รีวิว Honda City Hatchback e:HEV ซิตี้คาร์ 5 ประตู Full Hybrid รุ่นแรกในไทย คันเดียวครบทุกสิ่งที่คุณต้องการ
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายปี 2020 ทีมงาน 9carthai.com ได้ไปลองสัมผัสสมรรถนะการขับขี่ของ Honda City Hatchback และ Honda City e:HEV
ซึ่งในวันนั้นคำถามที่คณะสื่อมวลชนถามเหมือนกันหมดก็คือ เมื่อไหร่ Honda City Hatchback e:HEV จะมา?
เพราะด้วยความอเนกประสงค์ของตัวถัง Hatchback ที่ตอบโจทย์ได้หลากหลายการใช้งานจนหลายท่านต้องเอ่ยปากชม และด้วยความประหยัดของเทคโนโลยี e:HEV ที่หลายท่านต่างก็ติดใจ แล้วมันจะเพอร์เฟคขนาดไหนหากจุดขายหลักทั้ง 2 อย่างนั้น ได้มารวมอยู่ด้วยกันภายในรถเพียงคันเดียว
และแล้ว Honda ก็ไม่ทำให้คนไทยต้องผิดหวัง เมื่อล่าสุดได้ประกาศเปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV รถยนต์ซิตี้คาร์ 5 ประตู Full Hybrid รุ่นแรกในประเทศไทย
ที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ระบบความปลอดภัยที่จัดเต็ม ภายใต้ความอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ได้หลากหลายสไตล์ และความประหยัดน้ำมันที่ต้องบอกว่านี่คือ Best in Class
ซึ่งในวันนี้ ทีมงาน 9carthai.com ได้ไปลองขับ Honda City Hatchback e:HEV และสัมผัสกับสมรรถนะทั้งหมดของตัวรถมาแล้ว
บอกได้เลยว่านี่คือซิตี้คาร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างครอบคลุมที่สุดในตลาด แต่ก็แพงที่สุดในกลุ่มเหมือนกัน
สำหรับรายละเอียดด้านรูปลักษณ์ภายนอก และอุปกรณ์ภายใน บทความนี้ขอไม่ลงรายละเอียดให้มากความ เพราะหลักๆ ก็ยกมาจากรุ่น RS ในเวอร์ชั่น 1.0 VTEC Turbo ทั้งหมด
เพียงแต่ดีไซน์ภายนอกจะมีการเปลี่ยนมาใช้โลโก้ H Mark ที่เป็นกรอบสีฟ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อบ่งบอกความเป็นเทคโนโลยี Full Hybrid และมีสัญลักษณ์ e:HEV ติดไว้ที่ด้านท้ายรถก็เท่านั้นเอง
อุปกรณ์มาตรฐานยกมาจากรุ่น RS ได้แก่
ภายในยังคงชูจุดขายหลักด้วยเบาะนั่งแบบอัลตรา ซีท (ULTR) ที่สามารถแยกพับได้แบบ 60:40 สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้อย่างอเนกประสงค์ และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยสามารถปรับพับได้ 4 รูปแบบ ได้แก่
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มา ก็ยังคงมาพร้อมกับภายในดีไซน์สปอร์ตโทนสีดำ คอนโซลหน้า Piano Black ตัดเย็บและเดินด้ายตะเข็บสีแดงในทุกจุด เบาะนั่งแบบผ้าสไตล์สปอร์ตตัดด้วยสีแดง อุปกรณ์มาตรฐานครบครัน และล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็น
– ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง
– พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง
– มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงวิทยุหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI
– ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
– พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว
หัวใจสำคัญของ Honda City Hatchback e:HEV นั้นอยู่ที่ ขุมพลัง Full Hybrid ระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) แบบเดียวกับที่ติดตั้งใน Honda Accord Hybrid
โดยจะเป็นการทำงานผสานกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า E-CVT และจัดเก็บพลังงานที่แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ติดตั้งไว้ด้านท้ายรถ
ซึ่งให้กำลังสูงสุด 126 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที ซึ่งเป็นแรงบิดที่สูงที่สุดในบรรดา City Car
อีกทั้งทาง Honda ยังเคลมไว้ว่าให้อัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดถึง 27 กม./ลิตร ซึ่งประหยัดน้ำมันสูงที่สุดในบรรดา City Car เช่นกัน
แถมยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 86 กรัม/กม. และรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด E20 อีกด้วย
ไหนๆ ก็พูดถึงขุมพลัง Full Hybrid ระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) แล้ว ก็ขอเสริมรายละเอียดให้ทุกท่านได้เข้าใจลักษณะการทำงานของระบบนี้กันสักหน่อย และจะได้หายสงสัยว่าเหตุใดจึงทำอัตราประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า
ซึ่งถ้าดูจากชาร์ตการทำงานด้านบนจะเห็นได้ว่า เครื่องยนต์นั้นจะทำงานแบบ 100% ในขั้นตอนที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่เท่านั้น และจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า (Hybrid Drive) ในช่วงขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ/ปานกลางคงที่ และขณะเร่งแซง
ซึ่งอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานตลอดเวลา เพราะกว่า 80% ของตัวรถนั้นจะใช้มอเตอร์เป็นตัวส่งกำลัง
ถ้าคุณเป็นคนไม่ได้ขับรถความเร็วสูงคงที่ตลอดเวลา ก็แทบจะไม่มีโอกาสเลยที่เครื่องยนต์จะซดน้ำมันลงหวบๆ เต็มที่ก็แค่ติดเพื่อช่วยส่งกำลังร่วมกับมอเตอร์บางครั้งบางคราว ซึ่งลักษณะการทำงานแบบนี้เกิดความประหยัดสูงสุดนั่นเอง
และถ้าถามว่า ขุมพลัง e:HEV กับ 1.0 VTEC turbo อันไหนแรงกว่า? ถ้าตอบแบบตรงจุดก็คือ แรงคนละแบบ
โดยขุมพลัง e:HEV จะได้เปรียบในเรื่องของอัตราเร่งช่วงต้น 0-100 กม./ชม. จะทำได้กระฉับกระเฉง และจี๊ดจ๊าดกว่า เพราะแรงบิด 253 นิวตัน-เมตร ถูกส่งจากมอเตอร์ไฟฟ้าลงสู่ล้อโดยตรง ไม่มีจังหวะหน่วงหรือรอรอบเหมือน 1.0 VTEC Turbo
แต่ถ้ารถลอยตัวไปแล้ว (ตั้งแต่ 120 กม./ชม. ขึ้นไป) ช่วงนั้น 1.0 VTEC Turbo จะโชว์ศักยภาพออกมาได้ชัดกว่า เข็มไมล์ขึ้นไวกว่าอย่างชัดเจน และที่สำคัญสามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า
ซึ่งเราเคยได้แจ้งไปแล้วว่า เครื่องยนต์ 1.0 VTEC Turbo ใน Honda City นั้น สามารถทำความเร็วได้เกิน 200 กม./ชม. ส่วนขุมพลัง e:HEV จะทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 174 กม./ชม.
ซึ่งความเร็วสูงสุดนั้นมันก็คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักเท่าไหร่ เพราะคุณคงไม่ซื้อรถเพื่อเอาไปแข่งกับใครบนท้องถนนอยู่แล้วละจริงไหม?
สุดท้ายแล้วช่วงความเร็วที่ใช้เป็นหลักก็คงเป็นจังหวะเร่งแซง และวิ่งแบบลอยตัว ซึ่งไม่เกิน 120 กม./ชม. อยู่แล้ว
ซึ่งถ้าดูจากตรงนี้ก็ดูเหมือนว่าขุมพลัง e:HEV จะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า และนี่ยังไม่ได้พูดถึงความประหยัดนะ
จุดขายหลัก แน่นอนว่าต้องว่ากันด้วยเรื่องอัตราประหยัดน้ำมันอยู่แล้ว โดยการทดสอบครั้งนี้เป็นการขับใช้งานในเมือง ตัวเลขบนหน้าจอทำได้ที่ 16.3 กม./ลิตร ซึ่งพี่ๆ นักข่าวท่านอื่นก็ทำได้ที่ 16 – 17 กม./ลิตร
และถ้าย้อนกลับไปครั้นทดสอบจากเขาใหญ่มากรุงเทพฯ ตอนนั้นทำได้สูงถึง 24 กม./ลิตร เลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ และน่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันไปได้เยอะ
หากเทียบกับเครื่องยนต์ 1.0 VTEC Turbo หรือรุ่นอื่นๆ ในตลาด (จุดนี้ก็น่าจะพอมาหักล้างกับราคาค่าตัวที่แพงที่สุดได้อยู่นะ)
ส่วนฟิลลิ่งช่วงล่าง และ Handling ก็ต้องบอกว่าแจ่มแจ๋ว เป็น Hatchback ที่คงความขับสนุกไว้ และมีความหนักแน่น นุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง
ซึ่งน่าจะถูกเซ็ตอัพช่วงล่างใหม่ที่แตกต่างไปจาก Hatchback ในรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 VTEC Turbo เพราะมีน้ำหนักของชุดแบตเตอรี่ด้านท้ายที่เพิ่มเข้ามา
ซึ่งจุดนี้ก็ยังช่วยลดอาการท้ายโยนได้อีกด้วย ส่วนน้ำหนักพวงมาลัยได้ขับกี่ครั้งกี่รอบก็ยืนยันคำเดิมว่า “คมกริบ แม่นยำ ตามมือ ไม่ดื้อเลย“
นอกเหนือไปจากสิ่งที่ได้เล่ามาทั้งหมดแล้ว อีกหนึ่งจุดขายของ Honda City Hatchback e:HEV ก็คือในเรื่องของระบบความปลอดภัย Honda SENSING อันได้แก่
นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น
– ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
– ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
– ระบบ Auto Brake Hold
– ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
– กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera)
– เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ Honda CONNECT
ซึ่งก็ถือว่าให้มาเกินคลาส City Car มาเยอะมาก แต่จะแพ้คู่แข่งอย่าง Nissan Almera ก็ตรงที่ไม่มีกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศาก็เท่านั้นเอง
บทสรุป
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องบอกว่า Honda City Hatchback e:HEV นั้น เป็นซิตี้คาร์ที่ครบเครื่อง ครบถ้วนสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งที่ต้องการ และมีมากกว่ารุ่นอื่นๆ ในคลาสนี้ แต่ประเด็นเดียวที่หลายคนยังไม่ว๊าว หรือมองข้ามไปก็คงจะเป็นในเรื่องของราคาจำหน่ายระดับ 849,000 บาท (แพงกว่า e:HEV ตัวถัง Sedan 10,000 บาท และแพงกว่า Hatchback 1.0 VTEC Turbo 100,000 บาท)
ซึ่งราคาระดับนี้หลายคนอาจจะมองว่าขยับไปซื้อ Honda Civic รุ่นเริ่มต้นเลยน่าจะคุ้มกว่า ซึ่งนั่นก็ไม่ผิด แต่อย่าลืมนะว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ค่าน้ำมันที่ต้องเติมระหว่าง Honda Civic กับ Honda City e:HEV มันคงเป็นส่วนต่างที่ประหยัดไปได้เยอะ แถมค่าบำรุงรักษาก็ถูกกว่า
ซึ่งหากใครที่ไม่สบายใจกลัวว่าระบบ Hybrid มันจะไม่ทน หรือซ่อมแพงก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ Honda เขากล้า รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และ รับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เท่านี้คงเพียงพอกันนะ!!
บทความน่าอ่าน!!
รีวิว Isuzu D-Max รุ่น 1.9 Ddi Hi-Lander ไขข้อข้องใจ เหตุใดจึงครองใจชาวไทยทุกคน
รีวิว Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition อเนกประสงค์ที่ครบในทุกด้าน กับราคาสุดคุ้มค่า
รีวิว HAVAL H6 Hybrid รวมทุกอย่างที่คุณต้องรู้ พร้อมทดลองขับครั้งแรกในโลก ก่อนเปิดราคาจำหน่ายในไทย
รีวิว Mitsubishi Triton Athlete 2021 กระบะแต่งพิเศษ ลุคสปอร์ตมาดเข้ม โดดเด่นเร้าใจเต็มอารมณ์
รีวิว Mitsubishi Xpander Cross รถ SUV 7 ที่นั่งยุคใหม่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ลุยได้มากกว่า
รีวิว Mitsubishi Outlander PHEV ใช้งานจริง ประหยัดสุดๆ ชาร์จไฟได้เองไม่ต้องง้อปลั๊ก คุ้มแน่นอน
สัมผัสแรก Aston Martin Vantage สปอร์ต Entry Level ที่ผ่านการเจียระไนอย่างพิถีพิถัน ฉายาเทพบุตรนักล่า
รีวิว Toyota Yaris PLAY Limited Edition อีโคคาร์แต่งพิเศษ ออปชันจัดเต็ม มีขายเพียง 1,500 คัน!
รีวิว Mazda CX-3 2021 Collection รุ่น Base Plus บอกเลยว่าคุ้มค่า คุ้มราคาจริงๆ
รีวิว Ford Ranger FX4 Max ที่สุดของกระบะแต่งพิเศษสไตล์ออฟโรด ในราคาจับต้องได้
รีวิวสมรรถนะการขับขี่ของ BMW 3 รุ่นใหม่ ทั้ง New Series 5 2021 และ Series 3 Gran Sedan ใหม่
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
#สอบถามโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่#
เซลล์บอล 085-082-2662
ID Line : ballz12345 https://line.me/ti/p/Y31o13g_x6
FB Page : Honda rama 3 by เซลบอล
ที่ปรึกษาการขายฮอนด้าพระราม 3 สำนักงานใหญ่สาธุประดิษฐ์
(โปรโมชั่นดี รับรถเร็ว)
รถสวยมากครับ