
รีวิว Honda Civic Hatchback ใหม่ แรงสมขุมพลัง VTEC Turbo ท้ายหล่อ สมกับเป็น “รถที่ต้องตามมอง”
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว Honda Automobiles ได้เปิดตัว All New Honda Civic ใหม่ เจนเนอเรชั่น 10 ซึ่งได้ตั้งเป้าขายที่ 25,000 คันในปีที่ผ่านมา แต่ในความเป็นจริงนั้นยอดขายทะลุเป้าไปที่ 36,000 คัน นับได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด นอกจากนี้ยอดขายสะสมทั่วทั้งโลกนั้นสูงถึง 6 แสนคันด้วยกัน
และเพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา Honda Automobiles ได้เปิดตัว Honda Civic Hatchback ใหม่ อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถ Civic 5 ประตูคันแรกที่จำหน่ายในไทย โดยเจ้า Civic Hatchback ใหม่ นี้ ใช้พื้นฐานจาก Civic Gen 10 ร่างซีดาน ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วมาดัดแปลงจากโฉมให้ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดยเพื่อให้คงภาพลักษณ์สปอร์ตทาง Honda จึงเปิดตัวเฉพาะเครื่องยนต์ VTEC Turbo เท่านั้น และมีเพียงรุ่นเดียว สนนราคา 1.169 ล้านบาท
โดยเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมาทาง 9carthai เราได้รับเชิญเข้าร่วมทริปทดสอบ Honda Civic Hatchback ซึ่งจัดขึ้นบนเส้นทางโรงแรม Marriot หัวหิน – เขื่อนแก่งกระจาน – Marriot หัวหิน
โดยผู้เขียนได้รับช่วงในขากลับจากเขื่อนแก่งกระจานกลับมายังโรงแรม ระยะทาง 132 กม. ซึ่งทางเราขอมานำเสนอรีวิว Honda Civic Hatchback ให้เพื่อนๆ รับชมกันในครั้งนี้ครับ
การออกแบบภายนอก Honda Civic Hatchback ใหม่ ใช้ตัวถังส่วนหน้า แบบเดียวกับตัวถังซีดาน
ด้านท้ายออกแบบใหม่ โดยแนวเส้นหลังคาด้านท้ายจะมีความสูงมากกว่ารุ่นซีดาน เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้าย
ขณะที่ระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านท้ายของตัวรถสั้นลงเพื่อให้อารมณ์ความสปอร์ตตามแบบฉบับรถยนต์สไตล์ยุโรป
ภาพรวมตัวถังจะยิ่งดูกว้างขึ้น (30 มม.) และต่ำลง (20 มม.) ซึ่งเป็นรูปแบบสไตล์สปอร์ต
โดยมีมิติ กว้างxยาวxสูง อยู่ที่ 1,799 x 4,501 x 1,421 มม.
การออกแบบด้านหน้าตัวรถของฮอนด้า ซีวิค แฮทช์แบ็ก ใหม่ เน้นความสปอร์ต และหรูหรา
โดยกันชนทางด้านหน้า ยังคงมาพร้อมกับช่องรับอากาศบริเวณกันชนหน้าที่สวยงามโดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์สปอร์ตรูปรังผึ้ง
บริเวณด้านหลังได้ลดระยะ Overhang ลง 10 มม.
ไฟหน้าแบบ LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ที่ดูทันสมัยที่สุดสำหรับรถในคลาสนี้
สำหรับมุมมองทางด้านท้ายที่จริงแล้วผู้เขียนมองว่ามันเป็นรถรูปแบบ Fast Back มากกว่า Hatchback ซึ่งในส่วนนี้ทำให้โฉม 5 ประตู นี้มีค่า cd (สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานแย่กว่าตัว Sedan เล็กน้อย ซึ่งทางวิศวกรไม่ได้แจ้งตัวเลขให้เราทราบ)
ขอบไฟท้ายรูปทรงตัว C แบบ LED ในส่วนของกันชนท้ายถูกออกแบบให้มีเหลี่ยมสันซึ่งถูกเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกันกับประตูท้าย โดยมี Lip Spoiler คาดผ่านไฟท้ายทั้ง 2 ฝั่ง และมีไฟเบรกดวงที่ 3 ติดตั้งอยู่ตรงกลางด้านใต้
ขณะที่กระจังด้านล่างแบบรังผึ้งเช่นเดียวกับด้านหน้า ดูสปอร์ตลงตัว
มองรวมๆ ด้านท้ายรถแล้ว สมกับเป็น “รถที่ต้องตามมอง” ตามสโลแกนจริงๆ
มีเพียงสิ่งเดียวที่ดูจะขัดตาเมื่อมองจากมุมท้ายนั่นก็คือ ท่อไอเสียออกคู่ ขนาดเล็กที่ซ่อนไว้อยู่ภายใต้สเกิร์ตหลังเท่านั้น
ด้านล้ออัลลอยเป็นลายใหม่ ขอบ 17” สวมยาง Advan dB ขนาด 215/50/R17
ภายในห้องโดยสาร
ยังคงใกล้เคียงเดิมไม่แตกต่างจากโฉมซีดาน ใช้วัสดุหนังแท้+สังเคราะห์ ในการใช้ตกแต่งหุ้มเบาะ
จุดแตกต่างนั้นได้แก่ Trim ห้องโดยสารที่มีลวดลายคล้ายเคฟล่า
ขณะที่รายละเอียดอื่นๆ ด้านออปชั่นนั้น จะใกล้เคียงเดิมแทบทั้งหมด อาทิ
ระบบกุญแจ Keyless ที่มาพร้อมปุ่ม Engine Remote Start ช่วยติดเครื่องพร้อมทำงานเครื่องปรับอากาศตั้งแต่ภายนอกรถ
เบานั่งปรับไฟฟ้าคู่หน้า แอร์ออโต้แยกโซน
หน้าจอ Touch Screen 7” พร้อมรองรับ Apple Car Play ส่งกำลังเสียงผ่านลำโพง 8 ตัว
พวงมาลัย พร้อมสวิทช์ Multifunction, Cruise Control, แป้น Paddle Shift, ปุ่มควบคุมการรับสายโทรศัพท์
แผงหน้าปัดมาพร้อมมาตรวัดดิจิตอลตรงกลาง ส่วนแผงหน้าปัดด้านบนออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกัน ทำให้พื้นที่ช่วงหัวเข่าของที่นั่งด้านคนขับกว้างขวางขึ้น
แผงคอนโซลกลางได้รับการออกภายใต้แนวคิด “Tech Center” ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางเทคโนโลยี โดยด้านบนแยกออกเป็น 2 ชั้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับช่องเชื่อมต่อพร้อมวางโทรศัพท์ได้อย่างเป็นระเบียบ
ที่แผงคันเกียร์ลงมา ยังคงมีปุ่ม เบรกไฟฟ้า, Econ, Brake Hold
อีกจุดสำคัญคือพื้นที่สัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่ 414 ลิตร โดยพนักพิงของเบาะหลังสามารถปรับพับแยกได้แบบ 60:40 ซึ่งหากปรับพับเบาะที่นั่งด้านหลังลงทั้งหมด จะช่วยเพิ่มพื้นที่ความจุได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังมาพร้อมม่านปิดสัมภาระที่สามารถเลือกปิดเก็บได้ทั้งซ้ายหรือขวา เพื่อป้องกันการมองเห็นสัมภาระที่อยู่ด้านท้าย
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเหมือนกันกับโฉม Sedan DOHC 1.5 ลิตร VTEC Turbo แบบ Direct Injection มีกำลัง 173 แรงม้า ps @5,500rpm แรงบิด 220 Nm@1700-5,500rpm รองรับน้ำมัน E20 ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT
มีการเคลมอัตราสิ้นเปลือง 17.2 กม./ลิตร อัตาเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.3 วินาที ค่าไอเสีย CO2 ต่ำที่ 137 กรัม/กม.
ในด้านสมรรถนะการขับขี่นั้นผู้เขียนพบว่า ไม่มีความแตกต่างจากตัวถังซีดาน คันเร่งไฟฟ้า DBW ยังดูตอบสนองหน่วงเท้าอยู่เหมือนเคยแม้ว่าจะอยู่ตำแหน่งเกียร์ S ก็ตาม
อย่างไรก็ดีทอร์คจำนวนมากถูกรีดออกมาที่รอบต่ำ ให้เพียงพอต่อการเร่งแซงในเมือง ขณะที่กำลังแรงม้าที่รอบสูงยังคงไหลมาให้เรียกใช้อย่างต่อเนื่อง การเร่งแซงเมื่อขับบนถนนเลนสวนนั้น ยังทำได้ดี ไม่ต้องลุ้นให้หายใจขัดคอ แรงมาได้ตามเท้าสั่งเหยียบ
แน่นอนว่า ขุมพลัง VTEC Turbo นี้แรงพอที่จะมีแรงดึงให้สัมผัส แต่ถ้าจะคาดหวังแรงกระชากหลังติดเบาะดึงๆ คงอาจจะไม่ใช่กับ Civic Turbo เนื่องจากการใช้เกียร์ CVT นั้นช่วยให้รถเคลื่อนตัวได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่อง และเน้นความนุ่มนวลและอัตราสิ้นเปลืองที่ดีเป็นหลัก
จากการใช้งานในทริปทดสอบนี้ ซึ่งใช้ความเร็วสูงและเน้นรีดสมรรถนะ และสภาพการจราจรมีครบทุกรูปแบบ ตั้งแต่วิ่งทางไกล เริ่มมีจราจรหนาแน่น และติดขัดในเมือง เราทำตัวเลขได้เกือบ 12 กม./ลิตร
การควบคุม พวงมาลัยแบบ Dual Pinion ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS มีรัศมีวงเลี้ยว 5.33 ม. ก็ยังเป็นเช่นเดียวกับโฉม Sedan ไม่เปลี่ยนแปลง ที่ความเร็วต่ำผ่อนแรงได้คล่องมือ เบามือ ขณะที่การใช้ความเร็วที่มากขึ้น น้ำหนักก็จะเริ่มหนักหน่วงมือขึ้น และการขับผ่านโค้งพวงมาลัยดูหนักแน่นมือดี แต่ที่ความเร็วสูงๆ บนทางตรง อาจยังให้ความรู้สึกว่ามันเบามือไปเสียหน่อย ไม่หนืดแน่นมือนัก และจังหวะที่กระแทกคันเร่ง Kick Down อย่างรวดเร็ว ในบางจังหวะที่พื้นไม่ราบเรียบ พวงมาลัยแอบมีดิ้นอยู่เล็กๆ ซึ่งการใช้ความเร็วสูง และขับบนพื้นผิวที่ไม่เรียบควรประคองพวงมาลัยให้ตรง
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังแบบ Multilink E type เชื่อมกับ ซับเฟรมหลัง
จุดที่แตกต่างของช่วงล่างเมื่อเทียบกับรุ่น Sedan นั่นก็คือ การเสริม Stabilizer Bush และ สปริงหลังที่มีความแข็งกว่า เพื่อเน้นความแข็งแกร่งของด้านท้ายยิ่งขึ้น
โดยรวมผู้เขียนต้องเรียนตามจริงว่า แทบจะไม่แตกต่างจาก โฉม Sedan เท่าใด แม้ว่าจะมีการปรับเซ็ททางด้านท้ายในตัว Hatchback ให้แข็งขึ้นหน่อย เพื่อให้ฟีลลิ่งการขับขี่เทียบเท่ากับ Sedan
เอาเป็นว่าโดยรวม บุคลิกทยังดูแข็งเฟิร์ม หนึบแน่นตามแบบฉบับสไตล์รถสปอร์ต ขับทางตรงที่ความเร็วสูงมั่นใจได้แบบรถยุโรป จะว่าไปแล้ว ดีกว่ารถยุโรปบางรุ่น แต่ถ้าไปเล่นโค้งหนักๆ อาจมีอาการท้ายโยนตัวอยู่บ้างเล็กน้อย + กับเสียงยางร้องเล็กๆ ให้ได้ยินในตัว Advan dB นี้
ด้านการซับแรง ก็ทำได้ ok ทีเดียว นั่งแล้วผ่านทางขรุขระไม่ถึงกับทำให้อึดอัดเวียนหัว แต่อย่างใด
ระบบเบรก ใน All New Civic นี้ มีเทคโนโลยีที่โดดเด่นเกินใคร ตั้งแต่ EPB (เบรกมือไฟฟ้า) และ Brake Hold
ซึ่งระบบนี้ จะช่วยให้คุณไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้เวลารถจอดหยุดนิ่ง (เหมาะสำหรับ คนที่ชอบเข้าเกียร์ D ค้างไว้เวลาจอดรถติด) และเมื่อคุณต้องการเคลื่อนตัวก็แค่เติมคันเร่งแล้วไปต่อได้เลย
ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อนี้ ก็ทำหน้าที่ชะลอได้ดีเหมือนในโฉม Sedan ระยะฟรีแป้นเบรกค่อนข้างน้อย แป้นเบรกดูหนืดเท้าเล็กน้อย แต่เมื่อเหยียบลงน้ำหนักยังไงก็รู้สึกว่าเอาอยู่ในระดับหนึ่ง การใช้งานทั่วไปถือว่าทำได้ดีไม่มีปัญหา
ด้านเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ให้มาครบครัน
– โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CONช่วยปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง
– กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ
– ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า Dual SRS, ถุงลมด้านข้างคู่หน้าแบบอัจฉริยะ i-Side Airbag และม่านถุงลมด้านข้าง Side Curtain Airbags
– เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง ปรับระดับสูง-ต่ำได้ และเข็มขัดนิรภัยด้านหลังแบบ 3จุด 3 ตำแหน่ง
– ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว (VSA), ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
– กุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย, ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
– สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
– ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake), ระบบ Auto Brake Hold
แต่มีของเล่นบางอย่างที่มีใน Turbo RS ได้ถูกตัดออกไป อาทิ Lane Watch เป็นต้น
สรุป Honda Civic Hatchback ใหม่ ถือได้ว่าเข้ามาเสริมตลาดของรถในกลุ่ม C-Segment ใหม่ ระดับพรีเมี่ยม เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ชื่นชอบสไตล์รถ 5 ประตู ที่มีรูปลักษณ์สปอร์ต หรูหราทันสมัย โดยเฉพาะเมื่อมองจากมุมท้ายด้วยแล้ว หล่อจนสมกับ Concept “เป็นรถที่ต้องตามมอง” ที่จริงแล้วผู้เขียนมองว่ามันน่าจะเป็นสไตล์ Fast Back เสียมากกว่า
ขณะที่ขุมพลัง VTEC Turbo การันตีได้จากที่เคยสัมผัสมาแล้วว่า เพียงพอกับการใช้งานในประเทศไทย และสมรรถนะการขับขี่ที่ทำได้ดี
ดังนั้นผู้ที่กำลังมองรถ Civic VTEC Turbo น่าจะให้ความสนใจในรุ่นของ Hatchback มากยิ่งขึ้น แต่ผู้ที่ต้องการจะออก 1.8 ก็น่าเสียดายที่ขณะนี้ ตัว Hatchback ได้มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
จุดเด่น
ข้อสังเกต
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai
ขอขอบคุณ Honda Automobiles สำหรับทริปทดสอบในครั้งนี้
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว Honda Civic Hatchback ใหม่ แรงสมขุมพลัง VTEC Turbo ท้ายหล่อ สมกับเป็น “รถที่ต้องตามมอง” "