
รีวิว Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic ซาลูน หล่อ หรู ทรงพลัง
เมื่อช่วงเดือน มีค. 2015 ที่ผ่านมา ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถใหม่ประกอบในประเทศไทย Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid ณ โรงงานธนบุรีประกอบยนต์ ซึ่ง C300 นับได้ว่าเป็นรถ Mercedes-Benz เครื่องยนต์ดีเซลไฮบริดรุ่นแรกที่ประกอบและจำหน่ายในประเทศด้วย โดยในรุ่น Saloon 4 ประตู จะมี 2 รุ่น ได้แก่ Exclusive เริ่มต้นที่ราคา 2.84 ล้านบาท และรุ่น AMG Dynamic ราคา 3.09 ล้านบาทเป็นคันที่เราได้มีโอกาสมาทดสอบรีวิวกันในครั้งนี้
เริ่มต้นที่ภายนอก Mercedes-Benz C300 ใหม่ ถือได้ว่าเป็นการถอดแบบรูปทรงมาจาก New S-Class ทั้งรูปทรงตัวถัง ไฟหน้า-ไฟท้าย
ซึ่ง C300 Bluetech Hybrid นี้มากับฟังก์ชั่นที่หรูหราอัดแน่นมากมาย ทั้ง ไฟหน้า LED พร้อมระบบ Intelligent Light System ที่มีไฟ DRL ในตัวแบบ Fibre-Optic และยังมาพร้อมระบบ ALS (ไฟหน้าเลี้ยวตามองศาพวงมาลัย), Cornering Light ระบบเพิ่มความสว่างขณะเลี้ยวโค้ง, Adaptive Highbeam Assist ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ที่ให้ความปลอดภัยแบบจัดเต็ม
ขณะที่ไฟเบรก และไฟท้ายก็ใช้แบบ LED เช่นเดียวกัน
ที่มือจับประตู มีปุ่มที่ใช้ระบบสัมผัส ทำงานกับระบบกุญแจ Keyless-Go ใช้งานง่ายสะดวกสบาย
ในรุ่น AMG Dynamic นี้ให้หลังคา Panoramic Sunroof ที่เปิดได้กว้าง โดยตัวหลังคาเป็นสีดำ ตัดกับสีบอดี้ขาว ได้อย่างลงตัว และมาพร้อมชุดแต่ง AMG BodyStyle รอบคัน, ล้อ AMG 5 ก้าน ขอบ 18” สวมยาง Runflat ไซส์ 225/45/18 ด้านหน้า และ 245/40/18 ด้านหลัง จาก Bridgestone Potenza S001
ด้านมิติตัวถัง C300 มีความกว้างxยาวxสูง = 1,810×4,686x,1442 มม.
ระยะฐานล้อ 2,840 มม. มีน้ำหนักตัว 1,715 กก. ความจุถังน้ำมันที่ 50 ลิตร
สำหรับภายใน ของรุ่น AMG Dynamic คันนี้มีออปชั่นให้เลือก เบาะหนังสีดำ และสีแดง Cranberry Red ในคันนี้ โดยใช้ Trim ลายไม้ Black Ash Wood ตกแต่งด้วยขอบอลูมีเนียม ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์อันดุดันร้อนแรงให้กับ AMG Dynamic คันนี้
นอกจากนี้ตัว AMG Dynamic ยังให้แป้นเบรกและแป้นคันเร่งแบบสปอร์ต รวมไปถึงพวงมาลัยทรงสปอร์ตท้ายตัด มีปุ่ม Multifunction ที่ใช้ควบคุมหน้าจอแสดงผลตรงแดชบอร์ด และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและระบบเชื่อมต่อ Bluetooth ขณที่ก้าน Cruise Control และ Speed Limit จะอยู่ด้านหลังพวงมาลัยฝั่งซ้ายล่าง นอกจากนี้ยังมีก้าน Paddle Shift เอาไว้ควบคุมเกียร์แบบ Manual หลังพวงมาลัย
ที่แผงคอนโซลกลางมีปุ่ม Controller และ Touchpad ซึ่งให้คุณเลือกใช้งานตามสะดวกว่าจะใช้ระบบ Touchpad หรือ Controller
ในการควบคุมหน้าจอแสดงผล Freestand ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ A-Class ดูรุปทรงจะไม่ค่อยเข้ากับภายในของ C300 ที่ดูหรูสักเท่าไร โดยจอ FreeStand นี้จะแสดงผลตั้งแต่ระบบเครื่องเสียง, การเชื่อมต่อ, ระบบนำทางจาก Garmin, แสดงผลการเซ็ทค่าต่างๆ อย่างครบถ้วน
หากพินิจมองที่แผงควบคุม Controller ส่วนนี้ จะพบว่ามันได้แชร์ชิ้นส่วนมาจากรถพวงมาลัยซ้าย สังเกตุได้จากปุ่ม Agility (Driving Mode 4 รูปแบบ) ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือของปุ่ม Controller ขณะที่ปุ่ม Vol กลับอยู่ทางฝั่งขวามือ (ผู้ขับ)
น่าเสียดายเล็กน้อยที่ตัว AMG Dynamic คันนี้ ไม่มี Air Balance เอาไว้ให้ปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสารแบบเช่นตัว Exclusive
มองถัดขึ้นมาที่คอนโซลด้านหน้า จะพบช่องแอร์ 3 ช่องทรงกลม แบบอากาศยาน และปุ่มสวิทช์ต่างๆ ที่ใช้งานง่ายดูไม่ยุ่งมาก เพียงดันขึ้น-ลง ดีไซน์ได้รับแรงบรรดาลใจมาจากอากาศยานเช่นกัน หรูหรามีระดับ ต่ำลงมาอีกนิดจะพบกับหน้าปัดนาฬิกาทรงกลมให้ความโมเดิร์นลงตัว
ถัดมาที่ช่องเท้าแขน สามารถกดเปิด เป็นที่เก็บของโดยมีช่องเชื่อม USB 2 Slot และ SD Card
บริเวณแผงประตูทั้ง 4 บาน ได้ติดตั้งลำโพง Burnester มอบคุณภาพเสียงแบบ Surround และยังมีความสุนทรีย์ที่ถูกสร้างขึ้นได้ด้วยสี จากไฟเรืองแสง Ambient Light รอบห้องโดยสารถึง 3 สี ช่วยมอบอารมณ์ผ่อนคลายให้กับห้องโดยสารสุดหรูคันนี้ได้ดูยิ่งขึ้น
ขณะที่ผู้โดยสารตอนหลังก็ไม่ต้องพะวงกับอากาศที่ร้อน เนื่องจากมีม่านบังแดดหลังไฟฟ้า และแอร์ตอนหลังติดตั้งมาให้
สำหรับท่านั่งในตำแหน่งผู้ขับ จะพบว่าเบาะที่มี Memory Seat 3 ค่า พร้อมปรับตำแหน่งพวงมาลัย และกระจกข้างให้อัตโนมัติ นอกจากนี้เบาะนั้นยังมีตัว Support ต้นขาให้ปรับเพิ่มได้อีกด้วย ซึ่งช่วยให้การขับเดินทางไกล ไม่เมื่อยอีกต่อไป ในส่วนของเบาะนั่งถือว่ากระชับลำตัวเป็นอย่างดี แม้ปีกเบาะจะไม่โอบแบบรูปทรงสปอร์ตนัก แต่ก็ถือว่ามันนั่งได้ไม่อึดอัด สำหรับพื้นที่ความสูง Headroom 1,039 มม. นั้นดูจะน้อยไปนิด ซึ่งหากผู้ขับที่มีส่วนสูงอาจจะอึดอัดเล็กน้อย การที่เสา A ค่อนข้าง Slope เอียง ทำให้กระจกบานหน้าดูใกล้ชิดกับผู้โดยสารตอนหน้าไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ที่มันช่วยให้วิสัยทัศน์ทางด้านข้างขวานั้นไม่ถูกบดบังมาก เนื่องจากเสา A นั้นไม่อยู่ในตำแหน่งที่บังมุมในการมองเห็นขณะเลี้ยวขวา
ไปที่ห้องสัมภาระท้ายเมื่อเปิดฝากระโปรงหลังขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า จะพบพื้นที่เก็บสัมภาระ 435 ลิตร (480 ลิตร รุ่น C200) เนื่องจากสูญเสียพื้นที่ไปเล็กน้อยจากแบตเตอรี่ที่ถูกฝังอยู่ภายใต้เบาะหลัง
เครื่องยนต์ลูกผสม Bluetech Hybrid คือ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ ความจุ 2,143cc ให้กำลังรวม 204 แรงม้า@3,800rpm และ แรงบิด 500 Nm@1,600-1,800rpm จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีกำลัง 27 แรงม้า และ แรงบิด 250Nm เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.4 วินาที และ Top Speed 244 กม./ชม. คายไอเสียเพียง 94 – 104 กรัม/กม.
ในด้านของประสิทธิภาพในการขับขี่ เราต้องขอบอกเลยว่ามันทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก จะว่าไปมันเป็นรถเครื่องดีเซลที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนเคยสัมผัสมาเลยก็ว่าได้ อัตราเร่งจากแรงบิดที่รอบต่ำเพียง 1,500rpm มีให้ใช้อย่างมหาศาล ช่วยให้รถเร่งแซงพุ่งทะยานได้ในเสี้ยวอึดใจ แม้นิสัยใจคอรถดีเซลต้นดีปลายย้วย ความเร็วช่วงปลายที่รอบสูงอาจไม่หวือหวาแบบรถเบนซิน แต่ทว่า C300 Bluetech Hybrid คันนี้ สามารถส่งคุณทะยานความเร็วไปที่ Top Speed ตามเคลม (240 กม./ชม.+) ได้ไม่ยากหากถนนมีเพียงพอ ยิ่งผสานการทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7G-Tronic Plus ซึ่งได้พัฒนาไปอีกขั้นจาก 7G-Tronic มันถ่ายทอดกำลังได้อย่างเต็มเปี่ยม แต่ยังมอบความนุ่มนวล และความรวดเร็ว ในการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งมันดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การเปลี่ยนเกียร์สมูท เงียบ ราบเรียบแทบไม่สัมผัสถึงรอยต่อ ไม่ว่าคุณจะเหยียบคันเร่งหนักแค่ไหนก็ตาม ซึ่งจะว่าไปมันทำได้ดีกว่าเกียร์ 8AT ในรถยุโรประดับเดียวกันอีก 2 ค่ายด้วยซ้ำ
โหมดการขับขี่ Agility ที่ควบคุมการตอบสนองของคันเร่งจาก ECU มีทั้งหมด 4 โหมด Comfort, Eco, Sport, Sport+ ซึ่งมันปรับได้ลำบากนิดจากการที่มันดันไปอยู่ฝั่งผู้โดยสาร ตามที่เราได้กล่าวไปข้างต้น
– Eco คันเร่งจะค่อนข้างหน่วงตอบสนองช้า และลดการทำงานของระบบปรับอากาศลง และ ระบบ Auto/Start Stop จะทำงานขณะจอดรถติด
– Comfort จะเซ็ทการตอบสนองของคันเร่งกลางๆ และ Climate มาในแบบสบายๆ สำหรับความสบายเป็นหลัก ขณะที่ระบบช่วงล่างจะปรับความนุ่มนวลเพื่อความนิ่มนั่งสบาย
– Sport การตอบสนองของพวงมาลัยจะแม่นยำขึ้น, ช่วงล่างเฟิร์มขึ้น และคันเร่งที่ตอบสนองฉับไว
– Sport+ ทั้งพวงมาลัย, แชสซีส์ และระบบขับเคลื่อน จะตอบสนองได้อย่างเร้าใจมากขึ้นกว่า Sport Mode
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีข้อกังขาใดๆ ในด้านสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนของ C300 Bluetech Hybrid คันนี้ ที่ทำได้ดีเยี่ยม
มาว่ากันต่อที่อัตราสิ้นเปลือง Mercedes เคลมค่าเฉลี่ยไว้ที่ 25-27.7 กม./ลิตร แต่เราพบว่าอัตราสิ้นเปลืองจากการใช้งานตามสภาพความเป็นจริงจะอยู่ที่ราว 17 กม./ลิตร ซึ่งที่จริงมันน่าจะทำได้ดีกว่านี้อีก โดยการขับขี่ผู้เขียนใช้โหมด Eco เป็นหลัก มีใช้โหมด Sport ในการเร่งแซงบ้าง กับ Sport+ ในบางครั้งที่ลองทำความเร็วสูงอีกเล็กน้อย ปะปนกับช่วงรถติดบ้างอีกเล็กน้อย
สิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้คือการทำงานของระบบ Hybrid ที่ยังไม่ได้พูด แม้รถจะมีระบบ Auto/Start Stop ซึ่งจะทำงานอัตโนมัติ ร่วมกับโหมด E-Drive คือเครื่องยนต์ดับวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว มันเริ่มตั้งแต่การสตาร์ทรถโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงเท่านั้น (เมื่อแบตเตอรี่มีประจุเหลือเพียงพอ) แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถเลือกปรับโหมดการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV) เพียงอย่างเดียวได้ เพราะระบบจะคำนวนใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนหลักๆ ในช่วงเพิ่งสตาร์ทรถ และขับเคลื่อนที่รอบต่ำเท่านั้น นอกจากนั้นการทำงานอของเครื่องยนต์จะเข้ามาสอดแทรกร่วมด้วยตลอด
แม้ในจังหวะที่เบรก หรือ ทำการถอนคันเร่ง มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็น Generator แปลงพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นกลับไปชาร์จเป็นประจุเก็บไว้ในแบตเตอรี่ Li-ion เมื่อรถเริ่มลอยลำที่ความเร็วระดับหนึ่ง และค่อยๆลดความเร็วลง เครื่องยนต์จะมีจังหวะที่หยุดการทำงานไปชั่วขณะ มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะช่วยส่งกำลังเพื่อให้รถสามารถเคลื่อนตัวต่อได้ระยะหนึ่ง แต่เมื่อเติมคันเร่งต่อไปอีกนิด หรือ ประจุแบตเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงานอีก ซึ่งจะว่าไปแล้ว นั่นคือการทำงานของเครื่องยนต์และ มอเตอร์ไฟฟ้าที่สอดผสานคอยช่วยเหลือกัน ไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวต่อเนื่องได้อย่างรถที่มีระบบ EV ที่สามารถวิ่งจิรงได้ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. + ชั่วระยะเวลาหนึ่งที่มีแบตเตอรี่
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัย 3 ก้าน ท้ายตัดทรงสปอร์ตผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า และน้ำหนักถูกปรับตามความเร็วรถ
มันสามารถเซ็ทน้ำหนักของพวงมาลัยได้ 2 แบบ Sport และ Comfort ซึ่งผู้เขียนได้เซ็ทน้ำหนักของพวงมาลัยไว้ที่แบบ Sport จะพบว่าในช่วงความเร็วต่ำการสาวพวงมาลัยนั้นถือว่าผ่อนแรงได้ระดับหนึ่ง แม้ไม่เบาหว๋องชนิดไร้น้ำหนัก แต่ก็ยังพอให้ความกระฉับกระเฉงได้ดี (หากต้องการเน้นความเบาคงต้องปรับไปที่ Comfort) การเคลื่อนตัวที่ความเร็วสูงขึ้นพวงมาลัยให้ความหนักแน่นเพิ่มตามความเร็วที่มากขึ้น โดยมีระยะช่วงฟรีของพวงมาลัยเพียงเล็กน้อย นั่นจึงทำให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงพวงมาลัยยังคงให้ความหนักแน่นได้เป็นอย่างดี การเลี้ยวโค้งให้น้ำหนักแรงต้านมือในระดับที่ดีไม่หนักเหมือนรถสปอร์ตอื่นๆ แต่ก็ไม่เบาจนคุมรถลำบาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นน้ำหนักพวงมาลัยที่ดีเยี่ยม เหมาะสมกับการขับขี่อย่างแท้จริง
ระบบกันสะเทือน แบบอิสระ 4 ล้อ ในรุ่น AMG Dynamic คันนี้ ใช้ช่วงล่างแบบสปอร์ตที่เตี้ยลง ต้องเรียกได้ว่าปรับเซ็ทมาได้อย่างเหมาะเจาะ กับรูปลักษณ์รถสปอร์ต และการขับในรูปแบบที่เน้นสมรรถนะให้สมกับชื่อ AMG
ช่วงล่าง แม้อาจถูกมองว่าแข็งไปหน่อย สำหรับคุณผู้ใหญ่ หรือผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมีผลมาจากล้ออัลลอยขอบ 18” ที่มีแก้มยาง 45 มม. ทางด้านหน้า และ ด้านหลังเหลือเพียง 40 มม. แต่ในด้านการซับแรงมันยังทำหน้าที่ได้ดี ช่วงล่างที่ดูหนักแน่นตามสไตล์ Mercedes ที่ไม่นุ่มจนย้วย มันลงตัวมากทีเดียว การตอบสนองไปพร้อมกับระบบบังคับเลี้ยวที่ให้ความสมดุลย์ ช่วยให้รถ C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic คันนี้เป็นรถที่มีแชสซีส์ และการตอบสนองของพวงมาลัยที่ขับได้สนุกมากที่สุดของรถ Hybrid ที่ผู้เขียนได้เคยทดสอบมากเลยก็ว่าได้
ระบบเบรก แบบดิสก์ 4 ล้อ คาลิปเปอร์ขนาดใหญ่ มีคำว่า Mercedes-Benz สกรีนอยู่บนตัวคาลิปเปอร์ พร้อมระบบ ABS ที่มาพร้อมระบบช่วยเบรก BAS, Adaptive Brake ไม่พอแค่นั้น ยังมีฟังก์ชั่น HOLD และ Hill Start Assist ที่ช่วยในการล๊อกเบรกบนทางลาดชันช่วยไม่ให้รถไหลขณะออกตัวอีกด้วย
การใช้งานนั้นถือว่าเป็นเบรกของรถ Hybrid สมรรถนะสูงที่ทรงประสิทธิภาพ ในการหยุดชะลอรถได้อย่างดีเยี่ยม อาการเบรกหน่วง เบรกเฟด ที่มักชอบพบในรถ Hybrid ไม่ว่าคุณจะเบรก ด้วยความความนุ่มนวล หรือหนักหน่วง คาลิปเปอร์เบรกขนาดใหญ่ของ C300 คันนี้ ก็สามารถจัดการกับฝูงม้า 204 ตัว และแรงบิดขนานใหญ่ 500Nm ได้แบบสบายๆ ไร้กังวล
ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัย ทั้งกล้องมองภาพด้านหลัง ถุงลมนิรภัยทั้งสิ้นถึง 8 ตำแหน่ง, ระบบ Pre Safe, ระบบควบคุมการทรงตัว ESP, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR, ระบบช่วยเตือนการเหนื่อยล้า Attention Assist, เซ็นเซอร์ Parktronic
บทสรุป รีวิว Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic คันนี้ ถือเป็นรถ Compact Saloon ที่มาพร้อมความหรูหรา มีระดับทั้งภายนอก, ภายใน ที่ให้เทคโนโลยีครบครัน เครื่องยนต์ดีเซลที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดได้อย่างทรงพลัง ประสิทธิภาพของทั้งระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อน แชสซีส์ การควบคุมทั้งหมดยอดเยี่ยมสมชื่อ AMG
ในราคา 3.09 ล้านบาทก็ถือว่า OK เลยสำหรับรถเยอรมันในระดับออปชั่นขนาดนี้ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการรูปลักษณ์สปอร์ต และประสิทธิภาพของการขับขี่แบบสปอร์ต คุณอาจเลือกรุ่น Exclusive ในราคาถูกลงที่ 2.84 ล้านบาท
จุดเด่นของรถ
จุดที่น่าจะมีเพิ่มเติม
ขอขอบคุณ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic ซาลูน หล่อ หรู ทรงพลัง "