รีวิวเปิดประสบการณ์ MINI Driving Experience 2016 สัมผัส Go-Kart Feeling ในมินิ ทุกรุ่น
มินิ ประเทศไทย ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชน ร่วมทดสอบรถมินิ หลากรุ่นในงาน MINI Driving Experience 2016 ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ เพื่อร่วมสัมผัสสมรรถนะของรถ มินิ ตำนานจากอังกฤษ ซึ่ง 9carthai เราได้รับเกียรติให้เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ด้วย
MINI Driving Experience 2016 ได้แบ่งการทดสอบในช่วงแรก แบ่งออกเป็น 2 Station
ใน Station แรกนี้เราได้ขับ Mini 5-Door Diesel โดยการทดสอบนั้น ทดสอบจากการออกตัวที่จุดหยุดนิ่ง จนถึงไพลอนที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้าให้ยกคันเร่ง และหักหลบ ซ้าย-ขวา-ซ้าย โดยไม่ต้องแตะเบรก และที่เหลือให้ระบบ DSC ช่วยแก้อาการของตัวรถ
ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลของ Mini นี้ ให้ทอร์ค ในช่วงต้นได้ดีเยี่ยม รถพุ่งทะยานออกตัวอย่างรวดเร็ว ในครั้งแรก เราเข้าด้วยความเร็วประมาณ 50 กม./ชม. พบว่า รถมีการยึดเกาะถนนที่ดี และยังสามารถหักหลบซ้าย-ขวา ได้ค่อนข้างเนียน โดยที่ตัวรถไม่เสียอาการมากนัก แต่อีกรอบเราเข้าด้วยความเร็วที่สูงขึ้นราวๆ 60 กม./ชม. จะพบว่า จังหวะหักกลัว ขวา รถเริ่มเป๋ออกท้ายโยน และตวัดกลับมาซ้าย จังหวะนี้ สัมผัสได้เลยว่าระบบ DSC ทำงาน โดยช่วยเบรกหลัง เอาไว้ไม่ให้รถเสียอาการไปมากกว่านี้
โดยรวมใน Station นี้จะเป็นการโชว์ประสิทธิภาพการยึดเกาะของ Mini แฮนด์ลิ่งที่ตอบสนองได้ฉับไว และเฉียบคม รวมไปถึงการทำงานของระบบ DSC ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว
Station นี้ เริ่มต้นจะให้ทดสอบโดยการปิดระบบ DSC เสียก่อน เราเติมคันเร่งเข้าไปเพื่อเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจน หน้าเริ่มบานบานโค้งออก จากรัศมีที่ควรจะเป็น สำหรับรุ่น Clubman นี้ อาการค่อนข้างออกได้ง่าย เนื่องจากเป็นคันที่ยาวกว่าเพื่อน ซึ่งการเลี้ยวในวงเช่นนี้จะกินรัศมีที่มากกว่าเพื่อนอีกด้วย การแก้อาการรถโดยทั่วไป เพียงแค่ ยกคันเร่งออกและเพิ่มวงเลี้ยวเข้าไป รถก็จะกลับเข้ามาในรัศมีที่ควรจะเป็น
ในรอบต่อมา เรากดเปิดระบบ DSC ให้มันทำงาน และขับในรูปแบบเดิม พบว่า เมื่อความเร็วเกินกำหนด และรถมีอาการบานโค้งออกไปเรื่อยๆ ระบบจะเข้ามาช่วยเบรกที่ล้อได้ค่อนข้างนุ่มนวลทีเดียว ทำให้อาการบานโค้งนั้น น้อยลง และคุมวงเลี้ยวได้ง่ายขึ้น แต่นั่นยังไม่พอเรายังอยากลองทดสอบระบบ DSC ให้มากกว่านี้อีกหน่อย ผู้เขียนจึงเพิ่มคันเร่งมากขึ้น และใช้ลักษณะของการคัดพวงมาลัยเข้าช่วย เพื่อพยายามให้รถวิ่งอยู่ในรัศมีวงเลี้ยวที่ควรจะเป็นให้ได้ ในความเร็วที่พยายามเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ต้องพบว่าระบบ DSC จากที่เคยเข้ามาช่วยเบรกอย่างนุ่มนวลในจังหวะแรก เริ่มทำงานหนักขึ้น สัมผัสได้จากล้อหลังที่โดนเบรกจนเสียงดังและมีอาการไถลของตัวรถบ้าง ในจังหวะที่หักวงเลี้ยวพวงมาลัยในทิศตรงข้าม จุดนี้น่าประทับใจเช่นเดียวกับ การทดสอบ Elk Test ระบบเข้ามาช่วยได้อย่างรวดเร็วทำให้ อาการบานโค้งในจังหวะหักพวงมาลัยกลับมีไม่มากนัก
Station นี้บอกเราว่า หากคุณเริ่มเกิดอาการบานโค้ง (มีอาการเริ่มจะแหกโค้ง) ระบบ DSC จะไม่นิ่งนอนใจให้คุณหลุดโค้งออกไปได้ง่าย อย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็ ผ่อนคันเร่งและควบคุมพวงมาลัย เพียงเท่านี้โค้งไหนๆ ก็จะไม่ใช่อุปสรรคที่น่ากลัวอีกต่อไป
มาถึงในช่วงสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยเป็นการขับแบบ Full Lap ที่ทาง Instructor ได้วาง โดยมีรถ Instructor นำเพื่อคุมความเร็ว ซึ่งทุกคนจะได้ขับรถทุกรุ่นในกรุ๊ปของตนเอง
โดยผู้เขียน ได้เริ่มทดสอบรถ ที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้
Mini Countryman Cooper SD All4
Mini Hatch 3-Door JCW
Mini Hatch 3-Door Cooper S JCW Dress Up
Mini 5-Door Cooper S JCW Dress Up
Mini Clubman Cooper S
การขับทดสอบ เริ่มต้นขึ้นจากการทดสอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. และให้กระทืบเบรกลงเพื่อหยุดรถโดยกะทันหัน ก่อนที่จะขับวนโค้งรอบนอกเข้าไปที่โค้งชั้นใน และขับไล่ออกมาที่ Station Elk Test อีกครั้ง
ซึ่งผู้เขียนพบว่า ในรถ Mini Cooper S JCW ทั้ง 3 คันนั้นให้ฟีลลิ่งการขับขี่ที่ใกล้เคียงกันในแบบ Go-Kart Feel จากน้ำหนักพวงมาลัย และภาพรวมการขับ
ในด้านของอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งถึงไพลอนที่ตั้งเบรก 3-Door ทั้ง 2 รุ่นพบว่าทำได้เท่าๆกันที่ระดับ 120 กม./ชม.
เมื่อกด Mode Sport จะพบตัวหนังสือบอกว่า Maximum Go-Kart Feel ให้อารมณ์สปอร์ตเต็มที่ พวงมาลัยที่ค่อนข้างหนักอยู่แล้ว หนืดเพิ่มขึ้นอีก คันเร่งตอนสนองฉับไว ลากรอบได้สูง และไม่ตัดขึ้นเกียร์ในจังหวะชู๊ตคันเร่งมา
ขณะที่รุ่น 5-Door อัตราเร่งจะช้ากว่าเล็กน้อย ราวๆ 115 กม./ชม. แต่ภาพรวมในการขับขี่ยังคงใกล้เคียงกันกับรุ่น 3-Door คือ พวงมาลัยมีน้ำหนัก และให้ความแม่นยำดี รวมถึงทรงช่วงล่างที่แน่นในทุกการเข้าโค้ง แต่ผู้เขียนพบว่ารุ่น 5 Door นี้ ความกระฉับกระเฉงในโค้งจะน้อยกว่า Hatch เล็กน้อย เห็นชัดโดยเฉพาะช่วง Elk Test พบว่าอาการเหวี่ยงมากกว่า 3-Door แบบเห็นได้ชัด ในการเข้าด้วยลักษณะที่ใกล้เคียงกัน
ถัดมากับ Clubman ด้วยสไตล์ของตัวรถที่ติดหรู นั่งสบายกว่าเพื่อน รวมไปถึงบุคลิกของตัวรถที่ ทำให้ขับขี่ได้ สบายขึ้น แต่ยังคงสไตล์ Go-Kart Feeling ของมินิ เอาไว้
ในรุ่น Clubman จุดเด่น จะอยู่ที่เทคโนโลยีความหรู สะดวกสบาย อาทิ เบาะปรับไฟฟ้า, เบรกมือไฟฟ้า, ประตูบานหลังแบบ เปิด 2 ฝั่ง ซึ่งสามารถใช้วิธี Kick Open Boot การเปิดได้ ซึ่งเป็นการถอดแบบรถของการเปิดฝากระโปรงท้ายรถ BMW มาเลยก็ว่าได้
จุดต่างก็ คือ น้ำหนักพวงมาลัยที่ดูเบาสบายขึ้น และช่วงล่างที่ดูไม่แข็งเท่า 3 รุ่น JCW ในคันนี้
ในด้านการขับขี่นั้น ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวกว่า อยากเห็นได้ชัดการเลี้ยวโค้งไลน์ใน ควรที่จะต้องเปิดไลน์นอก ก่อนจะช่วยให้การเข้าโค้งนั้นทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จุดที่เราพบคือ การโค้งนั้น Clubman จะดู Understeer มากกว่ารุ่นอื่นๆ และในจังหวะ Elk Test นั้น เราเลือกที่จะเผื่อระยะในการหักเลี้ยวมากขึ้น รวมถึงลดความเร็วลงมาให้ต่ำกว่ารุ่นอื่นๆ ที่ทดสอบไปก่อนหน้า เพื่อให้ควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้น
ปิดท้ายด้วยรุ่น Countryman Cooper SD All4 ซึ่งจะเป็นรถสไตล์ Crossover พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time ในรุ่นนี้
ด้วยรูปลักษณ์รถ Crossover จึงทำให้ตำแหน่งการนั่งของรถคันนี้ อยู่ในตำแหน่งที่ขับขี่ได้สบายที่สุด และมีวิสัยทัศน์ในการขับขี่ที่ดีด้วยเช่นกัน
ในด้านของการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร มีทอร์คดี เรียกแรงบิดช่วงออกตัวได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่า รถจะมีน้ำหนักมากกว่าเพื่อน รวมการใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ขณะที่ช่วงออกตัวเน้นอัตราเร่งนั้นดูด้อยกว่าเพื่อนๆตระกูล Cooper S
ขณะที่การขับขี่ใน Cooper SD คันนี้ให้ความรู้สึกแบบรถครอบครัว ในแบบผู้ใหญ่ขับแล้ว คงชอบที่สุดด้วยเช่นกัน ทั้งสไตล์ของพวงมาลัยและช่วงล่าง ซึ่งต่างจากเพื่อน Cooper S ที่ให้อารมณ์สปอร์ตมากกว่า
อย่างไรก็ดีมีจุดหนึ่งที่เจ้า Crossover คันนี้เด่นกว่าเพื่อน ก็คือในเรื่องของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Fulltime ซึ่งแปลผันอัจฉริยะ โดยเฉพาะในช่วงที่เข้าโค้งหนักๆ จนตัวรถเหวี่ยงระบบเพลาขับเคลื่อนจะกระจายแรงไปยังล้อต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดอาการขวางลำได้เป็นอย่างดี เนื่องจากระบบขับ 4 ล้อ จากเพลาขับล้อคู่หลังมักจะขับเคลื่อนทำให้เมื่อรถเสียอาการแล้ว โอกาสท้ายดันรถจนขวางลำที่เกิดขึ้นได้บ่อยนี้หมดไป
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เราหวังว่าเพื่อนๆ ที่แอบสนใจ Mini คงจะพอเลือกรูปแบบรถที่ตนเองชอบต้องการได้แล้วนะครับ อย่างไรก็ดี Mini ถือเป็นรถเล็กที่มีสมรรถนะการขับขี่ดีเยี่ยม ทรงพลัง และขับสนุกซึ่งเราอยากให้คุณไปลองด้วยตนเองถ้ามีโอกาส
และที่สำคัญ สำหรับคนที่ชอบกังวลกับเรื่อง Service จะบอกว่า ไร้กังวลได้เลย ทาง มินิ ประเทศไทย ได้มีโปรแกรมบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือตลอดระยะทาง 100,000 กิโลเมตร ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ (ในแบบเดียวกับ BSI) ไม่ต้องมาคิดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ เพื่อมาเป็นประเด็นในการตัดสินใจซื้อรถคันโปรดขับสนุกอีกต่อไป
ขอขอบคุณ มินิ ประเทศไทย สำหรับกิจกรรม 2016 Mini Driving Experience ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิวเปิดประสบการณ์ MINI Driving Experience 2016 สัมผัส Go-Kart Feeling ในมินิ ทุกรุ่น "