Group Test : รีวิว New Mazda 2 ขับมันส์กว่าเดิม เทคโนโลยีเหนือชั้นกว่าเดิม ประหยัดมันสูงสุดในคลาส
Mazda ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีกับการก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 รถยนต์นั่งขนาดเล็ก หลังจากที่ถือกำเนิด Mazda 2 ขึ้นในปี พ.ศ. 2552 ก็สามารถกวาดยอดขายสะสมไปกว่า 120,000 คัน ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2558 Mazda 2 เจเนอร์เรชั่น 2 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Skyactiv จะถล่มยอดขายไปอีก 160,000 คัน
และในวันนี้ Mazda ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กด้วยการเปิดตัว New Mazda 2 โฉม Minor Change ปี 2019 ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีที่สุด และประหยัดน้ำมันที่สุดในคลาส
อาจจะฟังดูเกินจริง แต่จากยอดขายของ New Mazda 2 เฉพาะในงาน Motor Expo 2019 ที่ผ่านมา ก็พอจะเป็นเครื่องยืนยัน และการันตีได้ ซึ่งภายในระยะเวลาเพียง 11 วันจากการเปิดตัว New Mazda 2 กวาดยอดจองภายในงานไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 2,209 คัน
เหตุใด New Mazda 2 ถึงเป็นเบอร์ 1 ในรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ทางทีมงาน 9carthai.com จะมาเล่าให้ฟัง หลังได้ไปทดสอบสมรรถนะบน Track ระดับโลกอย่าง สนาม Chang International Circuit จ.บุรีรัมย์ มาแล้ว
โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ Mazda 2 ยืนหนึ่งในรถยนต์นั่งขนาดเล็กนั้น ก็คือ “เครื่องยนต์” ซึ่ง Mazda ตั้งใจที่จะรวมเอาสมรรถนะของรถยนต์ระดับ B-Segment และความประหยัดของ Eco Car เข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นรุ่นเดียวในคลาสที่มี “เครื่องยนต์ดีเซล” ให้เลือกใช้งาน โดยเคลมว่ามีอัตราประหยัดน้ำมันสูงสุดที่ 26.3 กม./ลิตร ซึ่งถือเป็นอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงที่สุดในคลาส
ส่วนปัจจัยอื่นๆ คงต้องยกให้กับเรื่องดีไซน์การออกแบบ ที่มีความพิถีพิถันตามแบบฉบับ KODO Design ที่สะท้อนความหรูหรา และแฝงความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว รวมไปถึงเทคโนโลยี และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารที่ติดตั้งมาให้อย่างครบครัน จน C-Segment ในบางค่าย ยังสู้ไม่ได้เลยทีเดียว
สำหรับ New Mazda 2 นี้ ถือเป็นโฉม Minor Change ที่ออกมาคั่นกลางก่อนจะมีการเปลี่ยนเจเนอร์เรชั่นใหม่ ซึ่งมีการปรับโฉมภายนอกใหม่เล็กน้อย เริ่มจาก กระจังหน้าแบบใหม่ ที่ถอดแบบมาจากรุ่นพี่ Mazda 3, ไฟหน้าดีไซน์ใหม่ที่ดูโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น, ออกแบบกันชนหน้าใหม่ เพิ่มเส้นสายโครเมียมแนวนอนที่กันชนส่งผลให้ตัวรถดูกว้างขึ้น, กันชนหลังดีไซน์ใหม่ เพิ่มเส้นสายโครเมียมแบบเดียวกับด้านหน้า ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว
ส่วนในรุ่นตัวถังแบบ 5 ประตูนั้น ไฟท้ายแบบ LED มีการปรับปรุงใหม่
ส่วนภายในนั้นได้รับการตกแต่งใหม่ด้วยสีเทาฟ้า ที่บริเวณคอนโซลหน้า และเบาะนั่ง อีกทั้งในส่วนของเบาะนั่งทั้งหมดยังได้มีการเพิ่มพื้นที่ของ Alcantara ที่ให้ความรู้สึกที่สปอร์ต และช่วยป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมาพร้อมกับแป้น Paddle Shift ที่หลังพวงมาลัย และปุ่ม Cruise Control ระบบควบคุมควมเร็วคงที่ ปิดท้ายด้วยหน้าจอ Center Display ระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่รองรับระบบ Apple CarPlay
นอกนั้นยังคงไว้ซึ่งอุปกรณ์มาตรฐาน และตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ตามคอนเซ็ปต์ HMI (Human-Machine Interface) ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตามจากถนน ไม่ว่าจะเป็น Active Driving Display จอสกรีนใสแสดงข้อมูลการขับขี่ในระดับสายตา, ปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander บริเวณคอนโซลกลาง
ด้านขุมพลังยังคงใช้เครื่องยนต์บล็อคเดิม ที่มีให้เลือกใช้งานด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่
เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G ขนาด 1.3 ลิตร สมรรถนะสูงสุด 93 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที มีอัตราประหยัดน้ำมันสูงสุดที่ 23.3 กม./ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ สมรรถนะสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที มีอัตราประหยัดน้ำมันสูงสุดที่ 26.3 กม./ลิตร (ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน)
ซึ่งทั้ง 2 เครื่องยนต์นั้น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5
เหนือกว่าด้วยระบบความปลอดภัย i-Activsense อาทิ
และที่สำคัญ New Mazda 2 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี GVC-Plus ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง ที่หยิบยกมาจากรุ่นพี่ Mazda 3 โดยมีรายละเอียดการทำงานของระบบดังนี้
สำหรับการทดสอบ New Mazda 2 ในครั้งนี้ ทาง Mazda ได้นำรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล มาให้ได้ทดลองขับกันอย่างครบถ้วน โดยในช่วงแรกของการทดสอบนั้น จะเป็นการทดสอบระบบ GVC-Plus ที่ติดตั้งเป็นครั้งแรกใน New Mazda 2 (ของเดิมเป็น GVC) โดยการทำงานของระบบก็ตามที่ได้แจ้งไว้ด้านบน
โดยหลังจากที่ได้ทดลองระบบ GVC-Plus แล้ว ต้องบอกว่า เป็นระบบที่ช่วยให้ตัวรถมีเสถียรภาพในการควบคุมรถที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยมอบความสนุก และความปลอดภัยในการขับขี่ โดยการทดสอบนั้น Mazda ได้จัดเป็นสถานี โดยออกแบบให้มีกรวยเป็นสิ่งกรีดขวาง และต้องหักหลบไป-กลับอย่างกระทันหัน (ความเร็วเฉลี่ย 70 กม./ชม.)
ซึ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่า อาการโยนของ New Mazda 2 นั้น ลดลงอย่างชัดเจน อีกทั้งในช่วงหักกลับตัวรถจะไม่มีอาการท้ายออก หรือท้ายสะบัดให้ได้รู้สึก (ถึงแม้จะเลี้ยวแรงจะล้อหลังลอยเลยก็ตาม) ซึ่งเป็นเพราะระบบ GVC-Plus ได้ช่วยทำการเบรกล้อด้านนอกโค้ง ทำให้ตัวรถกลับคืนสู่ทางตรงได้รวดเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องแก้อาการของรถเหมือนรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่ไม่มี GVC-Plus
นอกจากสถานีการหักหลบฉุกเฉินแล้ว ยังได้ทดสอบ GVC-Plus กันต่อที่โค้ง 7 – 11 บนสนาม Chang International Circuit จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นโค้งปราบเซียน เพราะตำแหน่งของโค้งนั้น จะมีความลาดเอียงที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งยังมีทั้งลงเนิน และขึ้นเนินด้วย ซึ่ง New Mazda 2 นั้น ก็สามารถจิกโค้งเข้า Racing Line ได้อย่างเนียนตา แม้บางครั้งที่เข้าแรงเกินไปจนเกิดอาการ Under Steer ตัวระบบ GVC-Plus ก็จะเข้ามาควบคุมอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกมั่นคง และปลอดภัย
ทั้งนี้ในส่วนของขุมพลัง และอัตราเร่ง ต้องบอกว่า New Mazda 2 เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G และเครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D มีคาแร็คเตอร์การขับขี่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยในเครื่องยนต์เบนซินนั้น อัตราเร่งจะมาแบบนุ่มนวลกว่า ไม่กระโฉกโฮกฮาก แต่ก็จะอืดกว่าอยู่พอสมควร โดยความเร็วสูงสุดที่ทำได้ในสนามช้างฯ อยู่ที่ 145 กม./ชม. (ช่วงทางตรงจากโค้ง 1 ไปโค้ง 2) ซึ่งถ้าเทียบกับรถยนต์ในระดับเดียวกันก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ได้เร็วกว่า หรือช้ากว่ากันสักเท่าไหร่ แต่สมรรถนะในการควบคุมรถในโค้ง รุ่นเครื่องยนต์เบนซินจะทำได้เนียนกว่า (เข้าโค้งในความเร็วที่เท่ากับเครื่องยนต์ดีเซล) ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่างของน้ำหนักระหว่างตัวถังของรถทั้ง 2 รุ่น
ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลนั้น อัตราเร่งจัดจ้านกว่าอย่างเห็นได้ชัด ออกตัวพร้อมๆ กัน เครื่องยนต์ดีเซลฉีกขาดแน่นอน มอบการขับขี่ที่สนุกเร้าใจกว่า อัตราเร่งจังหวะออกโค้งทำได้เด็ดขาดกว่า ซึ่งนั่นรวมถึงจังหวะที่ต้องใช้งานจริงอย่างการเร่งแซงแบบ 2 เลนสวน แต่การจิกโค้งนั้นจะเป็นรองเครื่องยนต์เบนซิน เนื่องจากตัวรถมีน้ำหนักที่มากกว่าเล็กน้อย ทำให้เกิดอาการ Under Steer ได้ง่ายหากเข้าแรงเกินไป แต่วิธีการแก้ก็ไม่ยาก เพียงยกคันเร่งเล็กน้อย และค่อยๆ เลี้ยงคันเร่งใหม่ ระบบ GVC-Plus จะเข้ามาจัดการแก้อาการให้เอง
ข้อดี New Mazda 2
ข้อเสีย New Mazda 2
บทสรุป
โดยรวมแล้วถือว่า New Mazda 2 นั้น เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่มีสมรรถนะที่เกินตัว โดยเฉพาะระบบ GVC-Plus ที่เข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานการขับขี่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งในเรื่องของความประหยัดก็ยังคงหารถ Eco Car หรือ B-Segment รุ่นไหนมาเทียบได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นอยากแนะนำให้คุณได้ไปสัมผัส และทดลองขับด้วยตัวคุณเอง แล้วจะได้รู้ว่าสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนั้นมันคุ้มค่าจริงๆ
ราคาจำหน่าย New Mazda 2 เครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร Skyactiv-G
ราคาจำหน่าย New Mazda 2 เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร Skyactiv-D
เปรียบเทียบอุปกรณ์มาตรฐาน และตารางเงินผ่อนเพิ่มเติมได้ที่ New Mazda 2
รีวิว Chevrolet Colorado High Country Storm 4×4 เมื่อคำว่าสุด…มิอาจหยุดเราได้
รีวิว All-New Mazda CX-8 มาตรฐานอเนกประสงค์ยุคใหม่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
รีวิว MG Extender สมาร์ทปิกอัพ ตัวถังใหญ่นั่งสบาย อ็อพชั่นมากมายเต็มคัน
รีวิว All-New Toyota Altis Hybrid ยืนหนึ่งเรื่องความประหยัด อ็อพชั่นคุ้มค่าคุ้มราคา
รีวิว All-New Mazda 3 หรูหรา แต่ทรงพลัง อ็อพชั่นอัดแน่นเต็มคัน เทียบชั้นรถยุโรป
รีวิว All-New Chevrolet Captiva 2019 โดดเด่นอย่างมีสไตล์ สะดวกสบายทุกที่นั่ง
รีวิว Mitsubishi Pajero Sport 2019 ปรับลุคใหม่ ใส่อ็อพชั่น คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
รีวิว NEW MG EXTENDER สัมผัสแรกกับกระบะพันธุ์ใหม่แห่งค่าย MG
รีวิว Honda Accord 2.0 Hybrid TECH เจ้าของค่าตัว 1.799 ล้านบาท มีดีที่ตรงไหน? ไปหาคำตอบกัน
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " Group Test : รีวิว New Mazda 2 ขับมันส์กว่าเดิม เทคโนโลยีเหนือชั้นกว่าเดิม ประหยัดมันสูงสุดในคลาส "