Mini Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย แผลงฤทธิ์ด้วยสมรรถนะ 184 แรงม้า ที่วิ่งได้ไกลถึง 270 กม.

Mini Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย แผลงฤทธิ์ด้วยสมรรถนะ 184 แรงม้า ที่วิ่งได้ไกลถึง 270 กม.

Mini สร้างเซอร์ไพร์สให้กับแฟนๆ แฮ็ทช์แบ็คไซส์จิ๋วทั่วโลก ด้วยการเปิดตัว Mini Cooper SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของค่าย ชูจุดเด่นด้วยดีไซน์อันล้ำสมัยที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Mini และสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่สร้างแรงม้าได้ถึง 184 ตัว และสามารถขับขี่ได้ไกล 270 กม./การชาร์จเต็ม

สำหรับ Mini Cooper SE นั้น พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Mini Hatch 3 ประตู โดยมีการปรับดีไซน์ใหม่ในสไตล์ของรถไฟฟ้า ที่ไม่จำเป็นต้องมีช่องรับอากาศ ตัวรถตกแต่งด้วยสีเหลืองสะท้อนแสง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระจังหน้า, กระจกมองข้าง และล้อแม็ก ส่วนไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์ ล้อมด้วยไฟ DRL ทรงกลมแบบ LED และด้านหลังเป็นไฟ LED ดีไซน์ลวดลายภายในโคมตามลายธงชาติอังกฤษ

ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น มาพร้อมกับภายในโทนสีดำ ที่ตกแต่งด้วยเส้นสายสีเหลืองสะท้อนแสงแบบเดียวกับภายนอก คอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 6.5 นิ้วทรงกลม ที่มาพร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม และรองรับระบบ Apple Carplay, เรือนไมล์แบบดิจิตอลที่มาพร้อมฟังก์ชั่น eDrive, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา นอกจากนั้นแล้วยังมีหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว Connected Navigation Plus พร้อม Telephoney และระบบ Wireless Charging ให้เลือกเป็นอ็อพชั่นเสริมอีกด้วย

ไฮไลท์สำคับของ Mini Cooper SE อยู่ที่มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้สมรรถนะสูงสุด 184 แรงม้า และมอบแรงบิดสูงถึง 270 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.3 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 150 กม./ชม. อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการสังเคราะห์เสียงพิเศษเลียนแบบเสียงเครื่องยนต์ติดตั้งเข้ามาให้อีกด้วย ทั้งนี้แบตเตอรี่ Lithium-ion นั้นมีขนาด 32.6 kW ซึ่งสามารถขับเคลื่อนได้ไกลเป็นระยะทาง 235-270 กม./การชาร์จเต็ม โดยจะใช้ระยะเวลาในการชาร์จไฟ 2.30 ชั่วโมง สำหรับแบตเตอรี่ 80% และ 3.30 ชั่วโมง แบบ 100% เต็ม แต่ถ้าชาร์จไฟผ่านกระแสไฟฟ้าแบบตรง (DC) จะสามารถชาร์จได้ 80% ภายในเวลาเพียง 35 นาที นอกจากนั้นแล้ว Mini Cooper SE ยังมาพร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ Sport Mode, MID, GREEN และ GREEN+

ทั้งนี้ราคาจำหน่ายของ Mini Cooper SE ยังไม่ได้ประกาศออกมาแต่อย่างใด แต่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมจำหน่ายภายในปีนี้ ส่วนบ้านเราก็คงต้องรอลุ้นกันอีกสักพัก เพราะดูเหมือนว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้า และความพร้อมในการใช้งานยังไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร ซึ่งหากมีความคืบหน้าอย่างไร 9carthai.com จะรีบนำมาอัปเดตให้ทราบโดยทั่วกัน