รีวิว Honda Brio Amaze ประหยัดน้ำมัน สมรรถนะดี ตอบสนองได้ดั่งใจ
หลังจากที่เคยเขียนบทความสั้นๆ และรวมภาพจากงานเปิดตัว Honda Brio Amaze ไปนานแล้ว คราวนี้มาถึงการรีวิวทดสอบขับรถคันจริงกันบ้าง เชื่อว่าหลายคนกำลังสนใจ Eco car รุ่นนี้จากแบรนด์ดังที่คนไทยไว้วางใจกันมายาวนาน
เริ่มต้น เรามาดูรถยนต์คันจริงกันก่อน HONDA BRIO AMAZE V AT (ตัวท๊อป)
Brio Amaze คันที่รีวิวในครั้งนี้เป็นสีขาว สียอดนิยมในยุคนี้ ขับรถไปจอดทุกห้าง พบเจอแต่รถยนต์รุ่นใหม่สีขาวจอดกันเต็มไปหมด กุญแจรถแบบมีรีโมตในตัว ขนาดไม่ใหญ่ พกพาสะดวก ดีไซน์ดูธรรมดาๆ ไม่ได้สวยหรูอะไร
ก่อนอื่น ขอเดินดูดีไซน์ของ Brio Amaze รอบคันก่อนเข้าไปในรถ
ไฟท้ายมีขนาดใหญ่โดดเด่น มีบางส่วนสะท้อนเค้าโครงของไฟท้ายมาจาก Civic และ City เป็นสไตล์ที่คล้ายกัน
ดูเป็นรถเก๋งเล็กที่มีสัดส่วนสั้น จอดได้ง่าย เหมาะสมสำหรับผู้ที่เพิ่งหัดขับและมีรถยนต์เป็นคันแรก
ไฟหน้าขนาดใหญ่ตามสไตล์ของฮอนด้า เส้นสายของตัวรถ ลากพาดผ่านตั้งแต่ด้านหน้ารถไปจนถึงไฟท้ายด้านหลัง
– คิ้วท้ายเป็นแถบโครเมี่ยมขนาดใหญ่ ดูหรูหราเกินราคาเป็นอย่างมาก
– ฝาท้าย สามารถเปิดได้จากคันโยกด้านข้างเบาะคนขับ หากอยู่นอกตัวรถ ต้องใช้กุญแจไขฝาท้าย เพราะไม่มีปุ่มกดเปิด
รุ่นนี้ไม่มีไฟตัดหมอก ใส่เพิ่มไม่ได้ กระจังหน้ามีแถบโครเมี่ยม 2 เส้นขนาดใหญ่ ดูดีมีราคากว่าการใช้พลาสติกสีดำด้าน
เสาอากาศแบบดึงเองด้วยมืออยู่ที่ฝั่งคนขับรถ
รุ่นที่ทดสอบ ไม่ใช่รุ่นต่ำสุดที่ใช้ฝาพลาสติกครอบล้อ จึงมีลวดลายของล้ออัลลอยด์เป็นอย่างในภาพ ซึ่งดีไซน์ธรรมดา ไม่มีความโดดเด่น เชื่อว่าจะถูกปรับดีไซน์ให้สวยขึ้นเมื่อไมเนอร์เชนจ์ในปี 2557
ไฟเลี้ยวอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน
ไฟท้ายมีดีไซน์สวยงามพอสมควร
เครื่องยนต์ i-VTEC การันตีได้ถึงความแรงในการเร่งแซง แต่ก็ไม่เปลืองน้ำมันมากเท่าไรนัก
เปิดประตูรอบคัน
รถ ดูสั้นป้อม แต่ช่องเก็บสัมภาระท้ายรถ ก็ดูมีความจุพอสมควร แต่ยังน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Nissan Almera และ Mitsubishi Attrage อย่างชัดเจน
ด้านล่างช่องเก็บสัมภาระท้าย มียางอะไหล่และเครื่องมือต่างๆ ครบครัน
ฝากระโปรงเปิดขึ้นไม่ยาก สาวตัวเล็กๆ ก็เปิดเองได้
ดู กันใกล้ๆ ว่าคิ้วท้ายโครเมี่ยมขนาดใหญ่แวววาวสวยงามขนาดไหน บวกกับโลโก้ของ Brio Amaze สองบรรทัด และอีกข้างเป็นโลโก้ i-VTEC วางตำแหน่งจัดวางได้ลงตัว
ช่องเติมน้ำมัน อยู่ฝั่งซ้าย (เติมได้ทั้ง E20, แก๊สโซฮอล์ 91 ขึ้นไป, เบนซิน 91 ขึ้นไป)
เสาอากาศแบบอ่อน ควรดึงอย่างระมัดระวัง
กระจกมองข้าง ค่อนข้างกว้าง มุมมองเหมาะสม ทัศนวิสัยถือว่าดีพอสมควร
โคมไฟหน้า ไม่มีลูกเล่นอะไรภายในโคม ดูธรรมดามาก ดีไซน์รั้งอันดับท้ายในตลาดรถยนต์ระดับล่าง
มีไฟเลี้ยวด้านข้าง เพราะไม่มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง เป็นเรื่องของความปลอดภัยที่ตัดทิ้งไม่ได้ แม้รถราคาประหยัด
มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ ทรงยาว เปิดง่ายกว่า Eco car บางรุ่นในตลาดที่ใช้มือจับประตูแบบยกขึ้น
ท่อไอเสียแบบท่อเดียวฝั่งขวา
ไฟ เบรคแบบ LED และไฟท้ายที่บังคับแสงเป็นรูปตัว D จุดนี้น่าชื่นชมอย่างมาก ฮอนด้าใส่ใจในการออกแบบไฟท้ายของรถยนต์หลายรุ่น แม้ว่าไม่ได้ใช้ไฟท้ายแบบ LED แต่ก็พยายามทำโคมไฟให้มีซับซ้อนภายในและหักเหสะท้อนแสงได้ดีเยี่ยม ไฟท้ายติดสว่างสวยงาม แสงกระจายทั่ว ไม่ได้สว่างแค่ตำแหน่งหลอดไฟ ต่างจากคู่แข่งหลายยี่ห้อในตลาด ที่ทำไฟท้ายแบบใส เห็นหลอดไฟชัดเจน ไม่มีการเล่นมุมหักเหแสง แบบนั้นดูเหมือนรถไม่มีราคาเลยจริงๆ
ห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีเบจ ดูสว่างและกว้าง คอนโซล แผงควบคุม พวงมาลัย ที่เปิดประตู เบาะนั่ง ดีไซน์ดูเชยไปหน่อยเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน สังเกตว่าเครื่องเสียงอยู่ไกลจากมือคนขับ
ระยะห่างระหว่างเข่าผู้โดยสารตอนหลังกับหลังเบาะคู่หน้า เหลือเพียงเล็กน้อย แต่เบาะหลังเป็นฟองน้ำที่นุ่ม นั่งแล้วมีอาการเมื่อยน้อยกว่า Eco car รุ่นอื่น มีที่วางแขนตรงกลางเบาะหลังอีกด้วย
เครื่องเสียงมีปุ่มน้อย ดูเหมือนใช้งานง่าย แต่กลายเป็นว่า ตัดปุ่มที่ควรจะมี ออกไปหลายปุ่ม เช่น ปุ่มเลือกสถานีวิทยุที่เราบันทึกไว้ 1-6 สถานีแรก มีช่องต่อ AUX และสาย USB
ปลายเบาะหน้าทำมุมยกสูงรองหลังหัวเข่า นั่งสบาย ออกแบบได้เหมาะสมกับสรีระ
พนักพิงศีรษะแบบชิ้นเดียวกับเบาะพิงหลัง เพื่อลดต้นทุน แต่ก็ไม่มีปัญหากับการใช้งาน
มาตรวัดแบบเรืองแสงสีส้มเช่นเดียวกับรถยนต์ Eco car ทั่วไป ไฟสีขาวหรือสีฟ้า ถูกนำไปใช้กับรถยนต์รุ่นอื่นที่สูงกว่า
มาตรวัดรอบและไฟแสดงผลอื่นๆ จะอยู่ด้านข้าง ดูยากเล็กน้อย
ที่เปิดประตู เป็นพลาสติกสีเบจ ดู Look cheap ไม่มีโครเมี่ยม เป็นอีกจุดที่ด้อยกว่าคู่แข่ง
สาย USB สำหรับเสียบ MP3 Flashdrive ค่อนข้างเกะกะ
สวิตช์ไฟเลี้ยว ไฟหน้า และที่ปัดน้ำฝน เหมือนกับรถยนต์ทั่วไป
ผิวพลาสติกแบบลื่น วางของไม่ได้ เสียดายที่ฮอนด้าน่าจะทำผิวสังเคราะห์ให้ดูดีหรือผิวสัมผัสคล้ายหนังเย็บ
รุ่นท๊อปไม่มีปุ่มสตาร์ท ต้องใช้กุญแจปกติ
พวงมาลัย 3 ก้านสีเทาแบบแข็งและลื่น ดูด้อยกว่า Honda City / Jazz เพิ่มรูปพวงมาลัย แบบเต็ม
เพดานห้องโดยสารเป็นสีเบจ ดูสว่าง มีพื้นที่เหนือศีรษะว่างอยู่พอสมควร ดูค่อนข้างโปร่งโล่ง
คันโยกเปิดฝาถังน้ำมันและท้ายรถ
ช่องเก็บสัมภาระด้านหน้า ไม่เกะกะหัวเข่าผู้โดยสาร
มีกระจกเงาสำหรับผู้ขับเพียงคนเดียว
ปุ่มสั่งงานที่ประตูคนขับ มีครบครัน (ปุ่มปรับกระจกไฟฟ้า แต่ไม่มีปุ่มพับกระจกให้นะครับ, ปุ่มล็อคประตู, ปุ่มเปิด-ปิดกระจกรอบคัน)
มีช่องเก็บของและขวดน้ำที่ประตูทุกบาน
ช่องเก็บสัมภาระ
ประตูหลัง มีช่องลำโพง ช่องใส่ของ และขวดน้ำด้วย
ปุ่มปรับแอร์ ใช้งานง่าย ตัวอักษรใหญ่ เห็นชัดเจน
สวิตช์ไล่ฝ้ากระจกหลัง
ฝาปิดขั้วต่อปลั๊กไฟแบตเตอรี่ ปัจจุบันนิยมใช้เสียบที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ ไม่มีใครใช้จุดบุหรี่แล้ว
เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ทะยานอย่างนุ่มนวล ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนระดับเกียร์
มุมของเสา ใกล้กระจกมองข้างทั้งสอง บดบังมุมมองขณะเลี้ยวรถไปพอสมควร แต่ไม่เป็นปัญหาในการขับ
เบาะพิงหลัง ดีไซน์บางแต่ก็นั่งแล้วค่อนข้างสบาย แต่ไม่มีที่วางแขน อาจจะเมื่อยบ้าง
ช่องแอร์แบบนี้ บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่แอร์ก็เย็นเร็วดี ลมแรงทั่วถึงภายในห้องโดยสาร
ที่ใส่ขวดน้ำนับแล้วได้ 9 ขวด เยอะจริงๆ
ถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า
คันเร่งและแป้นเบรค มีระยะห่างพอสมควร ใช้งานสะดวก
การเข้า-ออกในห้องโดยสารตอนหลัง สะดวก เพราะมีพื้นที่กว้างพอสมควร
ทดสอบขับบนถนนราชพฤกษ์
เส้นทางที่เราใช้ทดสอบขับ เป็นถนนราชพฤกษ์ในช่วงกลางคืน ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ดี การจราจรไม่หนาแน่น ทดสอบเร่งแซงได้ ผิวถนนเรียบดี ไม่ค่อยมีการปะซ่อมแซมผิวการจราจร และไม่มีจุดกลับรถที่เกาะกลางถนน
เราพบว่า อัตราเร่งทำได้ดี เร่งแซงได้สบายๆ เครื่องยนต์ i-VTEC (1.2 ลิตร 90 แรงม้า) มีสมรรถนะที่ดี ตอบสนองได้ดั่งใจ ทดสอบขับเข้าโค้งที่ความเร็ว 70-80 km/h ก็ยังมั่นใจได้ถึงการเกาะถนนได้ดี ไม่ต้องกลัวว่าหลุดโค้ง
อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน จากการทดสอบขับบนถนนราชพฤกษ์ ที่ความเร็ว 80-100 km/h ตลอดทาง ถนนโล่งๆ ในเวลากลางคืน ได้ตัวเลขที่น่าพอใจอย่างมาก คือ 18.9 กม./ลิตร ส่วนการขับในตัวเมืองกรุงเทพฯ ที่รถติดพอสมควร ได้ตัวเลขอยู่ที่ 13.7 กม./ลิตร ก็ยังถือว่าน่าพอใจ ประหยัดน้ำมันดีมาก เปิดแอร์ตลอดในการทดสอบ แอร์เย็นเร็ว ไม่มีการปิดแอร์เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ดูประหยัดน้ำมันมากเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้เป็นการทดสอบด้วยสภาพการใช้งานจริงของคนทั่วไป
ข้อสังเกตของ Honda Brio Amaze
– ไฟส่องสว่างสำหรับอ่านแผนที่ มีเพียงดวงเดียวตรงกลางห้องโดยสาร สว่างไม่เพียงพอ
– เครื่องเสียงเล่น CD ไม่ได้ และไม่มีปุ่มเลือกคลื่นสถานีวิทยุ 1-6 ช่องแรกที่เราบันทึกไว้ ตัดปุ่มที่สำคัญออกไป
– ฝาท้ายไม่มีปุ่มเปิดจากภายนอกรถ ต้องใช้กุญแจไข
– สาย USB ยาวเกะกะ น่าจะทำเป็นขั้วติดคอนโซลไว้ ไม่ต้องมีสายห้อยออกมา
– ปุ่มเลื่อนกระจกไฟฟ้าฝั่งคนขับ เลื่อนลงอัตโนมัติจนสุดด้วยการกดครั้งเดียว แต่เลื่อนขึ้นปิดกระจก จะต้องกดแช่ไว้
*แต่ก็ต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วยราคาตัวท๊อปสูงสุด HONDA BRIO AMAZE ราคาเพียง 521,000.
เปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดที่ระดับราคาเดียวกัน
รถยนต์ซีดาน 4 ประตูที่เป็น Eco car ในตลาดปัจจุบัน ก็มี Mitsubishi Attrage และ Nissan Almera และราคาของ Brio Amaze รุ่นท็อป ก็ยังใกล้เคียงกับรถยนต์ B-segment เกรดล่างสุด เช่น Toyota Vios, Honda City, Suzuki Swift รวมทั้ง Eco car แบบ Hatchback 5 ประตูอีกหลายรุ่น บางคนก็นำมาเป็นตัวเลือกที่กำลังพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อ
Brio Amaze เหมาะสมกับวัยรุ่น นิสิตนักศึกษา และผู้ที่เพิ่งทำงาน เริ่มมีรายได้เป็นของตัวเอง รถยนต์คันแรกที่ผ่อนแบบสบายๆ
จุดเด่นของ Brio Amaze ที่เหนือคู่แข่งทั้งหมดเหล่านั้นคือ สมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ดีกว่า เบาะนั่งที่นุ่มกว่า ท้ายรถที่ดูสวยงามหรูหรา ไฟท้ายเท่ล้ำหน้าเกินราคา ประหยัดน้ำมัน รวมทั้งแบรนด์ฮอนด้าที่คนไทยวางใจ มีศูนย์บริการที่บริการได้น่าประทับใจ
แต่จุดที่ยังด้อยกว่าคู่แข่ง คือ ความกว้างสบายภายในห้องโดยสาร และดีไซน์ภายในดูเรียบง่ายไปหน่อย มีหลายจุดที่ไม่สะดวกในการใช้งาน และวัสดุที่ใช้ภายในห้องโดยสาร ยังดูไม่ดีนัก เป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงในอนาคต
โดยเฉพาะ Vios รุ่นใหม่มีความสวยงามลงตัวอย่างมากทั้งวัสดุและการออกแบบภายใน ส่งผลให้ Yaris Eco รุ่นใหม่ได้รับอานิสงค์ของสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปด้วย เป็นตัวอย่างที่ดีของรถยนต์ราคาถูก ที่พิถีพิถันในการออกแบบและเลือกใช้วัสดุ ซึ่งก็อยากให้ Honda ใส่ใจในจุดนี้ด้วย
Attrage คู่แข่งที่สำคัญของ Brio Amaze มีดีไซน์ที่สวยงามหรูหรากว่าหลายเท่า มีชุดแต่งให้เลือกมากมาย หรือ Almera ก็มีความโดดเด่นในเรื่องห้องโดยสารขนาดใหญ่เทียบเท่ารถยนต์ราคา 8-9 แสนบาท แต่สมรรถนะการควบคุมยังต้องปรับปรุง
อยากให้ผู้อ่านทดลองขับและแวะชม Honda Brio Amaze เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ถ้าเป็นแฟน Honda มายาวนาน ก็คงเลือก Honda แน่นอนอยู่แล้ว แต่สมรภูมิตลาดรถ Eco car ที่แข่งกันดุเดือดมาก ก็ทำให้ Honda ประมาทไม่ได้ เพราะผู้นำของตลาดนี้ในประเทศไทยยังคงเป็น Nissan อยู่ ที่เปิดตัว March และ Almera จนประสบความสำเร็จมาก่อน
วัดอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง | ||||
ครั้งที่ 1 | ครั้งที่ 2 | ครั้งที่ 3 | เฉลี่ย | |
อัตราเร่ง 0-60 กม./ชม. | 8.5 | 8.2 | 9.1 | 8.6 |
อัตราเร่ง 0-80 กม./ชม. | 12.6 | 11.1 | 12 | 11.9 |
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. | 15.9 | 14.7 | 14.6 | 15.07 |
อัตราเร่ง 0-120 กม./ชม. | 19.3 | 19.7 | 19.5 | 19.5 |
ราคา Honda Brio Amaze ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ S MT 454,000.
ราคา Honda Brio Amaze ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ S AT 493,000.
ราคา Honda Brio Amaze ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ V MT 482,000.
ราคา Honda Brio Amaze ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ V AT 521,000.
วรพล ลิ่มศิริวงศ์ ผู้เขียน
ขอขอบคุณ ทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อรถมาใช้ในการ TEST DRIVE
ถ้าบทความนี้มีประโยชน์ฝากกด LIKE + SHARE ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ ^__^
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว Honda Brio Amaze ประหยัดน้ำมัน สมรรถนะดี ตอบสนองได้ดั่งใจ "