ส่วนพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ทรง D-Shape ด้านล่างตัดตรงเพื่อเพิ่มพื้นที่วางเท้าระหว่างเบาะและพวงมาลัย นอกจากนี้ก็เพิ่มความทันสมัยด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมจอควบคุมแบบ LCD ง่ายต่อการใช้งาน สำหรับเบาะนั่งหน้าดีไซน์ให้ปีกโอบกระชับสรีระผู้ขับขี่ ส่วนเบาะหลังให้ความอเนกประสงค์หลากหลาย สามารถพับปรับได้แบบ 40:60 มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายขนาด 265 ลิตร

ขุมพลังใหม่ เร้าใจ..พร้อมประหยัด

เครื่องยนต์ Dual JET เบนซิน 1.2 ลิตร รหัส K12M 4 สูบ DOHC ระบบจ่ายเชื้อเพลิงหัวฉีดคู่ Dual Jet ให้กำลังสูงสุด 83แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมมากกว่า 23 กม. ต่อลิตร ระบบส่งกำลังกับเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า รองรับน้ำมันสูงสุด E20 ในส่วนของระบบช่วงล่างคงรูปแบบเดิม แต่มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับรูปแบบตัวรถและลักษณะของถนนในไทยมากขึ้น โดยด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริง

ระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก

ในด้านความปลอดภัย All New Suzuki SWIFT มีการนำแพลตฟอร์มเจเนอเรชั่นใหม่ HEARTECT มาใช้ เพื่อช่วยให้รถมีน้ำหนักน้อยลง (ลดน้ำหนักรถได้ถึง 85 กก.) แต่คงความแข็งแกร่งและช่วยประหยัดน้ำมัน รวมถึงโครงสร้างตัวถังแบบ TECT พร้อมระบบกันการสั่นสะเทือน ระบบ TCS ช่วยในการควบคุมรถขณะขับขี่บนถนนลื่นหรือในทางโค้ง และเหมาะกับการขับในเมืองด้วยระบบ IDLING STOP ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่ง ขับขี่อย่างมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบ Hill Hold Control ที่จะช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และปลอดภัยมากขึ้นด้วยถุงลมนิรภัย SRS ถึง 6 ตำแหน่ง บริเวณคู่หน้า ด้านข้างและม่านด้านข้าง ช่วยรับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

All New Suzuki SWIFT มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Ablaze Red Pearl, Star Silver Metallic, Mineral Gray Metallic, Super Black Pearl และ 2 สีใหม่ คือ Speedy Blue Metallic และ Pure White Pearl ทำตลาด 4 รุ่น GA CVT, GL CVT, GLX CVT และ GLX-Navi CVT ทำตลาด 4 รุ่นย่อย GA CVT 499,000 บาท, GL CVT 536,000 บาท, GLX CVT 609,000 บาท และ GLX-Navi CVT 629,000 บาท

ถึงเวลาสัมผัสจริง บนเขาคดโค้ง-ทางราบในเมือง รวม 80 กิโลเมตร

กิจกรรมการทดสอบครั้งนี้เริ่มต้นที่การแนะนำข้อมูลและรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงของตัวรถ จากนั้นขับรถ All New Swift (รุ่น GLX-Navi) แบบฟรีรันคันละ 1 คน โดยสตาร์ทจากโรงแรม Flora Creek ในเขตอำเภอสะเมิง มุ่งหน้าสู่เขตตัวเมืองของจังหวัดเชียงใหม่และกลับมาจุดเดิมรวมระยะ 80 กม.

สำหรับเส้นทางช่วงแรกเป็นทางโค้งต่อเนื่องขึ้น-ลงเขาสลับไปมา ระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร ซึ่งทันทีเมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปพร้อมไล่ระดับความเร็วเพิ่มขึ้นอยู่ประมาณ 60-90 กม./ชม บนเส้นทางที่คดโค้ง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ ฟิลลิ่งในการขับที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าแบบชัดเจน โดยเฉพาะความนิ่งและความแน่นของตัวรถ ซึ่งทีมวิศวกรบอกว่านี่คือผลที่เกิดจากการใช้แพลตฟอร์มตัวถังใหม่ ที่ชื่อว่า ‘Heartect มีคุณสมบัติเด่นคือ ไร้รอยต่อ มีความแข็งแกร่งและยังมีน้ำหนักที่น้อยกว่าเดิม ที่สำคัญจากการออกแบบยังทำให้ตัวถังต่ำลงและสามารถลดแรงต้านอากาศดีกว่ารุ่นเดิมถึง 10% รวมไปถึงพวงมาลัยที่เปลี่ยนมาใช้แบบ EPS ทำให้รู้สึกชัดว่านิ่ง คมและแม่นยำ ควบคุมรถทำได้ง่าย อีกทั้งมีระยะฟรีไม่มาก

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ขุมพลังที่ตอบสนองได้ดีเหลือเชื่อ ซึ่งเมื่อดูจากสเปกพบว่ากระบอกสูบ-ระยะชัก ตัวเลขแรงม้า-แรงบิดนั้นน้อยกว่าเดิม (83 แรงม้า แรงบิด 108 นิวตัน-เมตร) แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ แรงบิดนั้นมาในรอบที่ต่ำกว่ารุ่นเดิมคือช่วง 4,400 รอบ/นาที อีกทั้งกำลังอัดในกระบอกสูบยังมากขึ้น เดิม 11 เป็น 11.5 รวมถึงระบบการจ่ายเชื้อเพลิงมีการพัฒนามาใช้หัวฉีดคู่ Dual Jet พร้อมระบบควบคุมวาล์วแปรผัน Dual VVT ทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย ทำให้สมรรถนะที่ถ่ายทอดออกมานั้นตอบสนองได้ค่อนข้างดีทั้งในช่วงความเร็วต่ำและสูง รวมทั้งการไต่ระดับความชันเพื่อขึ้นเขา ก็มีพละกำลังให้เรียกใช้ต่อเนื่องจนผู้ขับลืมนึกไปเลยว่านี่คือเครื่องยนต์อีโคคาร์ ส่วนหนึ่งมีผลมาจากการใช้ระบบเกียร์ CVT ลูกใหม่ (มีปั๊มไฟฟ้า) ที่ทำงานได้อย่างราบเรียบมีความต่อเนื่อง

ที่อดชื่นชมไม่ได้คือระบบช่วงล่าง แม้คงรูปแบบเดิม แม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมคอยล์สปริงในด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริง แต่มีการออกแบบใหม่ทังหมดและเซ็ตค่าต่างๆ ให้เหมาะสมกับตัวรถ เรียกว่าใช้ทดแทนกับรุ่นก่อนหน้าไม่ได้เลย ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานสามารถยึดเกาะถนนได้ดี โดยเฉพาะทางโค้งต่อเนื่องนับว่าให้ความมั่นใจกับผู้ขับได้ดีพอสมควร ยิ่งเมื่อผสานกับระบบ ESP หรือระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวรถอาการ Understeer (หน้าดื้อ) หรือ Oversteer (ท้ายบาน) ทำให้ผู้ขับสามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าอยากขับแบบดิบๆ รถออกอาการดื้อๆ ดิ้นๆ หน่อย ก็สามารถปิดการทำงานได้เพียงกดสวิตช์บริเวณฝั่งขวามือค้างไว้ 5 วินาทีระบบก็จะตัดการทำงานทันที (อยู่ด้านล่างของปุ่มสตาร์ท) แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรปิดระบบนี้ ปลอดภัยไว้ชัวร์กว่าครับ

เมื่อลงจากเขตสะเมิงสู่ทางราบเข้าสู่ตัวเมือง สภาพการจราจรเริ่มจอแจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าด้วยขนาดและมิติตัวรถ ทำให้ขับได้อย่างคล่องตัว การเปลี่ยนช่องทางถนนเพื่อเลี่ยงรถช้ากว่าหรือรถที่กำลังจะยูเทิร์นสามารถทำได้ง่ายและคล่องตัว และในช่วงถนนโล่งๆ ก็สามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้น ซึ่งการตอบสนองนับว่าทำได้อย่างรวดเร็วและใช้รอบเครื่องยนต์ไม่สูงมากนัก 90 กม./ชม. 1,700 รอบ/นาที, 100 กม./ชม. 1,800 รอบ/นาที, 110 กม./ชม.2,000 รอบ/นาที และ 120 กม./ชม. 2,200 รอบ/นาที แต่ถ้าต้องการขับแบบสนุกเร้าใจยิ่งขึ้น ก็สามารถปรับโหมดเกียร์เป็นแบบ Sport ได้ (กดปุ่มด้านข้างซ้ายที่คันเกียร์) ซึ่งรอบเครื่องจะตวัดขึ้นมาอยู่ที่ 3,000-4,000 รอบ/นาที ให้กำลังและแรงบิดตอบสนองได้ไวมากขึ้น ในขณะที่ความประหยัดเชื้อเพลิงผลเคลมจากโรงงานระบุไว้ว่าสามารถทำได้ถึง 23 กม. ต่อลิตร แต่ในการใช้งานจริงเมื่อต้องเจอสภาวะเส้นทางที่หลากรูปแบบและการจราจรหลายสถานะ บวกกับการขับที่ไม่เน้นสร้างตัวเลขความประหยัด ผลที่ออกมาก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้คือ 16.7 กม./ลิตร

ขณะเดียวเมื่อวิ่งบนทางราบแบบยาวๆ ผ่านทั้งคอสะพาน รอยต่อถนน ระบบช่วงล่างสามารถเก็บแรงสะท้อนจากพื้นผิวถนนได้ดีในระดับ และมีอาการย้วยหรือโคลงเคลงเล็กน้อย แต่ในทางตรงกันข้ามอาจรู้สึกได้ว่าช่วงล่างนั้นไม่นุ่มนวลเท่าไหร่นักออกไปในแนวกระด้างมากกว่า แต่รวมๆ นับว่าอยู่เกณฑ์ที่รับได้

สำหรับห้องโดยสาร การออกแบบนับว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจ โดยเฉพาะการดีไซน์คอนโซลกลางให้เอียงเข้าหาผู้ขับ ดูแล้วคล้ายๆ กับรูปแบบของรถยุโรปบางรุ่นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งข้อดีของดีไซน์แบบนี้ช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมหรือมองเห็นสวิตช์ต่างๆ ได้ง่ายและสะดวกขึ้น ส่วนชุดมาตรวัดมีออกแบบเป็นทรงกลม ฝั่งซ้ายเป็นความเร็วรอบขวาเป็นระดับความเร็ว พร้อมกับมีการเลือกใช้กรอบสีแดงตัดกับขีดและตัวเลขสีขาวสะท้อนอารมณ์สปอร์ตนิดๆ ตรงกลางมีจอ Information Display ขนาดกำลังดีไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป มองเห็นค่าแสดงผลต่างๆ ได้ง่าย

อีกจุดหนึ่งที่เรียกว่าชอบเป็นการส่วนตัวคือพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ดีไซน์ทรง 3 ก้านแบบ D-Shape โดยด้านล่างตัดตรงเหมือนรถแข่ง อีกทั้งยังเพิ่มพื้นที่ระหว่างเบาะและพวงมาลัย ทำให้ผู้ขับไม่รู้สึกว่าอึดอัดหรือชิดกับขาจนเกินไป นอกจากนี้ก็เพิ่มความทันสมัยด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมติดตั้งฮีทเตอร์มาให้อีกด้วย แต่จะมีโอกาสได้ใช้หรือไม่ก็คงเป็นอีกเรื่อง

โดยในรุ่นที่ทดสอบชุดเครื่องเสียงเป็นจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมฟีเจอร์ Suzuki Smart Connect โดยมีการรวมระบบนำทางกับฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth และวิทยุเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมแอพพลิเคชั่น Apple CarPlay สำหรับ iOS เรียกว่าสามารถลิงค์ข้อมูลต่างๆ ได้ ทั้งการฟังเพลง การต่อสายโทรศัพท์หรือค้นหาเบอร์ รวมไปถึงค้นหาเส้นทาง

ในส่วนของเบาะนั่งว่าออกแบบได้ลงตัวและดูสปอร์ต ส่วนพนักพิงค่อนข้างกว้างหุ้มด้วยผ้าลวดลายคล้ายตารางและมีปีกข้างมารองรับแบบพอดี เรียกว่าคนรูปร่างใหญ่ก็สามารถได้แบบสบายไม่อึดอัดส่วนคนร่างเล็กก็ไม่รู้สึกว่านั่งและโคลงเคลง ส่วนการปรับระดับไม่ว่าสูง-ต่ำ เลื่อนเดินหน้า-ถอยหลัง ก็ยังคงเป็นระบบแมนนวล ส่วนเบาะหลังให้ความอเนกประสงค์รองรับไลฟ์สไตล์การใช้งานได้หลากหลาย สามารถพับปรับได้แบบ 40:60 และมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายถึง 265 ลิตร

ระบบความปลอดภัยบอกเลยว่าแม้เป็นอีโคคาร์ แต่ก็จัดมาให้แบบชุดใหญ่ โดยเฉพาะในรุ่นท็อปและรองท็อป GLX-Navi/GLX ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 6จุด บริเวณคู่หน้า ด้านข้างและม่านด้านข้าง รวมไปถึงระบบ Hill Hold หรือระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบ ESP ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวและระบบ TCS ป้องกันล้อหมุนฟรี รวมไปถึงระบบ IDLING STOP ดับเครื่องอัตโนมัติ เมื่อรถจอดติดและผู้ขับเหยียบเบรก ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ใน All New Swift คันนี้

จากการที่มีโอกาสได้สัมผัสในระยะเวลาไม่นานนัก ก็สามารถตอบได้แบบไม่ยกยอปอปั้นว่า ในชั่วโมงนี้เวลานี้ All New SUZUKI Swift เป็นอีโคคาร์ที่ครบเครื่องจริงๆ เหมาะกับคนยุคปัจจุบันที่มีไลฟ์สไตล์ค่อนข้างหลากหลาย อีกทั้งยังมีความโดดเด่นทั้งในด้านรูปลักษณ์ดีไซน์ สมรรถนะ ความสะดวกสบายและระบบความปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดนี้คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยราคา 6 แสนกว่าๆ ลองคิดดูเองว่าน่าสนใจและคุ้มค่าแค่ไหน