รีวิว All New Honda Civic ทั้ง 1.8 และ 1.5 Turbo RS แบบ Road Test ขับบนถนนเครื่องบล๊อกไหนถึงจะพอ?
ย้อนไปเมื่อวันวาเลนไทน์ปีนี้ ทางทีมงาน 9carthai ของเราได้รับเชิญเข้าร่วมทดสอบ All New Honda Civic ใหม่ เจนเนอเรชั่น 10 เครื่อง VTEC Turbo เป็นครั้งแรกแบบ 1st impression ในสนามช้างฯ เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มีค. ที่ผ่านมา ซึ่งเวลาเพียง 1 เดือนครึ่ง All New Civic สามารถทำยอดจองได้มากกว่า 7,500 คัน โดยมีสัดส่วนเครื่องยนต์ 1.8 : VTEC Turbo = 80:20 นับได้ว่าเป็นรถยนต์ Compact ที่มาแรงที่สุดเลยก็ว่าได้
และเมื่อเร็วนี้ทาง Honda Automobiles ประเทศไทยก็ได้จัดกิจกรรมทดสอบ All New Honda Civic ใหม่ นี้ขึ้นอีกครั้งในแบบ Road Test กับการขับใช้งานจริงบนถนน ซึ่ง 9carthai ของเราก็ได้รับเกียรติเข้าร่วมในการทดสอบครั้งนี้ด้วย
โดยครั้งนี้เรามาล่องใต้กันที่จังหวัดภูเก็ต และวิ่งทดสอบบนเส้นทาง ภูเก็ต-พังงา-ภูเก็ต ซึ่งคราวนี้ ได้ทดสอบทั้ง 2 รุ่นเครื่องยนต์ ซึ่ง 9carthai เราได้ทดสอบรถรุ่น 1.8 E ก่อนในช่วงสาย ที่จะไปสลับขับ 2.0 RS ในช่วงบ่าย
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราขอเริ่มกันที่รุ่นแรก 1.8 E กันก่อนเลยดีกว่าครับ ซึ่งมีราคาที่ ราคา 869,000 บาท
All New Honda Civic ภายนอก ได้มีการดีไซน์ใหม่สไตล์รถคูเป้ ให้เตี้ยลง แต่กว้าง และยาวขึ้นกว่า เจนเนอเรชั่นเดิม
ซึ่งการออกแบบสไตล์คูเป้นี้ ได้ลดสัมประสิทธิแรงต้านอากาศลงด้วย ซึ่งส่งผลให้รถสามารถทำความเร็วได้ดีขึ้น และมีอัตราสิ้นเปลืองดีขึ้นเช่นกัน
ในรุ่น 1.8 E คันนี้ ใช้ไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ พร้อมไฟ DRL แบบ LED ในตัว
โดยคันนี้จะเป็นรุ่นย่อยเดียวที่ไม่มีไฟตัดหมอก และไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง รวมถึงมือจับประตู เป็นสีเดียวกับตัวรถ ไม่ใช่โครเมียม
ใช้ล้ออัลลอยขนาด 16” ลาย 10 ก้าน สวมยาง Hankook Ventus S1 ไซส์ 215/55/R16
นอกจากนั้นรายละเอียดส่วนอื่นๆ จะเหมือนกันกับรุ่นอื่นในคลาส
แม้ในรุ่นล่างสุดอย่าง 1.8 E ยังให้กุญแจแบบ Smart Key ที่มีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ได้จากภายนอกรถ พร้อมเปิดการทำงานเครื่องปรับอากาศ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในยามที่อากาศร้อนแดดแรง
ภายใน เมื่อเปิดประตูเข้ามา จะพบการออกแบบภายใต้ Daring Ace Design เน้นเรียบง่ายแต่ใช้วัสดุคุณภาพสูง บริเวณคอนโซลหน้าใช้วัสดุผิวสัมผัสนุ่ม
ในรุ่น 1.8 E คันนี้ ใช้เบาะผ้าสีเบจ, เบาะปรับแบบมือโยก จอเครื่องเสียงขนาด 5” รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth, USB ถ่ายกำลังเสียงผ่านลำโพง 4 ตำแหน่ง ควบคุมได้ผ่านพวงมาลัยแบบ polyurethane ซึ่งจะไม่มีครูสคอนโทรล และฟังก์ชั่น Swipe มาให้ ขณะที่จอแดชบอร์ด แสดงผลจะไม่ใช่ TFT แบบรุ่นอื่น เป็นแบบ LCD ซึ่งมองเห็นตัวเลขความเร็วได้อย่างชัดเจน
ที่คอนโซลกลางให้ความรู้สึกที่ดูกว้างขวางจากการใช้เบรกมือไฟฟ้า ถัดขึ้นมามีปุ่ม Brake Hold และ ECO อยู่อีกฝั่ง
เบาะนั่งด้านหน้า พบว่าเตี้ยทีเดียว ทางวิศวกรแจ้งว่า ใช้มาตรฐานจากรถ Audi TT เป็นเกณฑ์เพื่อมอบอารมณ์สปอร์ต แต่ข้อเสียคือ ต้องปรับตำแหน่งเบาะให้สูงขึ้น และนั่นส่งผลให้ Head Room ลดลง และอาจอึดอัด เมื่อผู้ขับขี่ที่มีสรีระสูงมานั่งอยู่เบาะหน้า
ทางเบาะหลัง Leg Room กว้างขวางนั่งสบาย แต่เบาะที่เตี้ยทำให้ ต้องนั่งชันเข่าสักเล็กน้อย และที่บริเวณปีกเบาะจะเป็นพลาสติก แข็ง ซึ่งทางวิศวกรให้เหตุผลว่า อนาคตจะใช้ทำเป็นถุงลม SRS ทางด้านข้างประตูหลัง
ห้องเก็บสัมภาระมีความจุมากถึง 525 ลิตร น่าเสียดายที่ไม่สามารถพับเบาะหลังได้ เนื่องจาก แชสซีส์ท้ายมีคานเชื่อมตัวถังอยู่
เครื่องยนต์บล๊อกเดิม SOHC 1.8 ลิตร i-VTEC มีกำลัง 141 แรงม้า (PS) @6,500rpm แรงบิดสูงสุด 174 Nm@4,300rpm ซึ่งยังคงรอบรับน้ำมัน E85 เช่นเคย แต่จับคู่เกียร์ใหม่ จากเดิม 5 Speed อัตโนมัติ เป็นเกียร์ CVT ใหม่
สังเกตุได้ทันทีกับข้อดี ของการหันมาใช้ CVT นั่น คือ รถนั้นพุ่งทะยานออกตัวได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และการขับเคลื่อนราบลื่นสมูทไร้รอยต่อเกียร์ ถ้ารุ่นเก่า 5AT ที่จะมีจังหวะกระตุกกระชากให้สัมผัสกันอยู่ตลอด
แน่นอนว่าการออกตัวในอัตราเร่งช่วงแรกนั้นทำได้ดีทีเดียว แต่เมื่อความเร็วลอยลำ ระดับ 60 กม./ชม. ขึ้นไป เราจะพบว่าสมรรถนะรถนั้นใกล้เคียงกับรถ 1.8 CVT รุ่นอื่นๆ คือ แรงปานกลางเหมาะสมกับน้ำหนักตัว สมรรถนะยังไม่หวือหวามากมายนัก แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วๆไปที่ได้เร่งรีบ
ด้านการเก็บเสียงต้องบอกว่าทำได้ดีน่าประทับใจ ที่ความเร็วระดับ 150 กม./ชม. ยังไม่พบเสียงลมที่น่ารำคาญ ขณะที่การเก็บเสียงจากใต้ท้องนั้น อาจจะขึ้นกับสภาพผิวถนน และซีรีย์ยางเป็นส่วนสำคัญ
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองนั้นของผู้ขับมือแรกนั้นอยู่ที่ 11.7 กม./ลิตร ซึ่งในเส้นทางช่วงนี้เป็นโค้ง และทางชันค่อนข้างเยอะ รวมถึงการขับขี่ที่ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง
การควบคุม พวงมาลัยแบบดูอัลพีเนี่ยน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS มีรัศมีวงเลี้ยว 5.33 ม. พวงมาลัยนี้ถือว่าปรับเซ็ทมาได้ลงตัวและดูดีขึ้นกว่า Civic gen9 อย่างเห็นได้ชัด ที่ความเร็วต่ำผ่อนแรงได้คล่องมือ แต่ก็ไม่เบาโหวงไร้น้ำหนัก ขณะที่การใช้ความเร็วที่มากขึ้น และการขับผ่านโค้งต่อเนื่อง มันให้น้ำหนักที่ดีเยี่ยมลูกสึกแน่น และมั่นใจทุกครั้งที่เลี้ยวโค้ง แต่สำหรับผู้ขับแบบเรื่อยๆ อาจจะพบว่าพวงมาลัยดูหนักไปหน่อยเมื่ออยู่ในโค้ง พวงมาลัยมีระยะฟรีไม่มาก และมีความหนืดในช่วงระยะฟรีที่ดี คุณจะไม่พบอาการเป๋ของพวงมาลัยเมื่อ ต้องเผลอขับมือเดียวอย่างแน่นอน
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ หน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท หลังแบบ Multilink E type เชื่อมกับ ซับเฟรมหลัง สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ บุคลิกที่ดูให้ความนุ่มนวลแบบรถหรูมาดผู้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่การยึดเกาะนั้นยังทำได้ดีทีเดียว แต่ถ้าไปเล่นเข้าโค้งหนักๆ ย่อมมีอาการท้ายโยนตัว อยู่บ้างตามสไตล์การเซ็ทรถเช่นนี้ แต่แม้ว่าบอดี้ด้านท้ายมีโยนตัว แต่ระบบช่วงล่างยังคงเกาะถนนยึดได้อย่างมั่นคง ชนิดที่ไว้ใจได้
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปนั่งทดสอบที่เบาะหลัง ซึ่งขณะนั้นรถแล่นด้วยด้วยความเร็ว เมื่อเจอพื้นผิวที่ขรุขระ หรือ เนินลูกหลังเต่าเตี้ยๆ กลับพบว่ามันซับแรงได้อย่างน่าประทับใจ ดีกว่าที่คิดมากทีเดียว
ระบบเบรก ใน All New Civic นี้ มีเทคโนโลยีที่โดดเด่นเกินใคร ตั้งแต่ EPB (เบรกมือไฟฟ้า) และ Brake Hold
ซึ่งระบบนี้ จะช่วยให้คุณไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้เวลารถจอดหยุดนิ่ง (เหมาะสำหรับ คนที่ชอบเข้าเกียร์ D ค้างไว้เวลาจอดรถติด) และเมื่อคุณต้องการเคลื่อนตัวก็แค่เติมคันเร่งแล้วไปต่อได้เลย
ขณะที่ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อนี้ ก็ช่วยการชะลอได้ดีในแบบที่ควรจะเป็น เพียงแต่ในช่วงแรก อาจต้องปรับชินระยะแป้นเบรก และการลงน้ำหนักเท้ากันเสียหน่อย เนื่องจากระยะฟรีแป้นเบรกค่อนข้างน้อย และแป้นเบรกดูหนืดเท้าอยู่พอสมควร
ในช่วงบ่ายสลับกลับมาขับในรุ่น VTEC Turbo RS ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ได้เคยทดสอบไปใน 1st Impression ณ สนามช้างฯ เซอร์กิตไปแล้ว ราคา 1,199,000 บาท
ภายนอก รุ่น RS เป็นรุ่นเดียวที่ใช้ไฟหน้าแบบ Full LED รูปทรงคล้าย All New NSX พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโมมัติ ไฟตัดหมอกแบบ LED มือจับประตูแบบโครเมียมรมดำ กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวในตัว และทางด้านซ้ายมีกล้องเพื่อแสดงผล Lane Watch ระบบปรับน้ำฝนเป็นแบบอัตโนมัติ
กันชนหน้า และกระจังหน้าแบบสปอร์ต RS ท่อไอเสียออกคู่ แบบซ่อนปลายท่อ ทางด้านท้าย สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3
ล้ออัลลอยขนาด 17” ลาย 5 ก้านโครมสไตล์โฉบเฉี่ยว สวมยางไซส์ 215/50/R17 จาก Bridgestone Turanza ER33
สำหรับกุญแจ Smart Key ที่สตาร์ทเครื่องยนต์จากภายนอก ในรุ่น RS นี้สามารถล๊อกรถได้ทันทีเมื่อกุญแจอยู่ห่างจากรถ
ภายใน เป็นสีดำตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ + หนังสังเคราะห์ ในรุ่น RS นี้ติดแป้นคันแร่ง และแป้นเบรกแบบสแตนเลสให้ด้วย
เบาะไฟฟ้าปรับ 8 ทิศทาง ขณะที่ผู้โดยสารปรับ 4 ทิศทาง
แอร์ออโต้ แบบแยกอิสระซ้าย-ขวา จอแดชบอร์ด TFT ที่แสดงผล Multifunction รวมถึงแสดงผลระบบนำทาง สะดวกไม่ต้องละสายตา
เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส 7” พร้อมระบบ Apple Car Play รองรับการเชื่อมต่อ Smart Phone, Siri, Bluetooth, HDMI, USB ถ่ายทอดกำลังเสียงผ่านลำโพง 8 ตำแหน่ง
ควบคุมผ่านพวงมาลัยหุ้มหนังมาพร้อมฟังก์ชั่นใหม่ Swipe (ใช่นิ้วรูดเพิ่มลดเสียง) มีครูสคอนโทรล และ Paddle Shift ติดตั้งให้
ขุมพลังหัวใจใหม่ DOHC 1.5 ลิตร VTEC Turbo แบบ Direct Injection มีกำลัง 173 แรงม้า@5,500rpm แรงบิด 220 Nm@1700-5,500rpm รองรับน้ำมัน E20 ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ซึ่งในรุ่น VTEC Turbo นี้ จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่น 1.8 เพื่อรองรับพละกำลังท่มากกว่า ส่งผลให้มีน้ำหนักมากกว่าราว 20 กก.
ในด้านสมรรถนะการขับขี่ เราจะพบว่าคันเร่ง DBW ในตัว Turbo นี้ดูจะเซ็ทมาหน่วงตอบสนองช้าไปนิด แต่เมื่อคันเร่งเริ่มทำงาน ทอร์คเริ่มมีให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ ก็พบว่ามันแรงดีทีเดียว Honda เคลมสมรรถนะแรงเท่า 2.4 แต่ ประหยัดน้ำมันเท่า 1.8 ให้กล่าวคือ แรงกว่า 2.0 เดิม สมรรถนะไล่ๆ กับ Accord 2.4 แต่ประหยัดในแบบเครื่อง 1.8
หลายคนที่คาดหวังว่ารุ่น Turbo RS มันต้องแรงกระชากตามสไตล์รถสปอร์ต จะบอกว่าไม่ใช่แบบนั้นเลยด้วยเกียร์ CVT นี้ทำให้มันยังคงบุคลิกของรถยนต์หรู แบบครอบครัวไว้เต็มเปี่ยม แรงตามเท้าสั่งเหยียบเป็นมา ขึ้นแบบเรื่อยๆ แต่ไม่มีอาการดึงให้รู้สึกเร้าใจเล่น
สมรรถนะอัตราเร่งช่วงต้นถึงย่านความเร็วกลางทำได้ดี ขณะที่ความเร็วปลายยังมีให้ใช้แบบเรื่อยๆ แน่นอนการใช้งานขับขี่แซงรถทั่วๆไป ไว้ใจได้หายห่วง ไม่มีให้ลุ้นหวาดเสียว
ในช่วงที่ผู้เขียนเป็นผู้นั่ง ผู้ขับอีกท่านสามารถทำความเร็วได้ถึงระดับ 207 กม./ชม. ซึ่งดู จากกำลังรถแล้ว น่าจะไหลได้อีกหน่อย
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองก่อนที่ผู้เขียนจะมาขับได้อยู่ที่ 11.9 กม./ลิตร ซึ่งเส้นทางก็มีทางคดเคี้ยว และใช้ความเร็วสูงพอสมควรซึ่งพอยืนยันได้ว่า อัตราสิ้นเปลืองใกล้เคียง 1.8 แต่ถ้าหากคุณเล่นตะบี้ตะบันเหยียบอย่างเดียว บอกได้เลยว่ามันซดไม่น่าจะมีในระดับเดียวกับ 2.0 หรืออาจจะมากกว่าด้วย
ในส่วนระบบบังคับเลี้ยว และเบรกนั้น เราจะไม่ขอกล่าวซ้ำเนื่องจากมีลักษณะการตอบสนองที่ไม่แตกต่างกันกับ 1.8 อย่างมีนัยสำคัญ
ระบบกันสะเทือน โช้คหน้านั้นจะเซ็ท Damper เหมือนกัน ทั้ง 1.8 และ VTEC Turbo ส่วนโช้คหลังจะต่างกัน รวมถึงสปริงต่างกันทั้งด้านหน้าและหลัง ทางวิศวกรได้กล่าวว่า การเซ็ทโช้คอัพให้แตกต่างกันทางด้านหลังนี้เพื่อให้ได้ตามสเป็กยางที่แตกต่างกันนั่นหมายความว่าเซ็ทให้มีบุคลิกที่ค่อนข้างคล้ายกัน ซึ่งผู้เขียนพบว่ามันเซ็ทออกมาค่อนข้างแน่นและดูจะเกาะถนนกว่ารุ่น 1.8 อยู่เล็กน้อย ขณะที่การซับแรงนั้นทำได้ดีใกล้เคียงกัน ผู้เขียนสามารถนั่งหลับที่เบาะหลังได้อย่างสบาย แม้รถจะแล่นอยู่ที่ความเร็วสูง และพื้นผิวที่ไม่ราบเรียบนัก
ระบบความปลอดภัย ในรุ่น RS นี้ให้ Lane Watch แบบเดียวกับที่พบใน Honda Accord รุ่นท๊อป
กล้องหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ, ถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบเบรก ABS, EBD, ระบบควบคุมการทรงตัว VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน HSA
สรุป
หากคุณต้องการรถยนต์ Compact Sedan ที่หรูหรา สดใหม่ มาแรงที่สุดในขณะนี้ คงหนีไม่พ้น All New Civic เจน 10 ใหม่คันนี้ ที่เพียบพร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีสปอร์ต + หรูหรา ห้องโดยสารกว้างขวาง ภายในฟังก์ชั่นใช้งานครบครัน
ถ้าเน้นขับใช้งานทั่วๆไป 1.8 EL น่าจะตอบโจทย์ได้ดี ด้วยออปชั่นที่เพียบพร้อมในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะจัดของใหม่ทั้งทีอยากได้แบบใหม่หมดจดทั้งคัน + งบถึง เราขอแนะนำ Turbo RS รุ่นท๊อป เครื่องแรง หล่อ พร้อมมอบความหรูอย่างแท้จริง
เอาล่ะเราว่า พวกคุณน่าจะตัดสินใจ เลือกได้แล้วสินะครับว่า เครื่องยนต์บล๊อกไหนน่าจะเหมาะแก่การใช้งานของคุณ
จุดเด่น
– สมรรถนะ เครื่องยนต์ VTEC Turbo ที่แรงแบบผู้ดี แฝงความนุ่มนวล
– ความกว้างขวางของบอดี้ ซึ่งส่งผลไปถึงพื้นที่โดยสาร
– รูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ต + ความหรูหรามีระดับ
– สตาร์ทเครื่องยนต์ และแอร์ได้จากรีโมทภายนอกรถ
จุดที่อยากให้มีเพิ่มเติม
– สีตัวถังรถที่น่าจะมีให้เลือกเยอะกว่านี้โดยเฉพาะรุ่น 1.8
– แอร์ตอนหลัง
– ตัวดันหลัง (Lumbar Support) ในรุ่นท๊อป
ขอขอบคุณ Honda Automobiles สำหรับทริปทดสอบ All New Honda Civic ใหม่ในครั้งนี้ครับ
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
All New Civic 1.8 E
All New Civic VTEC Turbo RS
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว All New Honda Civic ทั้ง 1.8 และ 1.5 Turbo RS แบบ Road Test ขับบนถนนเครื่องบล๊อกไหนถึงจะพอสำหรับคุณ? "