Dodge Challenger SRT Demon 170 ปีศาจตัวแรง 1,025 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 1.66 วินาที ผลิตแค่ 3,300 คัน

Dodge Challenger SRT Demon 170 ปีศาจตัวแรง 1,025 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 1.66 วินาที ผลิตแค่ 3,300 คัน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Dodge ได้เปิดตัวรุ่นสุดท้ายของซีรีส์ Last Call อย่างเป็นทางการ โดย Dodge Challenger SRT Demon 170 มีจุดเด่นที่สุดคือการอัปเกรดขุมพลัง

ตัวอย่างเช่นเมื่อใช้น้ำมัน E85 เครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.2 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ จะทำกำลังสูงสุดได้ 1,025 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 1,280 นิวตัน-เมตร ที่สามารถทำเวลา/ควอเตอร์ไมล์ (0-402 เมตร) เพียง 8.91 วินาที ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก NHRA

โดยรถใหม่มีราคาในต่างประเทศอยู่ที่ 96,666 ดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 3,300,000 บาท) และมีแผนที่จะผลิตเพียง 3,300 คัน แบ่งเป็นในสหรัฐอเมริกา 3,000 คัน และในแคนาดา 300 คัน

เมื่อเทียบกับ Demon รุ่นก่อน การออกแบบภายนอกของรถใหม่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือไม่มีซุ้มล้อหน้าแบบไวท์บอดี้ ติดตรา Demon 170 พร้อมดวงตาสีเหลือง

Demon 170 มีสีภายนอกให้เลือก 14 สี รวมถึงเฉดสีมรดก B5 Blue, สีม่วง Plum Crazy และสีเขียว Sublime ทั้งหมดนี้จะมีการตกแต่งด้วยสีดำ Satin Black บนฝากระโปรงหน้า หลังคา และท้ายรถ

ในด้านการตกแต่งภายในรถใหม่มีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย เช่น หากเน้นสมรรถนะรถก็สามารถเลือกเบาะผ้าคู่หน้า, เบาะหลังแบบพับได้, เบาะหลังแบบถอดได้, ฉนวนกันเสียง, ลำโพง และการกำหนดค่าอื่นๆ

นอกจากนี้ยังสามารถเลือกการตกแต่งภายในและที่นั่งด้วย Alcantara สีดำ และคุณยังสามารถเลือกการระบายอากาศ/การทำความร้อนสำหรับที่นั่ง การอุ่นพวงมาลัย และแม้แต่ตัวเลือกเครื่องเสียงสเตอริโอพร้อมลำโพง 18 ตัว และหลังคาซันรูฟ

การอัปเกรดที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นในส่วนของขุมพลัง Dodge Challenger SRT Demon 170 จะใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.2 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่คือความจุของซูเปอร์ชาร์จเจอร์เพิ่มขึ้นจาก 2.7 ลิตร เป็น 3.0 ลิตร และแรงดันบูสต์ของซูเปอร์ชาร์จเจอร์เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1.5 บาร์

เครื่องยนต์ยังได้รับการเสริมกำลังอย่างเต็มที่ การทำงานทั้งหมด ทำให้ Demon 170 ระเบิดพลังสูงสุด 1,025 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 1,281 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ-นาที เมื่อใช้น้ำมันเบนซินเอทานอล E85

และแม้จะใช้มันเบนซินเอทานอล E10 ธรรมดา รถใหม่จะมีกำลังสูงสุด 900 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 1,098 นิวตัน-เมตร

จากการรายงานรถใหม่สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 1.66 วินาที และสามารถทำเวลา/ควอเตอร์ไมล์ (0-402 เมตร) เพียง 8.91 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 243.23 กม./ชม.

นอกจากนี้ เพื่อให้เครื่องยนต์ของ Demon 170 มีสมรรถนะที่ดีขึ้น รถยนต์รุ่นใหม่ยังติดตั้งระบบการจัดการเครื่องยนต์อัจฉริยะ ซึ่งสามารถแยกแยะปริมาณเอทานอลในน้ำมันเบนซิน และปรับจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดได้ตาม เนื้อหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกพลังงาน มีแม้กระทั่งการแสดงอัตราส่วนเอทานอลบนแดชบอร์ด และเมื่อปริมาณเอทานอลบนจอแสดงผลเกิน 65% เครื่องยนต์จะสามารถให้แรงม้าได้เต็มที่ 1,025 แรงม้า

ในแง่ของระบบส่งกำลัง รถใหม่ยังคงจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และ Demon 170 ยังติดตั้งระบบควบคุมการออกตัว TransBrake 2.0 ที่ได้รับการอัพเกรดใหม่เป็นมาตรฐาน ช่วยให้ผู้ขับขี่เหยียบคันเร่ง จากนั้นดึงแป้นเปลี่ยนเกียร์เพื่อออกตัวที่สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ยังสามารถปรับแรงบิดของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นทีละ 10 วินาทีเพื่อให้ได้การปล่อยกำลังที่แม่นยำที่สุด

เช่นเดียวกับรุ่น Demon 170 จะมีแพ็คเกจเสริม “Direct Connection” ซึ่งเป็นตัวเลือกการเร่งเชิงเส้นซึ่งรวมถึงแถบยึดเข็มขัดนิรภัย, แผงคาร์บอนไฟเบอร์ด้านหลังหลังจากยกเลิกที่นั่งด้านหลัง, แพ็คเกจร่มชูชีพและรุ่น 315/50 R17 Mickey Thompson ยางพิเศษ ET Street R สำหรับการเร่งทางตรง และรุ่นล้อหน้าคือ 245/55 R18 แน่นอนว่าแพ็คเกจนี้ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน

และเจ้าของยังได้รับยางสำหรับวิ่งทั่วไปเมื่อหมดอายุอีกด้วย Demon 170 ยังเพิ่มประสิทธิภาพการลดน้ำหนักของตัวรถอย่างมาก เช่น ล้อที่ทำจากอลูมิเนียมหลอมและคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักรวมของล้อชุดนี้สามารถลดลงได้ 14.56 กก.

นอกจากนี้ ระบบกันสะเทือนของรถใหม่ยังได้รับการอัพเกรดอีกด้วย ระบบกันสะเทือนใช้โช้คอัพ Bilstein แบบปรับได้ ซึ่งเพิ่มความสูงของส่วนท้ายของรถขึ้น 9.9 มม. มีสปริงที่นุ่มนวลขึ้นและเหล็กกันโคลง รถ. จัดเตรียมส่วนต่อประสานการปรับแบบลากได้ซึ่งจะตั้งค่าความนุ่มนวลและความแข็งของการหน่วงช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังซึ่งสามารถปรับปรุงการถ่ายโอนน้ำหนักระหว่างการเร่งความเร็ว

ราคาของ Demon 170 อยู่ที่ 96,666 ดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 3,300,000 บาท) และมีแผนจำหน่าย 3,300 คัน แบ่งเป็น 3,000 คันในสหรัฐอเมริกา และ 300 คันในแคนาดา โดยจะให้จองในวันที่ 27 มีนาคมนี้ ส่วนการผลิตจะเริ่มขึ้นในตั้งแต่กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2023

ชมคลิป