Hilux Revo Caravan Trip ตอนที่ 7 จาก อิหร่าน – ตุรกี
วันที่ยี่สิบเจ็ด : 29 มิ.ย. 2559
เส้นทาง : เตหะราน – ทาบริซ อิหร่าน
หลังจากที่เดินทางกันมานานถึง 27 วัน ทางทีมคาราวาน Hilux Revo ได้เดินทางมาแล้วรวมระยะทางกว่า 12,408 กม. ถือได้ว่า Hilux Revo ทั้ง 9 คัน สอบผ่านความอึด ได้เป็นอย่างดี
ในวันนี้จะเป็นการต้อนรับคณะสื่อมวลชนกลุ่มที่ 4 ด้วยระยะทาง 623 กิโลเมตร เป้าหมายที่เมืองทาบริซ (Tabriz) ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายในประเทศอิหร่าน
ทีมคาราวานออกเดินทางช่วงเวลา 8 โมงเช้า ได้ไปบอกลา เตหะรานกันที่หอคอย Azadi tower แลนด์มาร์คประจำเมือง
เส้นทางของวันนี้หลังจากออกจากเขตเมือง ก็เป็นที่ราบกึ่งทะเลทรายอีกครั้ง และตลอดทางจะพบกับด่านตรวจความเร็วมาเป็นระยะๆ ดังนั้นการเลือกใช้ Cruise Control ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องเหยียบคันเร่ง
เมื่อใกล้เมืองทาบริซ สภาพภูมิประเทศมีความเปลี่ยนแปลง จากรูปแบบทะเลทรายสลับเขา เริ่มมีต้นไม้ปกคลุมบ้างเล็กน้อย และไม่นานนักคาราวานก็เดินทางมาถึงเมืองทาบริซ กันในช่วงเย็นซึ่งมีเวลาพอให้เดินเล่นพักผ่อนชมวัฒนธรรมของคนในชุมชน เล็กน้อยแบบไม่ไกลจากโรงแรม เมืองนี้จะอยู่กันสบายๆ ไม่แออัดเหมือนกรุงเตหะราน
เราเดินเล่นกันจนมาถึง มัสยิดบลูมอสก์ ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี คศ.1465 แต่ตอนที่ไปถึงก็ได้เวลาปิดแล้ว จึงไปเดินเล่นกันต่อยังจตุรัสกลางเมืองที่มี City Hall
เมื่อสมควรแก่เวลาจึงรีบกลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้มีภารกิจข้ามแดนไปยังประเทศตุรกี ซึ่งแต่ละประเทศจะมีขั้นตอนในการตรวจเอกสารผ่านเข้าเมืองไม่เหมือนกัน แม้ระยะทางอาจจะไม่ไกลนัก แต่ก็มีความเสี่ยงว่าจะใช้เวลากันนาน ดังนั้นต้องเตรียมความพร้อมโดยออกกันแต่เช้าวันพรุ่งนี้
วันที่ยี่สิบแปด : 30 มิ.ย. 2559
เส้นทาง : ทาบริซ อิหร่าน – โดคูเบยาซิต ตุรกี
วันนี้ทีมคาราวานพร้อมเดินทางข้ามประเทศไปยังตุรกีกันแต่เช้า ซึ่งห่างจากเมืองทาบริซไม่ไกลนักประมาณ 290 กิโลเมตร ทีมคาราวานออกจากโรงแรมกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการยื่นเอกสารผ่านแดนจากประเทศอิหร่านเข้าไปยังประเทศตุรกี
เส้นทางวันนี้สองข้างทางยังคงเป็นที่ราบสลับขึ้นลงเขามีภูเขาดินทรายตลอดทาง แต่ก็มีต้นไม้ปกคลุมเขาบ้างเล็กน้อย ไม่นานนักทีมคาราวานก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งต้องต่อคิวเข้าแถวเตรียมตรวจกัน
ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง นักเดินทางจะใช้เวลากันไม่มากนักเนื่องจาก ประเทศตุรกีไม่ต้องขอวีซ่า เพราะฉะนั้นขั้นตอนไม่ซับซ้อน แต่สำหรับรถที่จะผ่านแดนต้องมีการตรวจสอบกันละเอียด ซึ่งใช้เวลา และทีมคาราวานเราก็ได้เผื่อเวลามาแล้ว ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าไม่นานนัก
เมื่อผ่านด่านกันเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าเพื่อเข้าเมืองโดคูเบยาซิต (Dogubeyazit) พ้นด่านมาด้านหน้าก็ได้เห็นภูเขาอารารัต (Ararat) รออยู่เบื้องหน้าทันที ภูเขาแห่งนี้มีความสูงถึง 5,137 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในตุรกี และมีหิมะปกคลุมตลอดปี คล้ายภูเขาไฟฟูจิ ญี่ปุ่น ชาวเปอร์เซียจะเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “โคอินูห์”
ทีมคาราวานแวะขึ้นเขาเพื่อไปชม “เรือโนอาห์” (Noah’s Ark) ซึ่งต้องขับรถไต่ขึ้นเขาค่อนข้างชัน พอขึ้นไปถึงด้านบนจะเห็นร่องรอยที่เค้าเชื่อกันว่านี่คือร่องรอยของเรือโนอาห์ในตำนาน ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ที่กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลของชาวยิว รวมไปถึงคัมภีร์อัลกุราอ่านของชาวมุสลิม โดยเล่ากันว่าพระผู้เป็นเจ้าของชาวยิวได้ช่วยเหลือโนอาห์กับสมาชิกในครอบครัว 7 คน และสัตว์ชนิดต่างๆ อย่างละหนึ่งคู่ จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตคนไปหมดโลก โดยบอกให้โนอาห์ต่อเรือยาวขนาด 137 เมตร และนำทุกคนกับสัตว์ต่าง ๆ ไว้บนนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เรือโนอาห์ก็ลอยอยู่บนผืนน้ำเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อน้ำลด เรือก็ลอยมาติดที่เทือกเขาแห่งนี้
หลังจากชมวิวเก็บภาพเสร็จ ก็ได้เวลาลง ที่โค้งชัน ดังนั้นระบบ DAC ที่ช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน โดยไม่ต้องแตะเบรก ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
จากนั้นทีมคาราวานได้เข้าไปที่ตีนเขา เพื่อเก็บภาพ ก่อนออกเดินทางไปยังเมือง โดคูเบยาซิต และเช็คอินเข้าพักกันที่นี่
ในช่วงค่ำ ก็มีชาวคณะบางคนไปเดินเล่นที่บริเวณถนนคนเดิน ยิ่งค่ำคนก็จะยิ่งเยอะ เพราะอยู่ในช่วงถือศีลอดเช่นดียวกัน แต่เดินไม่นานนักก็ต้องกลับเข้าโรงแรมพักผ่อน เก็บแรงเดินทางกันต่อในวันพรุ่งนี้
ในพรุ่งนี้เราจะมาเดินทางกันต่อภายในประเทศตุรกีกัน
วันที่ยี่สิบเก้า : 1 ก.ค 2559
เส้นทาง : โดคูเบยาซิต – มาร์ดิน ตุรกี
เข้าสู่วันที่ 29 ของการเดินทางตามรอยเส้นทางสายไหม เรายังเดินทางกันต่อในตุรกีกันวันนี้ และตลอดทางของคณะสื่อมวลชนกรุ๊ปที่ 4 จะอยู่ตุรกีกันยาวๆ เพราะตุรกีเป็นประเทศที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างใหญ่
ในวันนี้ทีมคาราวาน มีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่เมืองมาร์ดิน (Mardin) ระยะทาง 700 กิโลเมตร
เริ่มออกเดินทาง เราก็กลับเข้ามาสู่ถนนใหญ่ 4 เลน กับธรรมชาติที่รายล้อมไปด้วยความสวยงาม ขับไปสักพักจะเข้าสู่ถนนสองเลนที่ตัดผ่านขุนเขา หลังจากออกมาได้ก็จะกลับมาถนนใหญ่ 4 เลนอีกครั้ง
เส้นทางมีโค้งบ้างเป็นระยะ มาให้ทดสอบความหนึบและแกร่งของช่วงล่วง DCS ช่วยการเดินทาง พอมีความสนุกสนานให้สัมผัสกันโดยไม่เบื่อนัก
เราแวะพักทานอาหารกลางวันที่ทะเลสาบวาน (Van) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี มีสีสันสวยงามของสีเทอร์ควอยส์กลืนกับสีสดของท้องฟ้าได้อย่างลงตัว มื้อนี้ทีมคาราวานหุงข้าวทานกันเองกับอาหารที่เตรียมมาจากกรุงเทพฯ เพราะยังอยู่ในช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม
หลังจากเดินทางกันต่อ ก็มาแวะถ่ายภาพสะพานโบราณสมัยยุคออตโตมัน ประมาณ 600 ปี ที่เมือง Mostar
หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เส้นทางเริ่มแคบเป็นเลนสวน โค้งเขา และยังขรุขระตลอดทาง ซึ่งได้ช่วงล่าง DCS ที่ช่วยการยึดเกาะเป็นอย่างดี และไฟหน้า LED Projector ที่ให้ความสว่าง ซึ่งช่วยนำทางพาคาราวานมุ่งหน้าสู่เมืองมาร์ดินกันได้โดยปลอดภัย
วันนี้ทีมมาถึงกันค่อนข้างค่ำ จึงทานอาหารค่ำที่โรงแรมแล้วเช็คอิน พักผ่อนกันเลย
พรุ่งนี้คณะคาราวานจะมาสำรวจเมืองมาร์ดินกันต่อครับ
วันที่สามสิบ : 2 ก.ค. 2559
เส้นทาง : มาร์ดิน – อะดิยามัน ตุรกี
ในวันนี้ก่อนออกเดินทาง เราได้ออกมาเดินเล่นชมเมืองมาร์ดิน (Mardin) กันก่อน
เมืองมาร์ดินมีชื่อเสียงในเรื่องเครื่องประดับ ถั่วพิสตาชิโอ และละครซีรี่ส์หลายๆ เรื่อง เมืองนี้มีพรมแดนติดกับประเทศซีเรีย ซึ่งโรงแรมที่ทีมคาราวานพักห่างจากพรมแดนประมาณ 30-40 กิโลเมตร โดยมีภูเขากั้นอยู่
การเดินทางในวันนี้เข้าสู่วันที่ 30 ซึ่งภารกิจการเดินทางไปยังเมืองอะดิยามัน (Adiyaman) วันนี้มีระยะทาง 441 กิโลเมตร
เส้นทางช่วงแรกเป็นถนนสี่เลนขับผ่านที่ราบสลับเขา มีทางโค้งตามแนวเขาเข้ามาทดสอบสมรรถนะช่วงล่างของ Hilux Revo เป็นระยะ บางช่วงก็เป็นเมือง ที่ต้องจอดรถติดสัญญาณไฟแดงกัน Hilux Revo มีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Start & Stop System) ทำให้เครื่องยนต์ได้พัก ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษอีกด้วย
ในวันนี้มื้อเที่ยง ทีมคาราวานแวะทานอาหารกันในบรรยากาศวิวสวยๆ ของอ่างเก็บน้ำหลังเขื่อน Ataturk ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในตุรกี น้ำในเขื่อนมีสีสวยราวกับสีของทะเลสาบวาน (Van) ที่เราผ่านมาเมื่อวานนี้
ช่วงบ่ายเราเดินทางกันต่อไปยังเทือกเขาเนมรุต (Nemrut) เส้นทางช่วงนี้เป็นการขึ้น-ลงเขา ทางโค้งสลับทางราบตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงจุดขึ้นเขา เส้นทางเป็นเลนสวน แคบ มีทางโค้งและชัน แต่ช่วงล่าง DCS ทำหน้าที่ได้ดีไร้ปัญหา และไม่นานก็มาถึงยอดเขาเนมรุต (Nemrut) ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 2,134 เมตร
ภูเขาเนมรุต (Nemrut) ถือเป็นสถานที่ที่ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก หรือ UNESCO
ประกอบไปด้วยโบราณสถาน ประกอบกับวิวทิวทัศน์ยอดเขาที่สามารถเห็นวิวทิวเขาโดยรอบแบบ 360 องศา
ชมความงามกันพอหอมปากหอมคอ ก็กลับลงเส้นทางเดิม ระบบ DAC ก็ยังช่วยเหลือเราขณะลงทางชันเหมือนเคย ไม่ต้องแตะเบรกเช่นเคย มั่นใจและปลอดภัย นอกจากนี้ การใช้เกียร์ Sequential Shift ที่ใช้ควบคุมเกียร์ ทำให้การขับขี่เข้าโค้งได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
เดินทางกันสักพัก ก็มาถึงที่พัก เพื่อรับประทานอาหารเย็นและเตรียมตัวพักผ่อน เตรียมลุยวันถัดไป
ในตอนหน้า เพื่อนๆ มีนัดกับเมืองสุดสวยและยอดฮิต เมืองคัปปะโดเกีย (Cappadocia) !
ซึ่งยังคงเดินทางกันต่อในประเทศตุรกี อย่าลืม ทาง 9carthai เราจะมาอัพเดทให้เพื่อนๆ รับชมกันต่อ
ผู้สนใจสามารถติดตามกันได้ที่ www.toyota.co.th/hiluxrevocaravantrip พร้อมร่วมสนุก “อ่านแล้วแชร์” ง่าย ๆ เพียงแค่คลิ๊ก และพิมพ์ #hiluxrevocaravantrip รับกล้อง GoPro Hero4 และของที่ระลึกอื่น ๆ อีกมากมาย
โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ขับจริง หนึบจริง แกร่งจริง
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " Hilux Revo Caravan Trip ตอนที่ 7 จาก อิหร่าน – ตุรกี "