Group Test : รีวิว All-New Chevrolet Captiva 2019 โดดเด่นอย่างมีสไตล์ สะดวกสบายทุกที่นั่ง
Chevrolet เสริมทัพเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์เอาใจลูกค้าชาวไทยที่มองหาความคุ้มค่าในรถอเนกประสงค์ ด้วยการเปิดตัว SUV รุ่นใหม่ล่าสุด All-New Chevrolet Captiva ที่พลิกโฉม และเปลี่ยนคาแรคเตอร์ไปจาก Chevrolet Captiva เดิมอย่างสิ้นเชิง
โดยมาพร้อมจุดขายหลัก 3S ได้แก่ ดีไซน์ภายนอกอันโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย (Style), ห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบายทุกที่นั่ง (Space) และเทคโนโลยีอัจฉริยะสุดไฮเทค (Smart Technology)
All New Chevrolet Captiva 2019 มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น เริ่มต้นที่ 9.99 แสนบาท
จากผลการวิจัย และค้นหาความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยของ Chevrolet พบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มครอบครัวยุคใหม่นั้น ต้องการรถยนต์ที่มีความอเนกประสงค์ สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันต้องสามารถพาครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนร่วมเดินทางไปทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันได้อย่างสะดวกสบาย ในราคาที่คุ้มค่า และนั่นจึงเป็นที่มาของ All-New Chevrolet Captiva
สำหรับดีไซน์ภายนอกของ All-New Chevrolet Captiva นั้น มาพร้อมกับการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว และล้ำสมัย เริ่มจาก กระจังหน้ากรอบโครเมียมขนาดใหญ่ประทับตราโบว์ไทด์อย่างเด่นสง่า ประกบข้างด้วยไฟ DRL ดีไซน์โฉบเฉี่ยวส่องสว่างแบบ LED ส่วนไฟหน้านั้นเป็นแบบโปรเจคเตอร์ LED (เฉพาะรุ่น Premier) ติดตั้งที่บริเวณกันชนหน้าด้านล่าง พร้อมไฟตัดหมอกในกรอบตัว C, ฝากระโปรงถูกออกแบบให้มีความแบนราบ และแต่งเติมเส้นสายให้มีความคมเข้มยิ่งขึ้น, หลังคาพาโนรามิกซันรูฟขนาดใหญ่เกือบเต็มหลังคา (เฉพาะรุ่น Premier), ไฟท้ายดีไซน์สปอร์ต พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ที่สปอยเลอร์ด้านบนหลังคา ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยแบบสปอร์ตทูโทนขนาด 17″ (เฉพาะรุ่น Premier)
โดยในรุ่น LS และ LT ไฟหน้าจะเป็นแบบฮาโลเจน, หลังคาจะไม่มีซันรูฟ และล้อลอยขนาด 17″ จะเป็นแบบ 5 ก้านสีบรอนซ์ ส่วนในรุ่น LS นั้น จะเป็นมาเป็นแบบ 5 ที่นั่ง โดยสามารถเพิ่มเป็น 7 ที่นั่งได้ แต่ต้องเพิ่มเงินอีกประมาณ 35,000 บาท
มิติตัวถังของ All-New Chevrolet Captiva มีดังนี้
ส่วนภายในห้องโดยสาร ต้องบอกเลยว่าถือเป็นจุดขายสำคัญของ All-New Chevrolet Captiva เลยก็ว่าได้ โดยมาพร้อมกับห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่ง เบาะนั่ง 3 แถว (ยกเว้นรุ่น LS) วัสดุภายในห้องโดยสารก็ถือว่าเรียบร้อยพอใช้ได้ โดยเป็นงานประกอบจากประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ห้องโดยสารจะมาในรูปแบบทูโทน สีดำสลับกับวัสดุ Soft Touch สีขาว (บริเวณคอนโซลหน้า และแผงประตู) และตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียม บริเวณคอนโซลหน้ามาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนท์ระบบสัมผัสขนาด 10.4 นิ้ว (ใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน) สามารถสั่งการระบบเครื่องเสียง, เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้, รองรับการเชื่อมต่อระบบ Bluetooth, USB, AUX และ Chevrolet Link และที่สำคัญ All-New Chevrolet Captiva นั้น จะไม่มีปุ่มปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร โดยจะสั่งการ และปรับอุณหภูมิได้ที่หน้าจออินโฟเทนเมนท์ ส่วนการทำงานของระบบทัชสกรีน มีความลื่นไหลดีในระดับหนึ่ง (อาจมีอาการหน่วงเล็กน้อย) แต่ดีไซน์สวย กราฟฟิคต่างๆ รวมไปถึงการสั่งการต่างๆ สามารถทำได้อย่างละเอียดครบถ้วนในจอเดียว
ส่วนเบาะนั่งถูกออกแบบดีไซน์ให้ดูสปอร์ต และมีความกระชับกับสรีระ ฟองน้ำนุ่มนั่งสบาย โดยในรุ่น Premier นั้น เบาะคนขับจะเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง (นอกนั้น 4 ทิศทางแบบปรับมือ), พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านท้ายตัด D-Shape พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นสั่งการระบบเครื่องเสียง และระบบ Cruise Control (ระบบ Cruise Control มีเฉพาะรุ่น Premier) ส่วนเบาะนั่งแถว 2 นั้นให้ความสะดวกสบาย สามารถนั่งได้ 3 คนแบบไม่อึดอัด
นอกจากนั้นแล้วยังสามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง และยังสามารถปรับเอนนอนได้อีกด้วย ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 นั้น จะเป็นแบบ 2 ที่นั่ง ซึ่งสามารถนั่งได้ แต่จะอึดอัดนิดหน่อย เหมาะกับเด็กๆ มากกว่า ส่วนถ้าถามว่าคนตัวใหญ่นั่งเบาะแถวที่ 3 ได้ไหม? คำตอบคือ นั่งได้ แต่อึดอัด และไม่เหมาะกับการเดินทางไกล แต่ถ้าเป็นเด็ก หรือคนตัวเล็กๆ สามารถนั่งได้แบบสบายๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น เบาะหนังแถว 2 และแถว 3 จะมีช่องปรับอากาศ และมีช่องเสียบชาร์จ USB มาให้อย่างครบครัน
หลังคาแบบพาโนรามิกซันรูฟขนาดใหญ่เกือบเต็มหลังคา ซึ่งจะมีเฉพาะรุ่น Premier เท่านั้น พร้อมระบบเปิด-ปิดแบบ One-Touch ส่วนระบบเครื่องเสียงนั้น ทาง Chevrolet จัดชุดใหญ่ ใส่ลำโพง 4 ตัว ทวิตเตอร์ 4 ตัว และซัปวูฟเฟอร์ 1 ตัว ของ Infinity by Harman มาให้พร้อมจากโรงงาน แต่จากทดลองฟังนั้นพบว่ามีความโดดเด่นกว่ารถยนต์ทั่วไปเล็กน้อย ไม่ได้โดดเด่น หรือว๊าวจนประทับใจแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นอย่าไปคาดหวังกับระบบเสียงมากนัก
สำหรับขุมพลังของ All-New Chevrolet Captiva นั้น มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 เทอร์โบ DOHC 16 วาล์ว (ระบบวาล์วแปรผัน DVVT) กระบอกสูบ x ช่วงชักอยู่ที่ 73.8 x 84.7 มม. กำลังอัด 9.8:1 ให้สมรรถนะสูงสุด 143 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน (เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน) ที่ 250 นิวตัน-เมตร ที่ 2,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมโหมด Shift Control + – 8 สปีด รองรับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E10
ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือของ All-New Chevrolet Captiva
เมื่อทำความรู้จักกับ All-New Chevrolet Captiva กันแล้ว ก็มาถึงสมรรถนะการขับขี่กันบ้าง
โดยหากใครที่คาดหวังว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 เทอร์โบ จะให้สมรรถนะการขับขี่ที่รวดเร็วทันใจนั้น ขอให้คุณคิดใหม่ เพราะจากที่ได้สัมผัสมานั้นพบว่า Chevrolet Captiva ใหม่ มีความอืดในช่วงตีนต้นอยู่พอสมควร โดยจังหวะ Kick Down นั้น ตัวรถจะไม่พุ่งทะยานในทันที จะมีความหน่วง 2-3 วินาที กว่าตัวรถจะพุ่งออกไป เหตุผลคงเป็นเพราะเทอร์โบลูกนี้ไม่ใช่เทอร์โบแปรผัน ซึ่งจะมีอาการคล้ายๆ กับ เทอร์โบ-แล็ก หรือ เทอร์โบรอรอบ
ซึ่งในจังหวะเร่งแซงนั้น ขอแนะนำให้กะจังหวะ และเผื่อระยะให้ดีๆ แต่ทั้งนี้สามารถผลักคันเกียร์ลงมาที่โหมด S เผื่อเรียกรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นมาได้ อาจจะช่วยได้นิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ปู๊ดป๊าดทันใจอยู่ดี
โดยตัวรถจะใช้รอบเครื่องยนต์สูงถึง 5,000 รอบ/นาที ในการเร่งแซงเลยทีเดียว แต่ถ้าหากคุ้นชิน และจับจังหวะรถได้แล้ว การเลี้ยงรอบไว้ที่ประมาณ 3,000 – 4,000 รอบ/นาที จะช่วยให้ Kick Down เร่งแซงได้ง่ายขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการสอบถามทีมงาน Chevrolet ก็ได้คำตอบที่ชัดเจนว่า Chevrolet ต้องการให้ All-New Chevrolet Captiva เป็นรถที่ขับได้ง่าย ไม่ได้เน้นในเรื่องของสมรรถนะขุมพลังมากนัก โดยยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี และสามารถขับเดินทางไกลได้อย่างไม่ต้องเค้นพละกำลังจนเกินไป
โดยจุดเด่นจะอยู่ที่ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ดีไซน์ภายนอก และความทันสมัยของเทคโนโลยี ตามจุดขายหลัก 3S ที่กล่าวไปข้างต้น
แต่ถ้าถามทีมงาน 9carthai.com ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยตัวรถที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ เครื่องยนต์ความจุแค่นี้ ก็ถือว่าให้สมรรถนะการขับขี่ที่สมเหตุสมผลอยู่นะครับ
ส่วนระบบช่วงล่าง และการควบคุมรถนั้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ได้ โดยระบบช่วงล่างจะมีความนุ่ม หนึบ นั่งสบาย ไร้การกระแทกกระทั้น หากขับด้วยความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. แต่ถ้าหากขับเร็วกว่านั้น ในจังหวะเข้าโค้ง หรือเปลี่ยนเลนส์ด้วยความเร็ว ตัวรถจะมีอาการโยน และรู้สึกยวบๆ เล็กน้อย
ส่วนทางด้านการควบคุมบังคับเลี้ยวนั้น พวงมาลัยมีความเบามาก แบบโคตรเบา ชนิดที่เรียกได้ว่าสามารถใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวเกี่ยวเลี้ยวได้ ซึ่งถามว่าดีไหม มันก็คงจะดีสำหรับการขับขี่ในเมือง ที่ต้องมีการเปลี่ยนเลนส์บ่อยๆ และน่าจะถูกใจสุภาพสตรีทั้งหลายที่ชอบช้อปปิ้ง และต้องการรถที่ควบคุมการเข้าจอดได้ง่าย
แต่ถ้าหนุ่มโสดห้าวหาญอย่างผู้เขียนนั้น จะรู้สึกว่ามันโหว่งเหว่งไปหน่อย เมื่อขับในความเร็วสูงๆ และอาจจะมีอาการเหวอกันบ้างหากเปลี่ยนเลนส์ในขณะใช้ความเร็ว เพราะพวงมาลัยมันเบาเกินไปจริงๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากคุณเป็นผู้โดยสาร คุณจะพบกับความสะดวกสบายขั้นสุดในรถ SUV ราคาระดับนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นที่นั่งข้างผู้ขับ หรือที่นั่งแถว 2 นั้น จะให้ความสะดวกสบายไม่แพ้รถยนต์ซีดานระดับ C-Segment เลยทีเดียว
พื้นที่ด้านบนศรีษะโปร่งโล่งหายใจสะดวก พื้นที่วางขาเหลือๆ ยืดได้แบบเต็มที่ เบาะแถว 2 ยังสามารถปรับเลื่อนหน้า – ถอยหลัง และยังปรับเอนนอนได้อีกด้วย
แอร์หลังสามารถเลือกเปิด-ปิดได้ตามความต้องการ ช่องเสียบชาร์จไฟ USB มีให้พร้อม หลังคาพาโนรามิกซันรูฟก็ใหญ่โต แต่สำหรับที่นั่งแถว 3 ถ้าอยากนั่งสบายๆ แนะนำให้เลื่อนเบาะนั่งแถว 2 ไปข้างหน้าสักหน่อย ก็จะทำให้นั่งได้สบายขึ้น
แต่ยังไงซะก็ขอแนะนำให้เป็นที่นั่งของเด็ก หรือผู้โดยสารตัวเล็กๆ ก็แล้วกัน เพราะถ้าต้องนั่งไปนานๆ ก็อาจจะเกิดอาการเมื่อยล้าได้
ข้อดีของ All-New Chevrolet Captiva
ข้อเสียของ All-New Chevrolet Captiva
บทสรุป ถือว่า All-New Chevrolet Captiva เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับคนที่ต้องการรถที่มีความอเนกประสงค์ เพราะด้วยราคาที่จับต้อง และเข้าถึงได้ง่ายกว่าคู่แข่งในตลาด ผสานกับดีไซน์ที่โดดเด่น และล้ำสมัย ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ได้ดีสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ที่ต้องการพาครอบครัวไปทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้อย่างสะดวกสบาย และยังสามารถขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ All-New Chevrolet Captiva เปิดตัวมาด้วยกัน 3 รุ่นย่อย ได้แก่
รายละเอียดความแตกต่างของ All-New Chevrolet Captiva ทั้ง 3 รุ่น
โดย All-New Chevrolet Captiva จะพร้อมวางจำหน่ายในวันที่ 4 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งมอบรถถึงมือดีลเลอร์ทุกสาขาในวันที่ 2-3 ตุลาคม 2562
โดยปัจจุบันมียอดจองไปแล้วกว่า 50 คัน ทั้งนี้สำหรับลูกค้า 300 ท่านแรกที่จองรุ่น LS จะได้รับส่วนลดอีก 40,000 บาท ส่วนในรุ่น LT และ Premier จะได้รับโปรแกรมเช็คระยะฟรี 50,000 กม. หรือ 30 เดือน (แล้วแต่อย่างใดถึงก่อน)
นอกจากนั้นแล้ว All-New Chevrolet Captiva ทุกรุ่น ยังมาพร้อมดอกเบี้ยพิเศษ 1.89% และฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี อีกด้วย
รีวิว Chevrolet Colorado High Country Storm 4×4 เมื่อคำว่าสุด…มิอาจหยุดเราได้
รีวิว All-New Mazda CX-8 มาตรฐานอเนกประสงค์ยุคใหม่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
รีวิว MG Extender สมาร์ทปิกอัพ ตัวถังใหญ่นั่งสบาย อ็อพชั่นมากมายเต็มคัน
รีวิว All-New Toyota Altis Hybrid ยืนหนึ่งเรื่องความประหยัด อ็อพชั่นคุ้มค่าคุ้มราคา
รีวิว All-New Mazda 3 หรูหรา แต่ทรงพลัง อ็อพชั่นอัดแน่นเต็มคัน เทียบชั้นรถยุโรป
รีวิว Mitsubishi Pajero Sport 2019 ปรับลุคใหม่ ใส่อ็อพชั่น คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
รีวิว NEW MG EXTENDER สัมผัสแรกกับกระบะพันธุ์ใหม่แห่งค่าย MG
รีวิว Honda Accord 2.0 Hybrid TECH เจ้าของค่าตัว 1.799 ล้านบาท มีดีที่ตรงไหน? ไปหาคำตอบกัน
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " Group Test : รีวิว All-New Chevrolet Captiva 2019 โดดเด่นอย่างมีสไตล์ สะดวกสบายทุกที่นั่ง "