รีวิว 2017 New Honda CR-V DT EL และ 2.4 EL สัมผัสแรก โฉมใหม่ และเครื่องดีเซลใหม่
2017 Honda CR-V โฉมปัจจุบันนี้ ถือเป็นรุ่นเจนเนอเรชั่นที่ 5 ของสายพันธุ์ CR-V ซึ่งมีประวัติอันยาวนานนับ 21 ปี มันกลายเป็นรถอเนกประสงค์ SUV ที่ครองใจคนใช้ทั่วโลกมายาวนาน กับยอดขายกว่า 8 ล้านคัน
ล่าสุดหลังจากที่ 2017 Honda CR-V ใหม่ ได้เปิดตัวทำตลาดในประเทศไทยเมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว โดยมีไฮไลท์ คือ การนำเครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC มาทำตลาดเป็นครั้งแรก และนั่นช่วยให้ 2017 CR-V กวาดยอดขายที่สามารถกวาดไปได้ถึง กว่า 4,000 คัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทางทีมงาน 9carthai ของเราก็ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมทดสอบ 2017 Honda CR-V ใหม่ ซึ่งจัดขึ้นบนเส้นทางภูเก็ต-พังงา-ภูเก็ต กับการทดสอบระยะทางราวๆ 270 กม. ซึ่งมีให้ทดสอบกันทั้งเครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC ใหม่ และ เบนซิน i-VTEC ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราจะขอพาทุกท่านมารับชมรีวิวกันครับ
การออกแบบภายนอก ใช้แนวคิดหลัก “Modern Functional Dynamic” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง บึกบึนแต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา
ตัวถังด้านหน้าได้ถูกออกแบบให้ยาวขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ โอเวอร์แฮงค์ด้านหลังสั้นลง และเพิ่มระดับความสูงของพื้นที่ใต้ท้องรถ อีกทั้งการออกแบบซุ้มล้อให้มีความสปอร์ต ขยายระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น
2017 Honda CR-V ใช้ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Full LED ตามแบบฉบับรถ Honda รุ่นใหม่ๆ ที่มอบความหรูหราและทันยุคทันสมัย
ขณะที่ไฟตัดหมอกเป็นแบบ LED เช่นกัน (รุ่น i-DTEC) ถ้าเป็นรุ่น i-VTEC จะเป็นไฟหลอดปกติ โดยมีกรอบโครเมียมล้อมรอบ
กระจังหน้าแบบโครเมียมเส้นสายดุดันเฉียบคม รับกับช่องดักลมแบบรังผึ้งด้านล่าง
ในส่วนของล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ เป็นลายแบบใบมีด ขนาด 18” สวมยาง Toyo Proxes ไซส์ 235/60/R18
ทางด้านหลังมีกล้องมองภาพด้านหลังที่ฝากระโปรงท้าย
ด้านบนหลังคาใช้เสาอากาศแบบครีบฉลามตามสไตล์รถยุโรปหรู
ภายนอกนี้มีไฮไลท์เด่น คือ ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วยระบบแฮนด์ฟรี (Hands-free Power Tailgate) พร้อมควบคุมการเปิด-ปิดด้วยรีโมท และสามารถปรับระดับความสูงของการเปิดฝากระโปรงท้ายได้ตามต้องการ
ภายในห้องโดยสาร
เมื่อเปิดประตูเข้ามาด้วยระบบ Honda Smart Key จะพบห้องโดยสารดีไซน์กว้างขวาง ใช้ เบาะโดยสาร 3 แถว แบบ 7 ที่นั่ง โดยวัสดุเป็นหนังสีดำ
แผงคอนโซลด้านหน้าขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเส้นสายด้วยลายไม้สีด้าน และสีดำ Piano Black
เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลัง
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ i-Dual Zone
ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถว 2 (ด้านหลังของคอนโซลเท้าแชนตอนหน้า) และ 3 (ด้านบนฝาผนัง 4 ช่อง) มอบความเย็นทั่วทุกแถว
ช่องจ่ายไฟ USB มีให้มากมายถึง 4 ช่อง (2 ช่อง ด้านหน้า และ 2 ช่องตอนที่ 2) ช่องเชื่อมต่อ HDMI และช่องจ่ายไฟสำรองอีก 2 ช่อง
ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch เชื่อมต่อหน้าจอแสดงกล้องมองหลัง และระบบนำทาง นอกจากนี้ยัง มาพร้อมการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) มอบความสุนทรีย์ด้วยลำโพง 8 ตำแหน่ง
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ทางฝั่งซ้าย และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control System) ทางฝั่งขวา
มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ซึ่งสามารถแสดงผลฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย โดยสามารถเปลี่ยนข้อมูล และค้นหาตัวอักษรได้ง่ายด้วยปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย
สำหรับตัวเบาะนั่งได้ดีไซน์ใหม่ที่รองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ที่นั่ง มาพร้อมประตูข้างด้านหลัง ที่เปิดได้กว้างถึง 88 องศา มอบความสะดวกสบายในการเข้าออกของผู้โดยสาร โดยเบาะนั่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย
ตัวเบาะที่นั่งคู่หน้า นั่งสบายกำลังดีโอบกระชับกับสรีระลำตัว
ในส่วนเบาะนั่งตอน 2 ดูจะแบนราบน้อยลงเมื่อเทียบกับ เจน 4 ข้อดี คือ ตัวไม่เทไหลเวลาเข้าโค้ง
นอกจากนี้ ตัวเบาะแถว 2 ยังมีพื้นที่วางขาแบบเหลือๆ สามารถปรับเลื่อนหน้าหรือถอยหลัง รวมถึงปรับเอนเบาะได้ เรียกได้ว่านอกจากพื้นที่ Leg Room จะกว้างขวางแล้ว แต่ก็นั่งได้สะดวกสบายในทุกอริยาบถ
สำหรับเบาะนั่งแถว 3 ค่อนข้างแคบ ซึ่งน่าจะเหมาะกับเด็กเล็กๆ หรือ ผู้ที่มีสรีระที่ไม่ใหญ่นัก ถ้าเป็นผู้ใหญ่นั่ง จะค่อนข้างลำบากเสียหน่อย หากต้องเดินทางไกล
ขุมพลังเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ i-DTEC 1.6 ลิตร ดีเซล เทอร์โบ Earth Dreams Technology ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์ 9AT (ปุ่มเกียร์แบบไฟฟ้า) สามารถ Shift Gear ได้ผ่าน Paddle Shift
มาพร้อมฟังก์ชั่น Idling Stop เคลมประหยัดน้ำมันสูงสุด 18.9 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยไอเสีย CO2 ต่ำที่ 141 กรัม/กิโลเมตร
ในการขับใช้งาน พบว่า การตอบสนองของเครื่องยนต์ในช่วงต้น ทำได้ค่อนข้างดี แม้อัตราเร่งจะไม่ดูจี๊ดจ๊าด แต่ถือว่าได้เซ็ทออกมาแบบดีเซลทรงสุภาพนุ่มนวล เหมาะสมกับการใช้งานในสไตล์ SUV หรูคันโต ที่เน้นความสบายอย่างแท้จริง แต่ก็มีกำลังให้ใช้ออกตัวได้อย่างพอเพียง การใช้เกียร์ 9AT มีผลให้ช่วงต่อเกียร์ค่อนข้างราบรื่น และส่งผลให้รอบเครื่องยนต์ต่ำ ไปในทางประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อโลกมากกว่า ที่จะขับสนุกเน้นเพียงความเร้าใจ บ้าพลังหลังติดเบาะ เรียกได้ว่าบล็อก i-DTEC นี้ มีคาแร็คเตอร์ที่ถูกต้องเหมาะเจาะกับกลุ่มตลาดในระดับของ CR-V โดยแท้จริง
เครื่องยนต์ i-VTEC 2.4 ลิตร เบนซิน Earth Dreams Technology ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 224 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ CVT เพื่อการตอบสนองได้ดั่งใจ พร้อมรองรับพลังงานทางเลือก E85 (ไม่มี Paddle Shift และ ปุ่ม Idling Stop แบบ i-DTEC)
ซึ่งมอบฟิลลิ่งการขับไม่แตกต่างจาก CR-V เจน 4 โฉม Minor Changed เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ได้เปลี่ยนมาจับคู่เกียร์ CVT การตอบสนองมาแบบเนิบๆ ดูเรื่อยๆ ออกตัวไม่หวือหวาเท่า i-DTEC แต่ที่รอบสูงขึ้น หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงพบว่า อัตราเร่งแซงในย่านความเร็วระดับ 120 กม./ชม. ขึ้นไปนั้น ไม่ได้ดูด้อยกว่า i-DTEC แต่อย่างไร ออกจะแรงกว่าด้วยซ้ำจากกำลังแรงม้าที่มีมากกว่าในรอบสูง เพียงแต่ฟีลลิ่งของเกียร์ CVT เน้นขับขี่แบบสบายๆ และการขับให้ดีอาจจะต้องมีการคลึงคันเร่งกันหน่อย ซึ่งกับเส้นทางที่ได้ทดสอบเป็นเขาที่มีทางลาดชัน ที่ต้องการรีดกำลังอย่าง ดังนั้นหากต้องการผลักคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง S เพื่อช่วยเรียกรอบเครื่องยนต์มาให้พร้อมใช้งานมากขึ้น
ong>ด้านการควบคุม ผ่านพวงมาลัยไฟฟ้า DP-EPS ยังคงให้การผ่อนแรงได้ดี และเริ่มหนักขึ้นเมื่อความเร็วสูงขึ้น
เมื่อเทียบกับโมเดลเจน 4 แล้ว จะพบว่าน้ำหนักหนืดมือขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งน่าจะมีส่วนมาจากขนาดล้อที่กว้างกว่าเดิม จากไซส์ยางที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10 มม. ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าน้ำหนักกำลังดีไม่เบาเกินไปสำหรับผู้ชื่นชอบน้ำหนักของพวงมาลัยในการเข้าโค้ง และยังคงให้ความกระฉับกระเฉงได้ดีในการเลี้ยวเข้าโค้งต่อเนื่องซ้าย-ขวา
ขณะที่ระบบช่วงล่าง อิสระ 4 ล้อ ของ 2017 CR-V ทั้ง 2 รุ่นนั้นผู้เขียนพบความแตกต่างของในรุ่น i-DTEC และ i-VTEC
โฉมดีเซลนั้น มีการปรับช่วงล่างด้านหน้าให้แข็งเฟิร์มกว่า ตัวเบนซิน ทำให้การเข้าโค้ง และการขับที่ความเร็วสูง ดูจะให้ความกระชับของช่วงล่างดีกว่า อย่างชัดเจน ขณะที่ การขับผ่านทางขรุขระ นั้นยังดูให้อารมณ์ที่หนักแน่นของช่วงล่างแบบรถลุย แต่ก็ยังคงนั่งสบายดีในระดับหนึ่ง
ขณะที่โฉมเบนซินยังคงความดีในเรื่องของความนุ่ม นั่งสบาย จัดได้ว่าเป็นรถ SUV ที่ช่วงล่างนั่งได้สบายผ่อนคลายที่สุดคันหนึ่ง แตกต่างจาก SUV แบรนด์อื่นๆ ที่ช่วงล่างเซ็ทออกมาค่อนข้างแข็งเพื่อเน้นลุย แต่เมื่อขับเข้าโค้งด้วยความเร็วจะพบว่าตัวรถจะไม่หนึบแน่นเท่ากับโฉมดีเซลที่ดูเซ็ทออกมาได้เหมาะเจาะมากกว่า
ด้านระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ พบว่าให้การตอบสนองที่ค่อนข้างตื้นไปสักนิด เบรกจิกเท้าไปหน่อย ฟีลลิ่งแบบรถสปอร์ต ซึ่งอาจต้องใช้เวลานิดในการปรับความคุ้นชินกับการตอบสนองของแป้นเบรก ซึ่งการชะลอความเร็วนั้น ถือว่าทำได้ดีพอตัว
จังหวะการทำงานของ ABS อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่จับมากเกินไป ในช่วงที่ฝนตก ทำให้การชะลอการเบรกนั้นยังทำได้มั่นใจ รวมถึงระยะเบรกที่ไม่ยืดยาวเกินไปด้วย
ระบบปลอดภัย 2017 Honda CR-V EL ใหม่ มาพร้อม
– ระบบขับเคลื่อน AWD แบบ Realtime ทำงานพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัว VSA และระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (Motion-Adaptive Electric Power Steering – MA – EPS)
– ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับ (Driver Attention Monitor) โดยจะเตือนครั้งแรกผ่านหน้าจอ หลังจากนั้นจะสั่นเตือนที่พวงมาลัย หากผู้ขับยังไม่ตอบสนอง
– ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับ (Agile Handling Assist)
– ระบบแสดงภาพมุมอับสายตา (Honda LaneWatch)
– ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
– ระบบ Auto Brake Hold (Automatic Brake Hold)
– ถุงลมคู่หน้า + ถุงลมด้านข้างคู่หน้า + ม่านถุงลมด้านข้าง
นอกเหนือจากนี้ 2017 CR-V ยังได้มีการพัฒนาเรื่องการลดเสียง แรงสั่นสะเทือน และความกระด้าง (Noise Vibration Harshness Performance – NVH) โดยมีจุดหลักๆ ที่ปรับปรุง ได้แก่
– ปรับปรุงความเงียบของเครื่องยนต์ในช่วงที่ทำการเร่งความเร็ว ได้แก่
– ติดตั้งระบบ Active Noise Control-ANC (สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร )
– ใช้แท่นยึดเกียร์ที่มีการบรรจุของเหลวเอาไว้ข้างใน
– ติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงเพิ่มเติม
– ติดตั้งตัวปิดบานพับฝากระโปรงหน้า
– การติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงในห้องเครื่องยนต์
มีการติดตั้งวัสดุที่ช่วยในการดูดซับเสียง ฉนวนป้องกันความร้อนตามจุดต่างๆ ของห้องโดยสาร เช่น ด้านหน้า ด้านข้าง และบริเวณด้านหลังของช่วงฝากระโปรงหลัง มีการติดตั้งฉนวนบนฝากระโปรงหน้า แผ่นรองใต้ห้องเครื่องยนต์ และติดตั้งฉนวนดูดซับเสียงตรงบริเวณแผงหน้าปัด โดยภายในรถยนต์ ใช้พรมแบบชิ้นเดียว ซึ่งจะช่วยป้องกันความร้อน และช่วยลดเสียงดังเข้าสู่ห้องโดยสารได้ด้วย
สรุปแล้ว 2017 Honda CR-V ใหม่ ได้มีการปรับปรุงรูปลักษณ์ ให้หล่อหรู แต่ดูเรียบง่ายกว่าเดิม พร้อมทั้งฟังก์ชั่นสำคัญ คือ เบาะ 7 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังนำเสนอเทคโนโลยี และออปชั่น ทันสมัยอีกมากมาย
ในโฉม i-DTEC ที่จับคู่เกียร์ 9AT ขับสนุกมอบอัตราเร่งที่ดีเหมาะสมกับการใช้งานในสไตล์ SUV มากขึ้น แต่ก็ยังคงความสุภาพแบบ SUV หรู และยังให้สมรรถนะในการยึดเกาะที่แน่นเฟิร์ม ขับได้สนุกมั่นใจกว่าเดิม
ขณะที่โฉม i-VTEC นั้น จะใช้ขุมพลังขับเคลื่อนแบบเดียวกับ 2015 CR-V เน้นการขับแบบสบายๆ ไหลลื่น แต่ก็ไม่ได้มีสมรรถนะการขับที่ด้อยกว่า i-DTEC แต่อย่างใด รวมไปถึงการเน้นความสบายของระบบช่วงล่างที่ถือเป็นจุดเด่นของ CR-V มาแต่ไหนแต่ไร
ทั้งหมดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ SUV ยอดฮิตของ Honda จะยังคงความยอดเยี่ยม และทำให้ 2017 CR-V ครองใจผู้ใช้รถอเนกประสงค์ในทุกวันนี้
ขอขอบคุณ Honda Automobile สำหรับทริปทดสอบ 207 Honda CR-V ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai
2017 Honda CR-V ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
เครื่องยนต์ดีเซล
รุ่น DT EL 4WD ราคา 1,699,000 บาท (รุ่นทดสอบ)
รุ่น DT E ราคา 1,549,000 บาท
เครื่องยนต์เบนซิน
รุ่น 2.4 EL 4WD ราคา 1,549,000 บาท (รุ่นทดสอบ)
รุ่น 2.4 E ราคา 1,399,000 บาท
โดยมีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวออร์คิด (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และสีใหม่ คือ สีเขียวดาร์กโอลีฟ (เมทัลลิก)
รูป 2017 Honda CR-V DT EL
รูป 2017 Honda CR-V 2.4 EL
รูป 2017 Honda CR-V Press Trip
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว 2017 Honda CR-V DT EL และ 2.4 EL สัมผัสแรก โฉมใหม่ และเครื่องดีเซลใหม่ "