GROUP TEST : รีวิว Honda Accord 2.0 Hybrid TECH เจ้าของค่าตัว 1.799 ล้านบาท มีดีที่ตรงไหน? ไปหาคำตอบกัน
หลังจากถูกนำมาเผยโฉมให้คนไทยได้สัมผัสอย่างเป็นทางที่งาน Motor Show 2019 ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่า Honda Accord ใหม่ เจเนอร์เรชั่นที่ 10 จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ลูกค้าต่างเฝ้ารอการเปิดราคาจำหน่ายอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่าน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Honda Accord 2019 ที่มีให้เลือกด้วยกัน 3 รุ่นย่อย ได้แก่
จากวันนั้นจนวันนี้ ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนกว่า Honda Accrod ใหม่ มียอดจองสูงถึง 4,500 คัน โดยแบ่งสัดส่วนเป็น 50% ต่อ 50% สำหรับรุ่น 1.5 Turbo EL กับรุ่น Hybrid (รุ่น Hybrid รวมกับ Hybrid TECH) ซึ่งนั่นหมายความว่าในรุ่นท็อปสุดอย่าง Honda Accord 2.0 Hybrid TECH นั้น ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากลูกค้าชาวไทย แต่มันมีดีอย่างไรในราคาค่าตัวราวๆ 1.8 ล้านบาท วันนี้ทีมงาน 9carthai.com จะมารีวิว พร้อมเจาะลึกทุกฟังก์ชั่นการใช้งานให้ได้พิจารณากัน
สำหรับดีไซน์ของ Honda Accord 2019 นั้น ได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่ไปจากเจเนอเรชั่นที่ 9 อย่างสิ้นเชิง โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูหรูหราแบบพรีเมียม ที่ผสานความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว เริ่มจากชุดไฟหน้าใหม่อันโฉบเฉี่ยวแบบ LED ดีไซน์เส้นสายอย่างมีเอกลักษณ์ สอดรับกับกระจังหน้าขนาดใหญ่แบบโครเมียม หลังคาแบบท้ายลาดให้อารมณ์สปอร์ตแบบรถคูเป้ เสาอากาศแบบครีบฉลามแบบรถยนต์นั่งระดับหรูจากยุโรป ไฟท้ายดีไซน์แบบ C-Shape ส่องสว่างด้วยหลอด LED แต่สิ่งที่แตกต่าง และเพิ่มขึ้นมาในรุ่น 2.0 Hybrid TECH นั้น ได้แก่ หลังคาซูนรูฟ พร้อมระบบ One-Touch, ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 235/45R18, ไฟส่องมือจับเปิดประตูด้านนอก และสปอยเลอร์ท้ายแบบตูดเป็ด
มิติตัวถังของ Honda Accord 2.0 Hybrid TECH
ส่วนภายในห้องโดยสารของ Honda Accord 2.0 Hybrid TECH นั้น มาพร้อมกับการออกแบบที่ผสมผสานเอกลักษณ์ความสปอร์ตพรีเมียมไว้อย่างลงตัว โดยจะมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ และ สีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสีภายนอก) มาพร้อมพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง ที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้งานที่หลากหลายด้วยฟังก์ชั่น และเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกอันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็น ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-Up Display: HUD), มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว, ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI, พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง และปุ่ม รับ-วางสายโทรศัพท์ รองรับระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI และระบบนำทางเนวิเกเตอร์, ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT, อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) และช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ฯลฯ นอกจากนั้นแล้ว ยังได้มีการย้ายตำแหน่งของแบตเตอรี่ IPU จากห้องสัมภาระด้านท้ายไปยังใต้เบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง ส่งผลให้ห้องโดยสาร และพื้นที่สัมภาระท้ายมีความกว้างขวางเทียบเท่ากับในรุ่น 1.5 Turbo EL
สำหรับขุมพลังของ Honda Accord 2.0 Hybrid TECH นั้น ทาง Honda ตั้งชื่อว่า ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ซึ่งเป็นการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินรหัส LFB1 แบบ 4 สูบ Atkinson Cycle ขนาด 2.0 ลิตร DOHC i-VTEC 16 วาล์ว ที่ให้สมรรถนะสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ที่ 3,500 รอบ/นาที ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลัง 2 ตัว AC Synchronous Permanent Magnet Electric Motor ที่ให้พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 0 – 2,000 รอบ/นาที ซึ่งเก็บพลังงานไว้ที่แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน โดยเมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้สมรรถนะสูงสุดที่ 215 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า E-CVT
ทั้งนี้ระบบ Sport Hybrid i-MMD ใหม่ เป็นระบบ Full Hybrid ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง และอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม โดยทาง Honda ระบุว่า Honda Accord Hybrid ใหม่ มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 24.4 กม./ลิตร อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 97 กรัม/กม. โดยมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 โหมดดังนี้
โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode)
หรือพูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ โหมดที่ขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และในขณะลดความเร็วจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดจากการลดความเร็วให้กลับเป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่ ซึ่งในระบบนี้จะให้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ และให้ความเงียบเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง โดยสามารถขับขี่ในโหมด EV Drive Mode ได้อย่างต่อเนื่อง และทำความเร็วได้สูงสุดได้ถึง 130 กม./ชม.
ทั้งนี้ ผู้ขับขี่สามารถกดสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Mode) เพื่อเข้าสู่โหมดการขับขี่ที่ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยจะมีสัญลักษณ์ EV สีเขียวปรากฏขึ้นบนแผงหน้าปัด ให้การขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน และเงียบสนิท ซึ่งระบบจะทำงาน และตัดเข้าสู่การทำงานในโหมดอื่นตามสภาพการขับขี่ที่เปลี่ยนไป
โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode)
เป็นระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์ และพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว และมีอัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจ และในขณะลดความเร็วเครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และชาร์จไฟกลับอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในขณะเร่งความเร็วที่ให้อัตราเร่งที่นุ่มนวล และทรงพลัง
โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)
พลังขับเคลื่อนจะมาจากเครื่องยนต์ โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์ และส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูง และมีแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่
นอกจากนั้นแล้ว Honda Accord 2.0 Hybrid TECH ยังมาพร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Drive Mode) ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงอารมณ์สปอร์ตได้อย่างแท้จริง ตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างเร้าใจยิ่งขึ้น สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่ม SPORT ที่อยู่บริเวณด้านล่างของคันเกียร์ โดยสัญลักษณ์ SPORT จะแสดงขึ้นบนมาตรวัดในขณะที่ใช้ระบบ
อีกทั้ง ECON Mode ระบบที่ช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง โดยจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ให้สัมพันธ์กัน นอกจากนั้นระบบจะปรับการทำงานของระบบปรับอากาศ และการหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสารให้เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับสมรรถนะของ Honda Accord 2.0 Hybrid TECH หลังจากที่ได้ทดลองขับในระยะทางกว่า 80 กม. ต้องยอมรับว่า ขุมพลัง Hybrid ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ แม้จะเป็นเครื่องยนต์บล็อคเดิมจากเจเนอเรชั่น 9 ก็ตาม ให้การตอบสนองที่รวดเร็วทันใจ อารมณ์เหมือนขับรถยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์ หรือมีจังหวะหน่วงให้รู้สึก ซึ่งนั่นน่าจะเป็นผลพลอยได้จากชุดเกียร์ E-CVT ที่ไม่มีเฟืองเหมือนกับเกียร์ทั่วๆ ไป แต่จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ และเครื่องยนต์ โดยใช้ชุดตัดต่อกำลัง ทำให้รอบเครื่องยนต์ไหลลื่น อัตราเร่งให้การตอบสนองที่รวดเร็ว จนลืมไปเลยว่าตัวรถมีน้ำหนักกว่า 1.5 ตัน ซึ่งทางหัวหน้าวิศวกรระบุว่า เครื่องยนต์ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) มีความเร้าใจเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร แบบ V6 เลยทีเดียว
ส่วนสมรรถนะของระบบช่วงล่าง Honda Accord 2.0 Hybrid TECH นั้น จะให้ความรู้สึกที่นุ่มหนึบ และเกาะถนน เนื่องด้วยตัวรถถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งพรีเมียมซีดาน ซึ่งจะมีความแตกต่างจากรุ่น 1.5 Turbo EL อยู่เล็กน้อย เนื่องด้วยน้ำหนักตัวรถที่มากกว่าถึง 104 กก. ทำให้ทางทีมวิศวกรมีการปรับเซ็ทค่า K ของสปริงใหม่ให้แตกต่างกัน รวมไปถึงบาลานซ์การถ่ายเทน้ำหนักของรุ่น 2.0 Hybrid TECH ก็ได้รับการปรับเซ็ทใหม่ ส่งผลให้ในรุ่นท็อปนั้น จะให้ความรู้สึกที่แน่น และเฟิร์มกว่า การควบคุมรถในโค้งด้วยความเร็วสูงสามารถทำได้อย่างมั่นใจ พวงมาลัยมีการปรับเซ็ทให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงความเร็ว ซึ่งมีความแม่นยำ และเฉียบคมเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า Honda Accord 2.0 Hybrid TECH มีระบบช่วงล่างที่ให้การขับขี่ที่สนุกไม่ต่างจากการขับรถสปอร์ตเลยก็ว่าได้
นอกจากนั้นแล้ว ใน Honda Accord 2.0 Hybrid TECH ยังมีระบบหน่วงความเร็ว และนำแรง G กลับไปสร้างกระแสไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าอีกด้วย โดยดีไซน์การใช้งานแบบแป้น Paddle Shift ซึ่งติดตั้งอยู่หลังพวงมาลัย โดยสามารถเลือกระดับความหน่วงความเร็วได้ 4 ระดับ ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งจังหวะการขับลงเขา, เข้าโค้ง หรือต้องการลดความเร็วลงโดยไม่ต้องแตะเบรก (ลักษณะการทำงานคล้ายๆ Engine Brake) ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของ Honda Accord 2.0 Hybrid TECH นั่นก็คือ เทคโนโลยี Honda SENSING (เฉพาะรุ่น Hybrid และ Hybrid TECH) ผสานการทำงานของเรดาร์ และกล้องด้านหน้าในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนน ซึ่งประกอบไปด้วย
ระบบเตือนการชนรถ และคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
เป็นระบบที่ช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วของรถ เมื่อมีรถคันข้างหน้า หรือคนเดินถนนอยู่ในระยะที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูล และสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีที่มีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนองหรือในกรณีที่อยู่ในระยะที่เสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกให้อัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
เป็นระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้อง และเรดาร์ตรวจจับรถคันหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรก และหยุดตามรถคันหน้าอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS
กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัยเพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ภายในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับจากการขับขี่
ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)
เป็นระบบที่ใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัยเพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทาง หากรถยังคงเบี่ยงออกนอกช่องทางจนอาจเกิดอุบัติเหตุ ระบบเบรกจะทำงานเพื่อชะลอความเร็ว
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
เป็นระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือมีรถยนต์ด้านหน้า
ปิดท้ายกันที่เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่มีอยู่ในเฉพาะ Honda Accord 2.0 Hybrid TECH เท่านั้น นั่นก็คือ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะพร้อมระบบช่วยเบรก (Honda Smart Parking Assist System) โดยระบบจะช่วยควบคุมพวงมาลัยให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ขับขี่เพียงแค่เดินหน้า หรือถอยหลัง และเคลื่อนที่ไปตามตำแหน่ง และคำแนะนำบนหน้าจอ ระบบก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การจอดรถทั้งแนวขนาน และการถอยหลังเข้าจอด
วิธีการใช้งาน ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Honda Smart Parking Assist System) ดังนี้
โดยรวมแล้วถือว่า Honda Accord 2.0 Hybrid TECH เป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมที่น่าสนใจ และคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย เมื่อเทียบกับราคาค่าตัวที่ 1.799 ล้านบาท กับสมรรถนะ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ทาง Honda ติดตั้งมาให้อย่างครบครัน
และเมื่อเทียบกับคู่แข่งในท้องตลาด จะเห็นได้ว่า Honda Accord 2.0 Hybrid TECH มีอ็อพชั่นที่จัดเต็มที่สุด นอกจากนั้นแล้วทาง Honda ยังกล้ารับประกับแบตเตอรี่นานถึง 10 ปีเต็ม ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ให้ความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
สำหรับใครที่สนใจก็สามารถติดต่อตัวแทนจำหน่าย และโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศได้แล้ววันนี้ แต่อาจจะต้องรอรับรถนานถึง 2 เดือนเลยทีเดียว เนื่องจากมียอดสั่งจองเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าใครอยากได้ยนตรกรรมที่เพียบพร้อมไปด้วยความหรูหรา และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัย ก็ขอแนะนำว่าให้รอ…
รีวิว Chevrolet Colorado High Country Storm 4×4 เมื่อคำว่าสุด…มิอาจหยุดเราได้
รีวิว All-New Mazda CX-8 มาตรฐานอเนกประสงค์ยุคใหม่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
รีวิว MG Extender สมาร์ทปิกอัพ ตัวถังใหญ่นั่งสบาย อ็อพชั่นมากมายเต็มคัน
รีวิว All-New Toyota Altis Hybrid ยืนหนึ่งเรื่องความประหยัด อ็อพชั่นคุ้มค่าคุ้มราคา
รีวิว All-New Mazda 3 หรูหรา แต่ทรงพลัง อ็อพชั่นอัดแน่นเต็มคัน เทียบชั้นรถยุโรป
รีวิว All-New Chevrolet Captiva 2019 โดดเด่นอย่างมีสไตล์ สะดวกสบายทุกที่นั่ง
รีวิว Mitsubishi Pajero Sport 2019 ปรับลุคใหม่ ใส่อ็อพชั่น คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
รีวิว NEW MG EXTENDER สัมผัสแรกกับกระบะพันธุ์ใหม่แห่งค่าย MG
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " GROUP TEST : รีวิว Honda Accord 2.0 Hybrid TECH เจ้าของค่าตัว 1.799 ล้านบาท มีดีที่ตรงไหน? ไปหาคำตอบกัน "