
รีวิว Kawasaki Ninja 250SL สปอร์ต ร่างบาง ลายพิเศษ WSBK Edition
เมื่อปลายปี 2012 Kawasaki ได้ทำการเปิดตัวรถ Ninja 250 2 สูบเรียง โมเดลใหม่ เพื่อมาทดแทน Kawasaki Ninja 250 โฉมเก่า แต่ผ่านมายังไม่ถึงปี Kawasaki ก็ได้เปิดตัวรถ Ninja 300 ในเดือน ก.ค. 2013 โดยมาทำตลาดแทนที่ 2013 Ninja 250 ที่ Offline การจำหน่ายในประเทศไป
แต่แล้วเมื่อช่วงกลางปี 2014 Kawasaki Motors ประเทศไทย ได้ทำการเปิดตัว Kawasaki Ninja 250SL และ Z 250SL ABS รถมอเตอร์ไซค์คลาส 250cc ของค่ายที่มีราคาถูกที่สุดตั้งแต่เคยทำตลาดมา เพื่อมาตีตลาด Entry (Bigbike ในกลุ่มเริ่มต้น) แข่งขันในด้านราคากับรถพิกัด 250-300cc จากค่ายรถญี่ปุ่นอื่นๆ
ในวันนี้ทาง 9carthai เราได้มีโอกาสมาทดสอบรถ Kawasaki Ninja 250SL (WSBK Special Edition) ซึงเราจะขอนำเสนอเป็นออปชั่นทางเลือกให้แก่ผู้สนใจรถ Bigbike ในระดับเริ่มต้นกันครับ
หลายคนอาจสงสัยว่า SL ย่อมาจากอะไร บางคนก็คิดว่ามาจาก Single Cylinder แปลว่า เครื่องยนต์ 1 สูบ แต่ในความหมายที่แท้จริงของ Kawasaki คือ Super Light หมายถึง น้ำหนักที่เบามาก เจ้า 250SL ได้มีการออกแบบเฟรมใหม่ ที่เป็นโครงสร้างท่อเหล็ก High-Tensile รูปแบบเหล็กถัก ร่วมกับการได้เครื่องยนต์ 1 สูบ ทำให้บอดี้โดยรวมดู Slim ขึ้น สามารถลดน้ำหนักตัวลงไปได้ถึง 20 กก. เลยทีเดียว (Ninja 250SL หนัก 152 กก.) เรียกได้ว่าเบาเป็นรถในรูปโฉมสปอร์ตพิกัด 250cc ที่มีขนาดตัวเบาที่สุด ขณะที่ถังน้ำมันก็มีความจุลดลงด้วยจาก 17 ลิตร เหลือเพียง 11 ลิตร สำหรับความสูงเบาะจากเดิม 785 มม. ลดลงเหลือ 780 มม. ขณะที่ตัวล้อที่มีลวดลายเดียวกันกับ Ninja, Z 250, 300 แต่ในตัว 250SL นี้ จะแคบกว่าเล็กน้อย ส่งผลให้มีน้ำหนักล้อเบาลงอีกราว 0.45 กก.
Kawasaki Ninja 250SL ABS (WSBK Special Edition) มากับแฟริ่งแบบสปอร์ต, แฮนด์จับโช๊คที่มีองศาแคบ และเตี้ยมากกว่าเดิม (ใกล้เคียงรถ Supersport มากยิ่งขึ้น) ไฟหน้าปรับมาเป็นแบบโคมเดี่ยว ทำให้ด้านหน้ารถดูบางลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในคันที่เราได้มาทดสอบนี้เป็นลายพิเศษ WSBK Special Edition ที่ช่วยถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักแข่งรายการ World Superbike Championship ออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยม
หน้าปัดแบบดิจิตอล ขนาดเล็กที่ดูสวยงาม แสดงผลแบบพอเพียง Trip, Odometer, นาฬิกา และเกจ์น้ำมัน
มาต่อกันที่ท่านั่ง Kawasaki Ninja 250SL ABS นั้นได้ปรับรูปแบบแฮนด์ให้มีองศาที่แคบเข้าและเตี้ยลงรับกับตัวถัง Slim นี้มากยิ่งขึ้น ทำให้ท่านั่งนั้นดูเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ต้องหมอบลงมากกว่าเดิม ตอบโจทย์ผู้ชอบซิ่ง สายหมอบโดยแท้จริงเนื่องจากไม่ต้องงอบีบข้อศอกมากศอกก็จะเข้ารูปรับกับตัวถังน้ำมันอันบอบบางนี้ได้เป็นอย่างดี แต่เรากลับพบว่าด้วยตำแหน่งวางเท้านั้นที่ดูจะใกล้เคียงเดิมซึ่งตำแหน่งพักเท้าดูจะยังค่อนไปทาง Sport Touring ทำให้ท่านั่งยังดูแปลกๆ แม้จะบังคับให้ต้องหมอบก้มหลังลงกว่าเดิม ใกล้เคียง Supersport มากยิ่งขึ้นก็ตาม จนในวันแรก เล่นเอาผู้เขียนตะคริวเกือบกินไปเหมือนกัน เมื่อต้องวางตำแหน่งเท้าลงให้ถูกที่ถูกทาง จากความที่ยังไม่ชินท่านั่งในวันแรก จุดที่รู้สึกน่ารำคาญบ้างก็คือ แฟริ่งจะติดช่วงเข่า (ผู้เขียน สูง 174 ซม.) โดยเฉพาะเข่าขวาในจังหวะ แตะเบรกเท้ามักโดนเป็นประจำ ร่วมกับเท้าขวาที่เมื่อวางเท้าจิกจะพบว่าส้นเท้าจะติดกับการ์ดกันความร้อนท่อไอเสียอยู่เรื่อย โดยจุดที่น่าประทับใจ คือตำแหน่งแฮนด์แคบ และกระจกมองข้างที่สามารถพับได้ด้วยมือเดียว ทำให้เวลาขี่เจอรถติดสามารถพับกระจกมุดซอกแซกได้ทันที
เครื่องยนต์ 1 สูบ ความจุ 249cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งเป็นเครื่องบล๊อกเดียวที่อยู่ใน DTX (Dtracker X), KLX250 มีกำลัง 28 แรงม้า (PS)@9,700rpm แรงบิด 16.7 ปอนด์ฟุต (22.6Nm)@8,200rpm หากเทียบกับ (Ninja 250cc เครื่องยนต์ 2 สูบ ใหกำลัง 31.5 แรงม้า @11,000rpm แรงบิด 15.5 ปอนด์ฟุต @10,000rpm)
จะพบว่าแรงบิดที่มีมากกว่ามาที่รอบต่ำกว่า จึงช่วยให้อัตราเร่งช่วงต้นนั้นทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว ในขณะที่แรงม้าช่วงปลายนั้นดูด้อยกว่าเล็กน้อย แต่สำหรับการขี่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก ซึ่งต้องการแรงบิดในรอบต้นที่มากกว่านั้น มันทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม กระแทกคันเร่งออกตัวตั้งแต่เกียร์ 1 ก่อนไปสับเกียร์ที่ราว 10,000rpm ด้วยพื้นที่ยางหลังไซส์ 130 มม. ยังดูไม่มั่นคงเท่า ยาง 140 มม. ของ รุ่น 2 สูบ แต่ต้องยอมรับว่า อัตราเร่งนั้นทำได้ดีเยี่ยมทีเดียวในภาพรวม ของรถสูบเดี่ยว และมีน้ำหนักเบาเช่นนี้
จุดที่น่าประทับใจที่สุดเห็นจะเป็น ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ได้ออกแบบใหม่ ในส่วนฝาครอบพัดลมหม้อน้ำ ซึ่งจะเป่าไอร้อนจากเครื่องลงสู่พื้นล่าง ซึ่งทำให้เราแทบจะไม่สัมผัสได้ถึงไอร้อนบริเวณหน้าขาเลยแม้ พัดลมหม้อน้ำจะส่งเสียงวี้ดดังมากก็ตาม ซึ่งวันที่เราทดสอบมีแดดแรงแทบจะลม จับขณะถ่ายภาพ ปัญหาเรื่องความร้อนก็ไม่มีมาให้กวนใจแต่อย่างใด
แม้ว่าจากการทดสอบของผู้เขียนด้วย Ninja 250SL จะทำ Top Speed ได้ราว 160 กม./ชม. ที่รอบเครื่องราว 10,000rpm และการวิ่งในทิศทางที่ลมโต้กลับจะเหลืออยู่ราวๆ 155 กม./ชม.
ขณะที่อัตราสิ้นเปลือง (Ninja 250SL) พบว่าอยู่ที่ราว 26 กม./ลิตร จากการเติมน้ำมันและเซ็ททริปจริง (โดยผู้เขียนขี่ใช้งานทั้งในเมืองและรอบนอก โดยไม่ได้เน้นความประหยัดนัก) หากขี่ด้วยความเร็วคงที่เวลาเดินทางไกล เปิดคันเร่งออกด้วยความสมูทน่าจะทำตัวเลขแตะระดับ 30 กม./ชม. ได้ไม่ยาก
ระบบกันสะเทือน แกนโช้คหน้าขนาด 37 มม. แบบ Telescopic ธรรมดาๆ ด้านหลังแบบ Monoshock พร้อมแกนยึด Uni-Trak ซึ่งดูทรงของช่วงล่างแล้ว เซ็ทมาค่อนข้างลงตัวกับน้ำหนักของตัวรถที่เบา ให้อารมณ์สปอร์ตพอประมาณ แต่ก็มีความยืดหยุ่นของช่วงล่างจากแกน Unitrak ด้านหลัง และระยะ Travel ของโช้คอัพหน้า
แฮนด์จับโช้คใน Ninja 250SL ช่วยให้สรีระการขับขี่มั่นคงดียิ่งขึ้นขณะควบคุมที่ความเร็วสูง แม้เราจะรู้สึกว่าโช้คอัพคู่หน้าอาจจะนิ่มไปเล็กน้อยมีระยะยุบในการเคลื่อนตัวค่อนข้างมาก ในจังหวะที่มีการเบรกหนัก และที่ความเร็วสูงขึ้นไป
สำหรับการใช้งานในเมืองตามที่ได้กล่าวไป แฮนด์แคบและเตี้ย ช่วยให้ความคล่องตัวสูง แต่เวลาหักเลี้ยวในจังหวะตัดเลน หรือกลับรถวงแคบจะลำบากหน่อยเนื่องจากหักสุดข้อศอกจะติดกับแฟริ่ง
ขณะที่หน้ายางขนาด ยางหน้า 100 มม. ยางหลัง 130 มม. (เทียบกับ Ninja, Z 250 2 สูบ จะอยู่ที่ 110/140) ใช้ยาง Dunlop TT900 ซึ่งเป็นซีรีย์ที่โด่งดังในรถขนาดเล็ก
แต่สำหรับการใส่กับคลาส 250cc มันก็ทำได้ดีแม่แพ้ยาง IRC RX-01 ที่เป็นตัว OEM ของ Kawasaki 250 และ 300 เพียงแต่หน้ายางที่แคบลง 1 เบอร์ อาจส่งด้านความสวยงาม ร่วมกับพื้นที่แก้มยางที่น้อยลงอีกนิดในทางโค้ง
ระบบเบรก หน้าจานดิสก์เดี่ยวขนาด 290 มม. คาลิปเปอร์ 2 สูบ เบรกหลังจานดิสก์เดี่ยวขนาด 220 มม. คาลิปเปอร์ 2 สูบ พร้อมติดตั้งระบบ ABS
ความรู้สึกในการเบรกก็ทำได้ดีเช่นเดียวกันกับ พี่ๆ 2 สูบ 250, 300cc ที่ดูหนักแน่น และยิ่งรถที่น้ำหนักเบาลงช่วยให้การเบรกนั้นดูตอบสนองได้ดีขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ผู้เขียนก็ยังแอบรำคาญใจเล็กน้อยกับระบบ ABS ในตัวเล็กอย่าง 250cc แต่อย่างว่าระบบนี้จะช่วยได้มากในกรณีที่ฝนตกถนนลื่น และอีกอย่างมีไว้ดีกว่าไม่มีให้มา ในราคาเพียงเท่านี้ถือว่าออปชั่นให้มาไม่เบาทีเดียว
สรุป
รีวิว Kawasaki Ninja 250SL ถือเป็นรถ Entry Bike ที่น่าสนใจมาก เหมาะสมที่จะเป็นรถใช้งานคนเมืองที่ติดขัดอย่าง กทม.โดยแท้จริง เบา คล่องตัว ทอร์คดีพอประมาณ ควบคุมได้ง่ายไม่แพ้รถเล็ก พร้อมเบรก ABS เรียกได้ว่าคุ้มค่าไม่น้อยกับราคาแสนต้นๆ
เป็นรถที่ขี่สนุกมากที่สุดคันหนึ่ง หากไม่เน้นที่ความแรงมากนัก เอกลักษณ์ของ Ninja 250SL ที่แตกต่างจากพี่ๆ 2 สูบ คือ ท่านั่งที่ดูสปอร์ตโดยแท้จริง แต่ก็มีจุดที่ได้ติไปบ้างในเรื่องท่านั่งขี่ที่ไม่กระชับเท่าใดนัก หัวเข่าที่ติดแฟริ่ง และส้นเท้าที่ติดกับการ์ดกันความร้อน
เอาเป็นว่าแม้จะไม่แรงมากนัก แต่มันให้อารมณ์การขี่ที่สนุกไม่แพ้ คลาส 300cc ทั้งในค่ายและนอกค่ายเลยล่ะ
Kawasaki Ninja250SL ABS ราคา 123,000 บาท และ ลาย WSBK Special Edition ราคา 125,000 บาท
ขอขอบคุณ
Kawasaki Motors ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Kawasaki Ninja250SL ABS
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว Kawasaki Ninja 250SL สปอร์ต ร่างบาง ลายพิเศษ WSBK Edition "