วิเคราะห์ Lucid Motors แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ ที่จะแซงหน้า Tesla ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

วิเคราะห์ Lucid Motors แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ ที่จะแซงหน้า Tesla ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ต้องยอมรับว่าในยุคปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีแห่งโลกยานยนต์กำลังหันไปหาการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นเบอร์ 1 มาโดยตลอดก็คงหนีไม่พ้น Tesla แต่ทว่าตอนนี้มีแบรนด์น้องใหม่ที่กำลังมาแรงอย่าง Lucid Motors ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันเหมือนกัน กำลังไล่บี้เข้ามา แถมยังมีรายละเอียดเบื้องหลังที่น่าจับตามองไม่น้อย และถูกยกให้เป็นผู้ท้าชิงเบอร์ 1 ที่จะสามารถโค่น Tesla ลงจากบัลลังก์ได้อีกด้วย

เหตุใดถึงกล้ายก Lucid Motors ขึ้นมาเทียบเท่า Tesla เราไปวิเคราะห์กัน

1. CEO ของ Lucid Motors คือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Tesla โดย Peter Rawlinson นั้น เคยนั่งตำแหน่ง Vice President of Engineering ที่ Tesla และยังเป็น Chief Engineer ของ Tesla Model S ในตอนนั้นอีกด้วย รวมไปถึงการได้ Peter Hocholdinger ที่ปัจจุบันนั่งตำแหน่ง Vice President of Manufacturing ของ Lucid Motors ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมตอนที่อยู่กับ Tesla มาร่วมทีม แถมยังดึงเอาพนักงาน และบุคลากรเก่งๆ จาก Tesla มาร่วมทีมอีกเพียบ

2. Lucid Air รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2020 และกำลังจะเข้าสู่กระบวนการผลิตในเดือนเมษายนนี้ ทาง Lucid Motors ได้มีการออกแบบโครงสร้างที่จะรองรับการขยายตัวของรุ่นอื่นๆ ที่จะตามออกมาในอนาคต โดยสามารถสลับสับเปลี่ยน และผลิตได้ง่าย เพื่อประหยัดงบลงทุนในเฟสต่อๆ ไป

3. Lucid Air มีการพูดคุยกับกลุ่ม Saudi Arabia’s public wealth fund เพื่อสร้างโรงงานในซาอุดิอาระเบีย โดยจุดนี้น่าสนใจเพราะประเทศนี้กำลังหา s-curve การเติบโตใหม่หลังหมดยุคของน้ำมัน และเคยให้เงินลงทุนกับ Lucid ไปแล้วกว่า 30,000 ล้านบาทในปี 2018 เพื่อทำรถต้นแบบ “Lucid Air”

4. Lucid Air เป็นรถที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเดียวกัน โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า Tesla Model S ประมาณ 14% โดย Lucid Air สามารถวิ่งได้ 7.4 กิโลเมตร/kWh ส่วน Tesla Model S วิ่งได้ 6.6 กิโลเมตร/kWh (1 kWh เท่ากับ 1 หน่วยไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเรา ราคาหน่วยละประมาณ 4 บาทกว่าๆ)

ข้อมูลรถ Lucid Air : เปิดสเปคและราคาจำหน่าย Lucid Air เริ่ม 2.18 ล้านบาท พร้อมท้าชน Tesla

5. Lucid Air มีระยะวิ่งไกลที่สุดต่อการชาร์จที่ราว 832 กิโลเมตร ซึ่งล่าสุด Model S รุ่นปรับโฉมใหม่จะวิ่งได้ประมาณ 837 กิโลเมตร แต่สงครามยังไม่จบแค่นั้น เพราะ Lucid แถลงล่าสุดบอกว่าจะทำได้ 890 กิโลเมตรเมื่อมีการผลิตรถเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงออกมา ซึ่งคิดเป็นประสิทธิภาพที่ดีกว่า Tesla ถึง 19.5%

6. แล้ว Lucid มีดีอะไรถึงทำรถที่มีประสิทธิภาพได้สูงกว่า Tesla คำตอบคือสูตรลับในส่วนของ Powertrain หรือระบบส่งกำลังของรถแบบ Permanent Magnet Synchronous Motors ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ Tesla ใช้ แต่ทาง Lucid ปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพส่วนของขดลวดภายในเพื่อให้ระบบทำงานได้เย็นกว่าเดิม โดย Lucid เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Axial Jet Cooling Manifold

7. Lucid ใช้แบตเตอรี่ขนาด 900 โวลต์ เมื่อเทียบกับ Tesla หรืออีกหลายค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เพียง 400 โวลต์ จุดนี้ทำให้แบตเตอรี่ของ Lucid มีประสิทธิภาพในสภาพการใช้งานดีกว่าประมาณ 4.5 เท่า แถม Lucid ยังเปลี่ยนมาใช้ Silicon Carbide Inverter จากปกติจะเป็น Silicon Inverter ธรรมดา ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้ามากขึ้นไปอีก

8. Lucid Air มีการดีไซน์ที่ไม่เหมือนกับรถ EV ทั่วไป จากที่บริษัทมีข้อได้เปรียบเรื่องระบบส่งกำลังที่มีประสิทธิภาพสูง จึงสามารถที่จะย่อขนาดของระบบนี้ลง ทำให้ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนของกระโปรงหน้า โดยเคลมว่าจะมีพื้นที่กระโปรงหน้าใหญ่กว่าผู้นำในกลุ่มรถประเภทนี้ราว 89% และใหญ่กว่าผู้นำประเภท SUV ถึง 40%

9. Lucid ยืนยันแล้วว่า กำลังพัฒนารถแบบ SUV เพิ่ม โดยมีชื่อโปรเจคว่า Gravity ซึ่งจะมีการใช้ประโยชน์จาก Modular Platform ที่ตั้งใจคิดไว้ล่วงหน้าที่ชื่อว่า Lucid Electric Advanced Platform หรือ LEAP รถ SUV ของ Lucid น่าจะมีกำหนดเปิดตัวช่วงปี 2023

10. ปัจจุบันโรงงานของ Lucid มีกำลังที่จะผลิตรถได้ประมาณ 30,000 คันต่อปี สำหรับ Lucid Air ล้วนๆ ซึ่งถือว่าได้เปรียบ Tesla ที่ปัจจุบันสามารถส่งมอบ Model S ได้ประมาณ 18,000 คันต่อปี อีกทั้งทาง Lucid บอกว่าบริษัทสามารถขยายกำลังการผลิตไปได้มากถึง 400,000 คันต่อปี เพราะบริษัทกำลังมองไปที่ตลาดรถราคาประหยัดแบบ Tesla Model 3 อยู่เช่นกัน ซึ่งตรงนี้จะเผยพลังที่แท้จริงของ LEAP มาให้เห็น

11. ส่วนเรื่อง Autonomous Lucid มีเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่ชื่อว่า Lucid DreamDrive โดยใส่ LiDAR และเซนเซอร์อื่นๆ เข้ามาประมาณ 32 ตัว ที่เป็นมาตรฐานของ Lucid Air ซึ่งทางบริษัทคิดว่าเพียงพอต่อการพัฒนาระบบต่างๆ เพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งน่าจะหมายถึง Autonomous Level 5 นั่นเอง

12. จะมีส่วนที่บริษัทยังตาม Tesla ไม่ทันตอนนี้ ก็คือเรื่อง Autonomous เพราะ Tesla มีการเก็บข้อมูลไปหลายพันล้านกิโลเมตรแล้ว แต่ Lucid ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยบริษัทก็ใช้เงินแก้ปัญหา ดึง Eugene Lee ที่เคยดูแลส่วนการพัฒนา Algorithm ที่ชื่อว่าโปรเจค Super Cruise ของ General Motors มาร่วมทีม ซึ่งโปรเจคนี้เรียกได้ว่าเป็นราชาในระบบช่วยขับหรือ ADAS เลยก็ว่าได้ และนาย Lee คนเดิม ก็เคยเป็นหัวหน้าหน่วย Autonomous Vehicle Development Center ของ Hyundai ซึ่งวางแนวทาง 10 ปีในการพัฒนาระบบ ADAS

ข้อมูลจาก : bottomliner.co