Group Test : รีวิว FORD RANGER RAPTOR แข็งแกร่งแบบจบๆ พร้อมความเท่แบบครบๆ จากโรงงาน
ฟอร์ด ประเทศไทย จัดทริปพิเศษ สุดเร้าใจ เชิญคณะสื่อมวลชนร่วมทดสอบและพิสูจน์สมรรถนะ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์‘ กระบะออฟโรดสมรรถนะสูง ที่อัดแน่นด้วยดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) พร้อมความแรงจากนวัตกรรมเครื่องยนต์ดีเซล Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ และระบบ Terrain Management System (TMS) ที่มีโหมดการขับขี่ทั้งหมด 6 รูปแบบ รวมถึงโหมดบาฮา บนเส้นทางสุดท้าทายเพื่อการขับขี่ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการขับขี่แบบออฟโรดความเร็วสูง ตอกย้ำนิยาม ‘เกิดมาแกร่ง’ ระหว่างวันที่ 3-4 กันยายน 2561 ณ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
รูปลักษณ์ภายนอก มาพร้อมดีไซน์ที่บึกบึนและดุดัน สะท้อนเอกลักษณ์ของแร็พเตอร์และรองรับการใช้งานได้เป็นอย่างดี แก้มข้างรถคู่หน้าแบบใหม่ผลิตมาจากวัสดุคอมโพสิททนทานต่อการผจญภัยแบบออฟโรด แผงกันชนหน้ามาพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED และช่องรีดอากาศ ซึ่งช่วยลดการต้านลมของตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ แก้มข้างรถคู่หน้ายังถูกตีโป่งขยายออก เพื่อรองรับการยุบตัวของโช้คที่เพิ่มมากขึ้นและยางออฟโรดอีกด้วย
ภายในห้องโดยสาร ของเรนเจอร์ แร็พเตอร์ บ่งบอกถึงดีเอ็นเอของฟอร์ดเพอร์ฟอร์แมนซ์อย่างชัดเจน เบาะที่นั่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะและบุด้วยหนังกลับ เพื่อการยึดเกาะที่นั่งที่ดียิ่งขึ้นทั้งยามขับตะลุยเส้นทางออฟโรดหรือเดินทางในเมืองรายละเอียดอื่นๆ ที่ทำให้เรนเจอร์ แร็พเตอร์โดดเด่น ยังรวมไปถึงการเดินด้ายสีน้ำเงิน การเลือกใช้วัสดุหนัง
แผงหน้าปัดที่ออกแบบมาอย่างดุดัน พวงมาลัยบุหนังลายฉลุช่วยให้จับได้ถนัดมือ และมาพร้อมแป้น Paddle Shift ขนาดใหญ่ที่ผลิตจากแม็กนีเซียมน้ำหนักเบา อันเป็นดีเอ็นเอใหม่ของแร็พเตอร์ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างฉับไวและแม่นยำ นอกจากนี้ฟอร์ดยังได้สลักลายโลโก้แร็พเตอร์ลงบนขอบพวงมาลัยเพื่อความสะดุดตา ทั้งยังติดตั้งแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Centre Marker ที่เป็นแถบสีแดงด้านบนตรงกลางของพวงมาลัย เพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบถึงตำแหน่งองศาของพวงมาลัยขณะขับขี่ได้อย่างมั่นใจอีกด้วย
เครื่องยนต์ ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร ที่มอบขุมพลังสูงสุด 213 แรงม้า (157 กิโลวัตต์) และแรงบิดที่มากถึง 500 นิวตัน-เมตร มาพร้อมประสิทธิภาพอันทรงพลังจากการทำงานร่วมกันระหว่างเทอร์โบแรงดันสูงที่มีขนาดเล็กและเทอร์โบแรงดันต่ำที่มีขนาดใหญ่กว่า ยังช่วยเพิ่มพละกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นเมื่อผู้ขับขี่ต้องการอีกด้วย โดยฟอร์ดได้ทำการทดสอบเทอร์โมไซเคิล (Thermo Cycle) ด้วยการทำให้เทอร์โบทั้ง 2 ลูกร้อนจัด จนกลายเป็นสีแดงนาน 200 ชั่วโมงติดต่อกัน ด้วยลูกปืนเทอร์โบที่ผลิตจากอัลลอยคุณภาพสูง สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 860 องศาเซลเซียส และเทอร์โบแรงดันต่ำที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ จึงทำให้เครื่องยนต์สามารถทนต่ออุณหภูมิระดับสูงมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ผลิตจากเหล็กกล้า-อะลูมิเนียมอัลลอย และคอมโพสิท เพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา โดยเกียร์ 10 จังหวะ หมายถึงอัตราทดที่แคบลง ส่งผลให้มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีขึ้น ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ ยังมาพร้อมอัลกอริทึมที่เรียนรู้รูปแบบการขับขี่ เพื่อเลือกเกียร์ที่เหมาะสมที่สุดในทุกการขับขี่ มั่นใจด้วยแชสซีส์สุดแกร่ง ได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงและทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่โดยเฉพาะ โดยผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) เกรดต่างๆ
สนุกและเร้าใจกับโหมดบาฮา ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาที่ประเทศเม็กซิโกอันเลื่องชื่อ โดยระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วย ความเร็วสูง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ ระบบเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด โดยระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงอย่างรวดเร็วกว่าเดิม
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มาพร้อมกับระบบเบรกอันทรงประสิทธิภาพ โดยการใช้ชิ้นส่วนพิเศษที่ทำขึ้นเฉพาะรุ่น คาลิเปอร์เบรกคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ ที่เพิ่มขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขึ้น 9.5 มิลลิเมตร จานเบรกแบบครีบระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่ถึง 332 x 32 มม. และเป็นครั้งแรกของเรนเจอร์ ที่ส่วนด้านหลังดิสก์เบรกพร้อมระบบ Brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 332 x 24 มม. คาลิเปอร์เบรกใหม่ขนาด 54 มม.
พร้อมบุกตะลุยบนทุกสภาพผิวถนน เรนเจอร์ แร็พเตอร์ จึงเลือกใช้ยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17 ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเรนเจอร์ แร็พเตอร์โดยเฉพาะ โดยแก้มยางมีความทนทานสูง เหมาะในการลุยทุกสภาพพื้นผิว และดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นผิวที่เปียกลื่น โคลน พื้นทราย และหิมะ นอกจากนี้ยังเน้นความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ยังมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ที่ทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นการป้องกันการพลิกคว่ำ ด้วยเซนเซอร์ที่ช่วยตรวจจับและลดอัตราการเลี้ยวเกิน เลี้ยวขาด และการพลิกคว่ำ
เพื่อรับมือกับการขับขี่ออฟโรดสุดหฤโหดได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดหรือการขับขี่ที่แสนท้าทาย เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มาพร้อมโช้คอัพแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่ผลิตโดย FOX ซึ่งจะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้น และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนถนนทางเรียบเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล ระบบกันสะเทือนวัตต์ลิงค์ ยังได้รับการออกมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ความเร็วสูงบนสภาพผิวถนนที่ขรุขระโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันผู้ขับขี่ก็ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์และได้รับความสบายอย่างเต็มที่
หลังจากคณะสื่อมวลชนเดินทางมาถึงโรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร ในช่วงเช้าก็ได้รับการต้อนรับโดยผู้บริหารฟอร์ด พร้อมรับฟังบรรยายข้อมูลผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์’ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ทรงพลังสร้างสรรค์โดยความเชี่ยวชาญของทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ รวมถึงโปรแกรมการขับทดสอบ 2 วัน รวมระยะทาง 596 กิโลเมตร ในการสัมผัสนิยามใหม่ของรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง อีกขั้นของความแกร่งตามแบบฉบับเฉพาะของ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์’
ช่วงการทดสอบ เมื่อเสร็จจากการฟังบรรยายคณะสื่อมวลชนได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ด้วยรถกระบะ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์’ ทันที โดยใช้ขึ้นทางด่วนแล้วต่อเนื่องสู่วงแหวนตะวันออก ก่อนตัดลงที่ถนนรังสิต-นครนายก จากนั้นขับยาวไปถึงจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อพิสูจน์การผสานการทำงานของขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พละกำลัง 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตัน-เมตร และระบบควบคุมพวงมาลัยแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Steering Program)
เริ่มจากการใช้การขับขี่โหมดปกติที่มอบความนุ่มนวล โดยสามารถเลือกการขับขี่แบบแมนนวล ที่ผู้ขับสามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงได้เอง เพื่มความสนุกสนานในการขับขี่บนถนนทั้งทางเรียบและทางคดเคี้ยวขึ้นลงเขา หรือเลือกการขับขี่โหมดสปอร์ต ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วฉับไวในขณะที่รอบเครื่องสูง พร้อมค้างรอบเครื่องสูงไว้เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้น และด้วยพวงมาลัยของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ที่มาพร้อมกับแป้น Paddle Shift ขนาดใหญ่ที่ผลิตจากแม็กนีเซียมน้ำหนักเบา ทำให้เปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วตามความต้องการ โดยความเร็ว 90 กม./ชม. ใช้รอบเครื่อง 1,450 รอบ/นาที (เกียร์ 9), 100 กม./ชม 1,500 รอบ/นาที (เกียร์ 10), 110 กม./ชม. 1,600 รอบ/นาที (เกียร์ 10) 120 กม./ชม. 1,750 รอบ/นาที (เกียร์ 10), 130 กม./ชม. 1,900 รอบ/นาที (เกียร์ 10) และ 140 กม./ชม. 2,100 รอบ/นาที (เกียร์ 10)
หลายคนอาจคาดการณ์ว่าสมรรถนะของฟอร์ดแรพเตอร์ ต้องมีอัตราเร่งที่จัดจ้านหรือดึงแบบหลังติดเบาะทันทีเมื่อกระแทกคันเร่ง ซึ่งบอกเลยว่าคาแร็คเตอร์ตรงกันข้าม เพราะการตอบสนองที่ถ่ายทอดออกมาเปรียบง่ายๆ ว่าคันนี้เป็นไดโนเสาร์สไตล์ผู้ดี การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งสัมผัสอัตราเร่งมาแบบเนียนๆ และไหลไต่ระดับความเร็วได้แบบต่อเนื่อง แต่ไม่กระโชกโฮกฮากชนิดหัวสั่นหัวคลอน และยิ่งเมื่อความเร็วรอยตัวแรงบิดหรือพละกำลังก็ถ่ายทอดออกมาให้สัมผัสแบบเรื่อยๆ แป๊บๆ เข็มความเร็วแตะ 150-160 กม./ชม. แบบไม่รู้ตัว ที่สำคัญการเปลี่ยนเกียร์นุ่มเนียนจนแทบไม่รู้สึกถึงช่วงการเปลี่ยนอัตราทด
ผนวกกับการออกแบบภายในตาม DNA ของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ ที่มอบความสะดวกสบาย โดยเฉพาะการเก็บเสียงจากภายนอกไม่ว่าเสียงลมที่มาปะทะกับตัวรถ หรือเสียงยางที่สะท้อนมาจากพื้นผิวเล็ดรอดเข้าสู่ห้องโดยสารน้อยมาก จะมีก็แค่เสียงคำรามของเครื่องยนต์เท่านั้น ส่วนระบบช่วงล่างจังหวะการทดสอบบนทางเรียบ ก็ให้ความรู้สึกนุ่มนวลเกินคาดจนอดนึกไม่ได้ว่านี่มันรถกระบะจริงๆ เหรอ เพราะเก็บแรงสะท้อนจากพื้นผิวได้ดีแบบเหลือเชื่อ ทั้งรอยต่อถนน คอสะพานหรือลูกระนาด เรียกว่าขับรูดกันได้แบบเพลินๆ ทีเดียว
หลังจากนั้นสื่อมวลชนได้เดินทางต่อไปยังสนาม 8 Speed เขาใหญ่ ที่ถูกเนรมิตเป็นสนามออฟโรดสุดท้าทาย พร้อมรับการบุกตะลุยบนทุกสภาพพื้นผิวด้วยระบบ Terrain Management System (TMS) ในโหมดการขับขี่ออฟโรดในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสามารถเลือกได้จากปุ่มบนพวงมาลัยอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดหิน สำหรับพื้นผิวในเขตภูเขาลาดชัน โดยใช้ความเร็วต่ำ เน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ ซึ่งแร็พเตอร์ก็สามารถไต่ขึ้นไปได้แบบนิ่งเนียนด้วยเรี่ยวแรงที่มีอย่างเหลือเฟือ ส่วนโหมดหญ้า/กรวด/หิมะ ที่ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่นและเป็นหลุมบ่อ โหมดโคลน/ทราย ที่สามารถปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึกและเปลี่ยนสภาพได้อย่างพื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง ซึ่งระบบจะทำการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวลพร้อมทั้งออกตัวด้วยเกียร์ที่สอง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ
อีกหนึ่งไฮไลท์คือการจัมพ์บนเนินเพื่อให้รถเหินลอยตัวกลางอากาศ เสมือนเป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่สัมผัสได้ทันทีเมื่อล้อแตะกับพื้น คือรถยังนิ่งไม่เสียการทรงตัว เนื่องจากระบบช่วงล่างสามารถเก็บแรงกระแทกและยุบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ผู้ขับสามารถเหยียบคันเร่งและควบคุมรถให้เคลื่อนตัวทะยานต่อไปข้างหน้าได้แบบนิ่งๆ จนสร้างความประทับใจให้กับสื่อมวลชนที่ร่วมการทดสอบในครั้งนี้แทบทุกคน ที่สำคัญการจัดการทดสอบลักษณะไม่ต้องการสื่อให้เห็นว่ารถบินหรือโดดสูงๆ แบบนี้ได้ แต่ต้องการให้เห็นถึงความคงทนและประสิทธิภาพของช่วงล่าง
ในวันถัดมาคณะสื่อมวลชนออกเดินทางสู่ทุ่งกังหันลมห้วยบง ซึ่งได้รับจำลองให้เป็นสนามทดสอบการขับขี่สุดทรหดเฉพาะกิจ เพื่อพิสูจน์การขับขี่ออฟโรดสมรรถนะสูงบนทุกสภาพพื้นผิว บนเส้นทางทรายสุดวิบากและเส้นทางกรวดหินแสนทรหดที่มีพื้นผิวที่ลื่น เป็นหลุมเป็นบ่อ ด้วยการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง โดยใช้โหมดบาฮาซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Baja 1000 รายการแข่งแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาอันเลื่องชื่อ
ในโหมดนี้ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ รวมทั้งเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด ระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม พิสูจน์ประสิทธิภาพเหนือชั้นของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ที่มาพร้อมโช้คอัพคู่ด้านหน้าและหลังของ Fox Racing Shox เพื่อซับแรงกระแทกเมื่อขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง และยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17 ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อลุยทุกสภาพพื้นผิวอันสมบุกสมบันเป็นพิเศษสำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์โดยเฉพาะ
สรุป : จากภาพรวมทั้งการขับขี่แบบ On Road และ Off Road ที่หนักหน่วง เห็นได้ชัดว่าคาแร็คเตอร์ของ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์’ ถูกเซ็ตให้มีความหล่อ-แกร่ง-และแรงแบบจบๆ จากโรงงาน
ซึ่งนิยามส่วนตัวของผมสำหรับรถคันนี้มันคือ ‘The Richman Toy’ ซึ่งก็อาจไม่ถูกจริตสำหรับคนที่ซื้อเป็นรถคันแรกหรือต้องการขับใช้งานทุกวันในเมือง เนื่องจากมิติรถมีขนาดใหญ่ ทำให้การเข้าจอดหรือขับผ่านพื้นที่จราจรคับคั่งอาจไม่สะดวก ส่วนจะใช้เท่ๆ อันนี้ไม่ว่ากัน หรือเน้นเดินทางไกลๆ นอกเมือง-ข้ามจังหวัด หรือขับขี่สไตล์สมบุกสมบัน เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ บอกได้เลยสนุกและมั่นใจได้แบบที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อนแน่นอน
สำหรับเรื่องดีไซน์ไม่พูดเยอะคำเดียวสั้นๆ ว่าโดนใจขาลุยมาก ครบเครื่องทั้งความดุดันและดิบเท่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อผสานกับความแกร่งของระบบช่วงล่างที่เรียกว่าเหนือใครในตลาดรถกระบะ พร้อมสมรรถนะของขุมพลังที่มีเรี่ยวแรงแบบเหลือๆ เมื่อเทียบกับราคา 1,699,000 บาท ซึ่งถ้าคุณสะดวกพร้อมจ่าย บอกเลยยังไงก็คุ้มค่าซื้อไปแทบไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่ม เพราะจัดหนักจัดเต็มมาแบบครบๆ จบเบ็ดเสร็จจากโรงงานแล้ว
ขอขอบคุณ : ฟอร์ด ประเทศไทย
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " Group Test : รีวิว FORD RANGER RAPTOR แข็งแกร่งแบบจบๆ พร้อมความเท่แบบครบๆ จากโรงงาน "