รีวิว Mazda2 Skyactiv-D XD Sport High Plus แรง ประหยัด ขับสนุก ที่สุดใน Eco Car
เมื่อปลายปีที่แล้วทาง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ได้เปิดตัว Mazda2 ใหม่ ณ โรงงาน AAT ระยอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์คันแรกใน Eco Car เฟส 2
ซึ่งตัวผู้เขียนเองเคยได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถ Mazda2 Skyactiv-D ใหม่ ในรุ่น Hatchback 5 ประตู ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร Clean Diesel เป็นครั้งแรกในเมืองไทยกับรถยนต์ B-Car ณ สนามโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งในวันนี้ทาง 9carthai ของเราจะขอมารีวิวสมรรถนะการใช้งานจริงบนถนนกันดูบ้าง ว่าจะดีสมราคาค่าตัวที่แพงที่สุดใน Eco Car หรือไม่กับ Mazda2 Skyactiv-D XD Sport High Plus สีขาวมุก SnowFlex ราคา 7.9 แสนบาทคันนี้
ดีไซน์ภายนอก Mazda2 Skyactiv ใหม่นี้ ยังคงเดินตามรอย KODO Design ทั้งเส้นสายไฟหน้า, ไฟท้าย, กระจังหน้า
สำหรับ Mazda2 Skyactiv รุ่นที่จำหน่ายในประเทศ จะยังคงใช้ไฟหน้ามัลติรีเฟล็กเตอร์แบบฮาโลเจน ได้ถ่ายทอดแรงบรรดาลใจมาจากเสือชีต้าร์ ซึ่งเราคาดว่าหากผู้สนใจอยากได้แบบโปรเจ็คเตอร์เหมือนตัวขายที่ต่างประเทศ อาจต้องรอล๊อต Minorchanged
กระจังหน้ารูปทรง 5 เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของ KODO Design นี้ ได้ใส่ลูกเล่นแถบคาดกลางที่หุ้มลายเคฟล่า มอบความสปอร์ตดุดันมากยิ่งขึ้น
โดยในล๊อตจำหน่ายนี้ยังสวมล้ออัลลอยขอบ 16” รัดยาง Dunlop Enasave EC300+
ในคันที่เราได้มาทดสอบนี้เป็นโฉม Hatchback 5 ประตู ซึ่งหากมองไกลๆ ดูแบบเผินๆแล้วมิติรถจะดูใกล้เคียงกับโฉมเก่า รวมถึงรูปลักษณ์ทางด้านท้ายที่ดูจะไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมีความกว้างxยาวxสูง = 1,695x 4,060×1,500 มม. มีระยะฐานล้อ 2,570 มม. มีถังน้ำมันจุ 44 ลิตร มีน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,129 กก.
ภายในห้องโดยสาร เมื่อเปิดประตูห้องโดยสารด้วยระบบ Keyless เข้ามาจะพบห้องโดยสารที่ให้ความสปอร์ตและทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยได้ถ่ายทอดกลิ่นอายมาจาก Mazda3 Skyactiv ใหม่ ทั้งในด้านการดีไซน์ และออปชั่นต่างๆ
เริ่มตั้งแต่ใช้โทนสีดำในการตกแต่งพร้อม trim เคฟล่า ร่วมกับการออกแบบที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางทำให้ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์การใช้งานเป็นไปอย่างเหมาะสม
เบาะหนังผสมผ้าซึ่งมีลายปักสีแดงพาดกลาง พร้อมเดินด้ายแดงช่วยเพิ่มความสปอร์ต,
ปุ่ม Pushstart, เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ, หน้าจอ Center Display ที่รับคำสั่งผ่านแป้นสวิทช์ตรงกลาง Center Commander ช่วยให้การใช้งานเป็นไปด้วยความสะดวก โดยรองรับระบบ Infotainment สามารถเล่น CD/MP3 รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมปุ่มรับ-วางบนพวงมาลัย ช่องเสียบ USB 2 Slot, AUX in, SD Card สำหรับติดตั้งระบบนำทางเพิ่มเติม โดยจะถ่ายทอดกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 ตัว
นอกจากนี้ยังมีปุ่ม DSC, i-Stop ฝังมาให้ที่แผงคอนโซลหน้าทางด้านความมือของพวงมาลัย (สเป็กส่งออกจะมีปุ่มฟังก์ชั่น Blind Spot ด้วย) ขณะที่ Cockpit ผู้ขับใช้พวงมาลัย 3 ก้านแบบสปอร์ตที่ตกแต่งด้วยแถบเคฟล่า และTrim Metallic มาพร้อมสวิทช์ทางฝั่งซ้ายในการควบคุมเครื่องเสียง (ซึ่งสามารถสั่งงานผ่าน Center Commander ได้เช่นกัน) ขณะที่ด้านบนมาตรวัด จะมีจอ Active Driving Display สำหรับบอกความเร็วเป็นตัวเลขดิจิตัล ขณะที่มาตรวัดจะเป็นรูปแบบเช่นเดียวกับ Mazda3 แต่จะแตกต่างกันตรงที่ Skyactiv-D รอบเครื่องยนต์จะต่ำกว่าเนื่องจากเป็นเครื่องดีเซล
เบาะด้านหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 พร้อมถาดรองวางของที่ห้องเก็บสัมภาระท้าย
จากการลองนั่งขับใช้งานเราพบว่า Mazda2 ยังคงออกแบบห้องโดยสารที่เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ได้ดี ทั้งปุ่มการใช้งานต่างๆ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พร้อมเบาะรูปลักษณ์สปอร์ตที่โอบกระชับลำตัว ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างสบายไม่เมื่อยล้าเมื่อต้องขับขี่เดินทางไกล
แต่ต้องยอมรับเรื่องของพื้นที่โดยสารตอนหลังที่ค่อนข้างแคบตามสไตล์ของ Mazda
และอีกจุดที่ประทับใจ ก็คือแป้นคันเร่งแบบยึดที่พื้น ในแบบฉบับรถยุโรป ซึ่งช่วยให้การกดเติมคันเร่งดูจะตอบสนองได้ดีกว่าแบบยึดทางด้านบน
ขุมพลังเครื่องยนต์ Skyactiv-D 1.5 ลิตร เป็นเครื่องยนต์ Clean Diesel ที่จับคู่กับเกียร์ Skyactiv-Drive 6 Speed
มอบกำลัง 105 แรงม้า (PS)@4,000rpm และแรงบิดที่มากกว่าใครถึง 250Nm@1,500-2,500rpm ซึ่งแรงบิดสูงในระดับรถยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรเลยก็ว่าได้
ในการขับขี่นั้น ด้วยสไตล์ของคันเร่งแบบ Drive by Wire จะพบว่า ยังมีอาการหน่วงในจังหวะเหยียบคันเร่งอยู่เล็กน้อย การออกตัวทำได้ดีตามแบบฉบับรถดีเซล ทอร์คหนัก ออกตัวกดคันเร่งมิด อาจมีได้ยินเสียงเอี๊ยด หากคุณปิดระบบ DSC
แรงบิดมีมาให้ใช้อย่างเพียงพอตั้งแต่รอบต่ำ เมื่อเหยียบคันเร่งมิดเครื่องยนต์จะลากรอบขึ้นไปสูงถึงราว 4,000rpm ก่อนที่จะเปลี่ยนขึ้นเกียร์ให้ ซึ่งจะได้รับอารมณ์เร้าใจแบบเล็กๆ แต่เนื่องจากเป็นเกียร์ Skyactiv-Drive ที่ตอบสนองได้อย่างไหลลื่น และต่อเนื่องจึงทำให้ไม่สัมผัสถึงแรงกระชากหนักๆ แบบเกียร์อัตโนมัติลูกอื่นๆ
การขับขี่ใช้งานทั้งในเมือง อัตราเร่งทำได้ดีในระดับรถยนต์ Compact พิกัด 2.0 ลิตร ขณะที่การเดินทางไกล ก็ทำได้ดี ช่วงความเร็วในระดับ 140 กม/ชม. ขึ้นไปยังพอไหลได้อย่างต่อเนื่อง จนเริ่มจะมาแผ่วที่ตีนปลาย ตามสไตล์รถดีเซล ที่มีความเร็วปลายอยู่ในระดับราว 180 กม./ชม. + เล็กน้อย
นอกจากนี้ยังสามารถเล่นโหมด Manual ที่เปลี่ยนเกียร์เองได้โดยโยกคันเกียร์ + – ซึ่งเราพบว่า การตอบสนองในการเปลี่ยนเกียร์ถือว่าทำได้ค่อนข้างเร็ว และสมูทต่อเนื่อง การเปลี่ยนเกียร์เองในช่วงที่แรงบิดสูงสุดออกมาในช่วง 2,000-2,500rpm จะช่วยให้รถรีดทอร์คในการออกตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเราลากเกียร์จนเกินกว่า 4,000rpm ขึ้นไปจะทำให้รถมีอาการตื้อจากรอบเครื่องยนต์ ซึ่งนั่นจำเป็นต้อง Shift เกียร์ขึ้นโดยโยกคันเกียร์ นอกจากนี้การขึ้นเกียร์เร็วเกินไป (รอบเครื่องยนต์ต่ำเกิน) ที่ราวก่อน 2,000rpm เกียร์จะไม่ยอมตัดขึ้นให้อีก ซึ่งน่าจะดีกว่านี้ถ้าการตอบสนองของตำแหน่งเกียร์ทำได้อย่างอิสระมากกว่านี้
ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองนั้น ก็ทำได้ดีเช่นกัน น้ำมันยังเหลือเกินครึ่งถังเมื่อขับไปได้ถึง 400 กม. ซึ่งแน่นอนว่าน้ำมัน 1 ถัง หากขับเดินทางไกลจริง โดยที่ขับแบบเหยียบๆ ไม่ต้องคิดเรื่องประหยัด จะสามารถทำได้อย่าง 800 กม. โดยสบายๆ ซึ่งหากเทียบแล้ว อัตราสิ้นเปลืองจะทำได้ที่มากกว่า 18 กม./ลิตร แม้เราจะขับขี่ด้วยความเร็วก็ตาม
(อัตราสิ้นเปลืองตามเคลม 26.3 กม./ลิตร) ซึ่งต้องยกคุณงามความดีให้ระบบ i-Stop ซึ่งมันทำงานได้อย่างชาญฉลาด มีการจับจังหวะในช่วงรถติด และรถกำลังเคลื่อนตัวได้ดี จึงช่วยให้อัตราสิ้นเปลืองนั้นทำได้ดียิ่งขึ้นกว่ารถที่ไม่มีระบบ i-Stop ด้วย
ด้านการควบคุมผ่านพวงมาลัยที่ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ของ Mazda ให้การตอบสนองที่เป็นธรรมชาติ ผ่อนแรงได้เบาที่ความเร็วต่ำ ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ว่องไว ด้วยรัศมีวงเลี้ยว 4.9 ม. (ล้ออัลลอยขอบ 16”) ช่วยให้มันเป็นรถที่คล่องตัว ในเมืองเป็นอย่างสูง ขณะที่การขับที่ความเร็วสูงยังให้ความมั่นใจได้จากระยะฟรีต่ำ และความแน่นมั่นคงของพวงมาลัย ถือได้ว่าเป็นรถ Eco Car ที่มี Handling พวงมาลัยที่ดีเยี่ยมที่สุด ในขณะที่รถ B-Car มันทำได้fuในมาตรฐานไล่เลี่ยกับ Ford Fiesta แต่ Fiesta
ระบบช่วงล่าง ทางด้านหน้า เป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม คอยสปริง ซึ่งได้มีการแยกโช้คอัพออกมาจากคอยสปริง ซึ่งช่วยเพิ่มความนุ่มนวล และซับแรงได้ดีขึ้น
การยึดเกาะถนน ของ Mazda ที่ขึ้นชื่อนั้น ใน Mazda2 Skyactiv คันนี้ ถือได้ว่าน่าประทับใจยิ่งกว่าเดิม ช่วงล่างที่แน่นเฟิร์ม แต่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ทำให้การเข้าโค้งยังขับได้อย่างสนุกสนาน ทรงช่วงล่างดีขึ้นกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ดีการเข้าโค้งหนักๆ ด้วยความเร็วที่สูงเกินไป ก็อาจเจออาการ Understeer เอาได้ ด้วยระยะฐานล้อที่สั้น และยาง Eco Series ที่เน้นด้านอัตราสิ้นเปลือง อาจทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะไม่ดีมากนัก
แต่อย่างไรก็จุดที่น่าประทับใจของช่วงล่างนี้ คือ ขณะที่ขับผ่านรอยต่อถนน หรือ พื้นผิวขรุขระ ที่ต้องเคยขยาด ได้หายไป เพราะมันซับแรงได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนแม้ในรุ่นท๊อป Sport High Plus ที่สวมล้อ 16” คันนี้
สำหรับระบบห้ามล้อ เบรกแบบดิสก์ด้านหน้า และด้านหลังแบบดิสก์เบรก ในรุ่น XD High และ XD High Plus
การเซ็ทแป้นเบรกทำได้ดี เบรกไม่ตื้นไม่ลึก ช่วยให้การลงน้ำหนักเบรกอย่างนุ่มนวลทำได้ไม่ยากเย็น การตอบสนองของแป้นเบรกก็ทำได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่หากขับมาด้วยความเร็วอยากให้การเซ็ทแป้นเบรกตอบสนองได้ฉับไวกว่านี้อีกสักนิด แต่จุดที่น่าประทับใจมาก นั่นก็คือ Brake Balance ที่พบว่า Mazda2 Skyactiv ใหม่นี้ มันทำได้ดีมาก
แม้การเบรกรถในช่วงทางโค้ง ที่อาจต้องใช้ความระมัดระวัง แต่ Chassis ตัวถังของ Mazda2 นี้ยังคงไม่มีการส่ายใดๆ ออกมาให้เห็น เบรกได้อย่างมั่นคง และไว้ใจได้ดีแบบไร้ที่ติ
ขณะที่เทคโนโลยีความปลอดภัย มีให้ทั้งระบบเบรก ABS, EBD, DSC (Dynamic Stability Control) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, HLA (Hill Launch Start) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, TCS (Traction Control System) ระบบป้องกันล้อลื่นไถล ซึ่งเรียกได้ว่าเทียบชั้นได้เท่ากับรถ Compact Car หลายรุ่นด้วยซ้ำ
สรุป
Mazda2 Skyaciv-D ที่ถือเป็นรถในกลุ่ม B-Car ที่ได้ผ่านเกณฑ์รถ Eco Car เฟส2 เป็นคันแรกในประเทศไทย จากทั้งมาตรฐานไอเสียและอัตราสิ้นเปลืองสุดเข้มงวด หากคุณมองภาพลักษณ์ Eco Car ราคาประหยัด เราขอให้คุณมองข้าม Mazda2 ใหม่นี้ไปซะ เพราะมันมากับราคาในระดับรถ B-Car แต่พ่วงความประหยัดและความสะอาดของไอเสีย จนได้ชื่อ Eco Car เข้ามาด้วย
ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูสปอร์ต และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพียบพร้อม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยให้ภาพรวมการขับขี่ที่เกินมาตรฐานทั้ง Eco Car และ B-Car คันอื่นๆด้วยซ้ำ เราจึงอยากจะให้ทุกคนเข้าใจภาพก่อนว่า Mazda2 Skyactiv ใหม่ เป็นรถ B-Car สมรรถนะสูง เปี่ยมด้วยความแรงและความประหยัด พร้อมลูกเล่นออปชั่นที่น่าสนใจมากมาย
หากเทียบราคาแล้ว เราต้องขอให้คุณไปมองเทียบกับรถยนต์ B-Car ด้วยกัน ซึ่งคุณอาจต้องลองสัมผัสกับทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง และคุณจะได้คำตอบว่ามันคุ้มค่าราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่
สำหรับราคา Mazda2 Skyactiv Hatchback มีรุ่นทั้งหมดดังนี้
1.3 Sports Standard 5.5 แสนบาท
1.3 Sports High 6.1 แสนบาท
1.3 Sports High Plus 6.65 แสนบาท
XD Sports 6.75 แสนบาท
XD Sports High 7.35 แสนบาท
XD Sports High Plus 7.9 แสนบาท
*หมายเหตุรุ่น Sedan จะมีรุ่นและราคาจำหน่ายเท่ากัน โดยจะตัดชื่อ Sports ออก
ขอขอบคุณ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย
สำหรับรถ Mazda2 Skyactiv-D XD Sport High Plus สีขาวมุกคันนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
รับจองรถ มาสด้า ทุกรุ่น พร้อมข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้ามาสด้า ยินดีพร้อมให้คำปรึกษาในการจัดไฟแนนซ์ สูุ้ทุกคันดันทุกเคส สนใจรถใหม่ป้ายแดง มาสด้า ติดต่อ (เอส) 061-835-2555
ไอดี LINE : Sziie #ขอบพระคุณครับ