Group Test : รีวิว FORD RANGER RAPTOR ท้าลุยทุกสภาพถนน จะกรวดหินดินทราย ก็มาดิครับ
เมื่อพูดถึงรถกระบะที่มีขายอยู่ในตลาด หลายคนคงตั้งคำถามว่าแล้วรถกระบะรุ่นไหนล่ะที่มีสมรรถนะสูงที่สุด ณ ขณะนี้ เชื่อเหลือเกินว่าต้องมีชื่อของ Ford Ranger Raptor ถูกเอ่ยขึ้นมาติด 1 ในโผอย่างแน่นอน โดยหลังจากที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเกี่ยวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ นับตั้งแต่เปิดตัวมาเป็นเวลากว่า 1 ปี
ทางทีมงาน 9carthai มีโอกาสได้เข้าร่วมทดสอบสมรรถนะของแร็พเตอร์ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าชื่อเสียงที่ได้ยินมานั่นเป็นแค่เพียงข่าวลือหรือเรื่องจริงครับ
ฟอร์ด ประเทศไทย ได้จัดทริปสุดมันส์ “Ford Ranger Raptor – The Mysterious Journey” ด้วยการเชิญคณะสื่อมวลชนร่วมสัมผัสดินแดนลึกลับกับธรรมชาติอันสวยงามที่แฝงตัวอยู่บนเส้นทางชายฝั่งทะเลอันดามัน ระหว่างวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ 2562 จังหวัดสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต
โดยตลอดเส้นทางและสนามทดสอบต่างๆ เราจะได้เจอกับพื้นผิวถนนหลากหลายรูปแบบทั้ง ถนนดำ ทางลูกรัง หินกรวด ดินปนทราย ทางลาดชัน พื้นหญ้า พื้นทราย และบางช่วงก็เป็นทางลื่นจากพื้นผิวน้ำตื้นๆ เรียกว่าขาดอยู่แค่เพียงพื้นผิวเดียวที่ประเทศไทยไม่มีก็คือ หิมะนั่นแหล่ะครับ
ด้วยการออกแบบที่มีดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ เป็นหัวใจหลัก ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ จึงเป็นรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงที่ทำลายทุกข้อจำกัดของเทคโนโลยี นวัตกรรม และความตื่นเต้นเร้าใจในการขับขี่ ไม่ว่าสภาพแวดล้อมพื้นผิวถนนจะโหดร้ายแค่ไหน
ผู้ขับขี่ก็สามารถอุ่นใจได้ว่าสามารถผ่านอุปสรรคไปได้อย่างแน่นอน ด้วยตัวช่วยอย่างระบบ TMS (Terrain Management System), HLA (Hill Launch Assist), HDC (Hill Descent Control) และโช้คอัพคู่หน้าหลังของ FOX SHOCK เพราะฉะนั้นไม่ว่าเส้นทางจะลำบากยากเข็ญแค่ไหน ผมบอกได้คำเดียวเลยว่า “ก็มาดิครับ”
ในส่วนของโมเดลภายนอกและภายใน ส่วนนี้ผมอาจไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เนื่องจาก 9carthai เคยรีวิวแบบละเอียดเจาะลึกกันไปแล้วโดยสามารถคลิ๊กเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ https://www.9carthai.com/group-test-ford-ranger-raptor/
โดยผมขอทบทวนถึงตัวเครื่องยนต์กันสักเล็กน้อย ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เทคโนโลยีล่าสุด มอบพละกำลัง 213 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ดีขึ้น และการเปลี่ยนเกียร์ที่ฉับไวกว่าที่เคย
พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Terrain Management System (TMS) ลุยทุกเส้นทางหฤโหด รวมถึงระบบกันสะเทือนที่มาพร้อมโช๊ค FOX Shock ที่ช่วยซับแรงกระแทกในการขับขี่ทางวิบาก ล้อแม็กอัลลอยดำขนาด 17″ ยาง All-Terrain BF Goodrich 285/70 R17
ก่อนที่จะเล่าถึงประสบการณ์สุดมันส์ของการผจญภัยในครั้งนี้ เรามาทำความรู้จักกับระบบ TMS หรือ Terrain Management System ว่าในแต่ละโหมดเหมาะกับการใช้งานสภาพพื้นถนนแบบไหน โดยจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 โหมด ได้แก่
1. Normal Mode – โหมดปกติ
2. Sport Mode – โหมดสปอร์ต
3. Snow/Gravel/Grass Mode – โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ
4. Mud/Sand Mode -โหมดโคลน/ทราย
5. BAJA Mode – โหมดบาฮา
6. Rock Mode – โหมดหิน
Day 1 วันแรกสื่อมวลชนเดินทางจากกรุงเทพถึงสนามบินสุราษฏร์ธานี เริ่มต้นการผจญภัยบนเส้นทางธรรมชาติภูเขาหินปูนที่สลับซับซ้อนอันสวยงามและท้าทาย เพื่อเดินทางไปยัง ภูตาจอ ยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดพังงา จุดชมวิวที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเกือบ 1,300 เมตร ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถมองเห็นวิวทะเลอันดามันได้รอบ 360 องศา
พื้นที่ด้านบนยอดภูนั้นมีลานกว้างเนื่องจากเป็นขุมเหมืองแร่เก่า เหมาะแก่การท่องเที่ยวแบบแคมปิ้งและผจญภัย สภาพเส้นทางเป็นทางลูกรังที่มีความหลากหลายทั้งเป็นหินกรวด ดินปนทราย ทางสูงชัน และมีความลื่นในบางช่วงที่ทางน้ำผ่าน จำเป็นต้องใช้รถออฟโรดสมรรถนะสูงในการเดินทาง
ผู้ขับจึงใช้ระบบ 4×4 Terrain Management System (TMS) ที่มีเฉพาะใน ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ โดยเลือกใช้โหมดหญ้า/กรวดหิน ที่ออกแบบมาสำหรับการขับขี่บนทางออฟโรดที่เป็นกรวดและพื้นผิวลื่น สลับกับพื้นผิวถนนบางช่วงที่เป็นดินทรายเปลี่ยนไปใช้โหมดโคลน/ทราย และยังมีบางจุดที่เป็นทางลาดชันสูง 45 องศา ตรงจุดนี้มีโหมดหิน ที่เน้นควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ เพื่อให้ผ่านอุปสรรคไปได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย
นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Launch Assist (HLA) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control (HDC) เพื่อช่วยเพิ่่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ขึ้นลงทางชัน
Day 2 ในวันที่ 2 ของการเดินทาง เราไปกันที่สนามครอสคันทรีที่ทาง ฟอร์ด ประเทศไทย จัดเตรียมเพื่อเป็นสนามทดสอบแรก โดยไฮไลท์ของสนามนี้จะเป็นการทดสอบระบบ TMS ด้วยโหมดบาฮา (BAJA Mode) โหมดการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง
ทางทีมงานเซ็ตจุดทดสอบต่างๆ เพื่อที่จะดึงสมรรถนะที่มีอยู่ในตัว แร็พเตอร์ออกมาให้มากที่สุดทั้ง พื้นผิวหญ้า ดินทราย และเนินกระโดด ซึ่งตลอดระยะทางในสนาม สามารถทำความเร็วเฉลี่ยได้ประมาณ 80-90 กม./ชั่วโมง ถือว่าทำความเร็วได้สูงในสภาพพื้นผิวแบบออฟโรด
และในช่วงท้ายของสนามทดสอบนี้จะเป็นเนินกระโดด เพื่อเป็นการทดสอบระบบช่วงล่างที่ใส่ Fox Shock โช้คอัพขั้นเทพมาเป็นโช้คหน้า-หลัง ทำให้การลงพื้นสามารถซับแรงกระแทกโดยที่รถไม่เสียการทรงตัวใดๆ
สนามทดสอบต่อมา เป็นสนามที่อยู่บริเวณริมชายหาด มีพื้นผิวทรายที่มีความนิ่มและร่องทรายค่อนข้างลึก ตรงจุดนี้จะเป็นตัวทดสอบระบบ TMS ในโหมดทราย/โคลน (Sand/Mud Mode) โหมดที่มีการค้างไว้ที่รอบเครื่องสูงขึ้นเพื่อรักษาแรงบิดไม่ให้จมลงไปในร่องทราย
ถึงแม้สื่อมวลชนแต่ละท่านจะเป็นผู้ขับขี่ทีมีความเชี่ยวชาญแต่ด้วยสภาพสนามที่ค่อนข้างโหด จึงมีรถบางคันติดอยู่ในหล่มทราย แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ฟอร์ดให้มาไม่ว่าจะเป็นการขับด้วยโหมดทราย และระบบ Diff Lock สามารถช่วยให้รถหลุดพ้นจากหล่มออกมาได้อย่างไม่ยากนัก
Day 3 วันสุดท้ายของการเดินทาง เป็นเส้นทางจากพังงาเพื่อไปสนามบินภูเก็ต ระหว่างทางได้แวะเยี่ยมชม กะปง แกรนด์ แคนยอน ประติมากรรมธรรมชาติที่มีลักษณะภูเขาสูงต่ำไม่เท่ากัน ปรากฎการณ์นี้เกิดจากการทำเหมืองแร่ดีบุกในสมัยก่อน ต่อมาถูกน้ำกัดเซาะจนพังทลายกลายเป็นพื้นที่รูปร่างแปลกตากว่า 50 ไร่ ดูคล้ายสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในสหรัฐอเมริกา โดยจุดนี้เราจะได้ใช้ระบบ TMS โหมดทรายกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่กรุงเทพ
สรุป : หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ทดสอบสมรรถนะเชิงลึกแทบจะครบทุกรูปแบบถนนที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า นี่คือรถกระบะออฟโรดที่มีความครบเครื่องที่สุด
ทั้งเรื่องของดีไซน์ที่โดดเด่นแข็งแกร่งดุดัน ขับไปไหนเป็นต้องมีสายตาจับจ้อง เทคโนโลยีล้ำสมัยเกินหน้าคู่แข่งในตลาด ขับสบายบนถนนเรียบ ขับสนุกบนทางวิบากออฟโรด สมรรถนะช่วงล่างขั้นเทพด้วย Fox Shock เพราะฉะนั้น Ford Ranger Raptor คันนี้แหล่ะที่จะมาเติมเต็มความต้องการของคนที่รอคอยรถกระบะสมรรถนะสูง ที่ไม่สามารถหาได้จากรถกระบะค่ายอื่น
ขอขอบคุณ : ฟอร์ด ประเทศไทย
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " Group Test : รีวิว FORD RANGER RAPTOR ท้าลุยทุกสภาพถนน จะกรวดหินดินทราย ก็มาดิครับ "