รีวิว Nissan LEAF ใช้งานจริงรอบกรุงเทพฯ ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว จะตอบโจทย์หรือไม่? ไปหาคำตอบกัน
นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยที่งาน Motor Expo 2018 ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่า Nissan LEAF รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก ยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวไทยสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังไม่เปิดกว้างมากนัก อีกทั้งด้านราคาจำหน่ายที่ยากจะเอื้อมถึง จึงทำให้ใครหลายคนมองข้าม แม้จะน่าสนใจ และอยากครอบครองแค่ไหนก็ตาม แต่ทว่า “หากคุณได้ลองขับ ใช้งานจริงในชีวิตประจำวันเพียงแค่วันเดียว” ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไป
ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ นิสสัน ประเทศไทย จึงจัดกิจกรรม rEVolution Education เพื่อให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ และทดสอบสมรรถนะของ Nissan LEAF โดยการจำลองการขับขี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นระยะทางรวมกว่า 140 กม. ภายใต้การชาร์จไฟเต็มเพียงครั้งเดียว เพื่อให้ทราบถึงขีดความสามารถของรถยนต์ไฟฟ้า ว่าจะสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริงๆ หรือไม่ พร้อมกันนี้ยังให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า และรายละเอียดของ Nissan LEAF แก่ผู้ที่สนใจ ณ จี แลนด์ พระราม 9 ในระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคมนี้ อีกด้วย ส่วนสมรรถนะของ Nissan LEAF จะเป็นอย่างไร หลังจากได้ทดลองขับแล้วจะตอบโจทย์คุณหรือไม่ ไปติดตามกันเลย
ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จัก Nissan LEAF กันก่อนดีกว่า โดยภายนอกนั้นถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Cool Tech Attitude ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถต้นแบบ Nissan IDS Concept เริ่มจากกระจังหน้าแบบ V-Motion ที่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของค่าย Nissan เสริมความพิเศษเฉพาะตัวด้วยลวดลายตาข่ายสีน้ำเงินส่องสว่างแบบ 3 มิติ บ่งบอกความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า, ไฟหน้ารูปทรงบูมเมอแรง โคมโปรเจคเตอร์คู่ ที่มาพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ พร้อมไฟ DRL แบบ LED, ช่องเสียบชาร์จไฟติดตั้งไว้บริเวณฝากระโปรงหน้าระดับ 45 องศา เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบาย, หลังคาสีดำแบบทูโทนตัดกับสีขาว Brilliant White Pearl ของตัวรถ, สปอยเลอร์หลังคาสีดำ, ไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตแบบ LED, กับชนท้ายออกแบบให้มี Diffuser ในตัว เพื่อเสริม Aerodynamic ปิดท้ายด้วยล้อแม็กสีทูโทนขนาด 17″ ทั้งนี้ Nissan LEAF มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศ (drag coefficient) เพียง 0.28 เท่านั้น
มิติตัวถัง Nissan LEAF
สำหรับภายนั้น ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Gliding Wing โดยห้องโดยสารโทนสีดำ เดินด้าย และตะเข็บสีฟ้าบ่งบอกความเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียม คอนโซลหน้ามาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 5″ เชื่อมต่อ Bluetooth ได้บนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมช่องเสียบ AUX และ USB, ระบบ Cruis Control ควบคุมด้วยปุ่มที่พวงมาลัย, เบาะนั่งแบบหนัง โดยภายในห้องโดยสารสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 5 ที่นั่ง และมีความจุพื้นที่สัมภาระด้านท้ายถึง 435 ลิตร สามารถเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบ หรือกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง หรือกระเป๋าสัมภาระพกพาขึ้นเครื่อง 3 ใบ
หน้าจอแสดงผลแบบ Multi-Information จอสีแบบ Thin-film Transistor (TFT) ขนาด 7 นิ้ว บอกปริมาณกำลังไฟฟ้าที่ใช้ตามการกำหนดค่ามาตรฐาน โดยผู้ขับสามารถเลือกแสดงข้อมูลตามที่ต้องการ รวมทั้งแสดงให้เห็นการทำงานของเทคโนโลยี Safety Shield ระดับการชาร์จไฟของรถ และพลังงานที่เหลืออยู่ รวมถึงระบบเสียง และข้อมูลระบบนำทาง
ด้านสมรรถนะของ Nissan LEAF นั้น มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ความจุ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Speed ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,283 – 9,795 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,283 รอบ/นาที มอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในระยะเวลาเพียง 7.9 วินาที สามารถขับได้ไกลเป็นระยะทางถึง 311 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง โดยไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2 = 0)
วิธีการชาร์จ Nissan LEAF
Nissan LEAF สามารถชาร์จได้ถึง 3 วิธีหลักๆ ประกอบด้วย การชาร์จจากไฟบ้านปกติ (standard outlet charging), การชาร์จจากอุปกรณ์ชาร์จติดผนัง หรือ wall box charging และ การชาร์จแบบด่วนหรือที่เรียกว่า Quick Charge ซึ่งสำหรับรายละเอียดของการชาร์จแบบต่างๆ มีดังนี้
Nissan LEAF ยังติดตั้งเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง ได้แก่ เทคโนโลยีเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning: FCW), เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉิน (Forward Emergency Braking: FEB), กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor: IAVM), เทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection: MOD), เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Active Trace Control: ATC), เทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Alert: DAA) และที่สำคัญเลยคือเทคโนโลยี e-Pedal
สำหรับเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะที่โดดเด่นใน Nissan LEAF ก็คือระบบ e-Pedal ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ติดตั้งมาให้ใน Nissan LEAF ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ในการออกตัว เร่งความเร็ว ชลอความเร็ว และหยุดนิ่ง ด้วยการใช้แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว โดยสามารถเลือกเปิด-ปิดการทำงานของระบบ e-Pedal ได้สวิตช์ที่บริเวณคันเกียร์ (ต้องเหยียบแป้นเบรก เข้าเกียร์ D หรือ B เพื่อเปิดใช้งานระบบ)
โดยการทำงานของระบบหากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นการรวมแป้นเบรกไว้ในแป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียว ซึ่งเมื่อผู้ขับเหยียบแป้นคันเร่ง ตัวรถจะออกตัวตามปกติ แต่เมื่อยกเท้าออกจากคันเร่งตัวรถจะชะลอความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่งอย่างนุ่มนวล โดยไม่จำเป็นต้องแตะเบรก ซึ่งจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากในช่วงการจราจรติดขัด เพราะผู้ขับสามารถควบคุมรถโดยไม่ต้องยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ช่วยลดความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี โดยตัวรถมีอัตราชะลอความเร็วสูงถึง 0.2G และไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะไปชนรถคันหน้า เพราะระบบ e-Pedal นั้น จะทำงานร่วมกับระบบ การเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning: FCW) ซึ่งตัวรถจะทำการเบรกให้อัตโนมัติเมื่อมีวัตถุอยู่ด้านหน้า
เมื่อทำความรู้จัก และเข้าใจการทำงานระบบต่างๆ ของตัวรถแล้ว ก็มาถึงสมรรถนะการขับขี่ของ Nissan LEAF กันบ้าง โดยการทดสอบครั้งนี้ ทาง Nissan ได้เตรียมสถานที่ที่ให้ได้ทดสอบสมรรถนะของตัวรถ จำลองจากสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน ที่มีทั้งแบบการขับขี่ในเมือง ไล่ไปตั้งแต่ ถนนพระราม 9, สยามสแควร์, ถนนเจริญกรุง และขับออกนอกเมืองอย่าง ช่างชุ่ย และ Riva Cafe อ. สามพราน จ. นครปฐม ซึ่งรวมเป็นระยะทางทั้งหมดกว่า 140 กม. (ซึ่งถือเป็นระยะทางที่มากกว่าการใช้งานในชีวิตประจำวัน) โดยการชาร์จไฟเต็มเพียงครั้งเดียว และไม่กำหนดเส้นทางในการขับขี่ ซึ่งผู้ทดสอบสามารถเลือกไปที่ไหน อย่างไรก็ได้
โดยการทดสอบครั้งนี้ ผู้เขียนได้ไปครบทั้ง 5 สถานที่ โดยเริ่มเดินทางจากถนนพระราม 9 มุ่งหน้าสยามสแควร์ ซึ่งเป็นแหล่งที่การจราจรติดขัดเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ปรากฏว่าระบบ e-Pedal นั้น กลายเป็นพระเอกของ Nissan LEAF ในการทดสอบครั้งนี้ เพราะช่วยมอบความสะดวกสบาย ในการขับขี่บนเส้นทางการจราจรที่ติดขัด จนกระทั่งหลุดออกจากสยามสแควร์ และถนนเจริญกรุงได้ ผู้เขียนจึงมีโอกาสได้ทดสอบสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้าระดับ 150 แรงม้าของ Nissan LEAF
ซึ่งทันทีที่กดคันเร่งลงไป ตัวรถพุ่งพรวดออกทะยานทันที เนื่องจากไม่ต้องรอรอบ หรือการหน่วงเหมือนเครื่องยนต์ กดปุ๊บรถพุ่งปั๊บ ในชนิดที่แอบมีหลังติดเบาะได้เหมือนกัน ซึ่งในเอกสารก็แจ้งอยู่แล้วว่า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. นั้น ทำได้ใน 7.9 วินาที ซึ่งเมื่อเทียบกับรถยนต์มีเครื่องยนต์ ก็คงเป็นรองแค่รถสปอร์ตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยเข็มความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ไต่ระดับได้รวดเร็วมาก และจาก 100-140 กม./ชม. จะขึ้นช้าลงเล็กน้อย ซึ่งสมรรถนะการขับขี่หากพูดเป็นกราฟ จะพุ่งขึ้นจุดสูงสุด และหลังจากนั้นจะราบเรียบเสมอกันไปเรื่อยๆ เพียงแต่ความเร็วกำยังคงไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนไปแตะหลัก 160 กม./ชม. ภายในระยะเวลาไม่กี่อึดใจ ซึ่งจะแตกต่างจากรถที่ใช้เครื่องยนต์ ที่ต้องลากรอบ มีจังหวะหน่วงของการเปลี่ยนเกียร์ และเส้นกราฟจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปยังจุดสูงสุดนั่นเอง
โดยการทดสอบครั้งนี้ จุดประสงค์การเพื่อ ให้ทราบว่ารถยนต์ไฟฟ้า Nissan LEAF นั้น สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริง (ซึ่งตามเอกสารระบุว่าสามารถขับได้ไกลถึง 311 กม./การชาร์จเต็ม) โดยการทดสอบครั้งนี้ใช้ระยะทางไปทั้งหมด 124 กม. โดยใช้พลังงานไปทั้งหมด 40% ซึ่งยังเหลืออีก 60% กับระยะทางที่คำนวณว่าวิ่งไปต่อได้อีก 186 กม. ซึ่งถ้าดูจากการทดสอบในครั้งนี้ ก็ถือว่า Nissan LEAF นั้น สามารถขับขี่ใช้งานในเมือง หรือเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างไร้กังวล เพราะในชีวิตประจำวันคงไม่มีใครขับรถระยะทางกว่า 300 กม. ไป-กลับบ้านอย่างแน่นอน แต่ถ้าถามว่าสามารถขับไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่ไกลกว่าระยะทางที่ระบุไว้ได้หรือไม่ คำตอบคือไปได้ แต่ต้องวางแผนการเดินทาง และเช็คสถานีชาร์จไฟให้ดีเท่านั้นเอง
ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า Nissan LEAF
ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า Nissan LEAF
ทั้งนี้ Nissan LEAF มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,990,000 บาท ซึ่งจะได้รับการประกันคุณภาพรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมการรับประกันระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และรับประกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เป็นเวลา 8 ปีหรือ 160,000 กิโลเมตร
สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า Nissan LEAF และระบบนิเวศของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ได้ ณ จี แลนด์ พระราม 9 ระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคมนี้ เพื่อสัมผัสแนวคิดด้านนวัตกรรมของนิสสันภายใต้ธีม ‘rEVolution’ รวมถึงการลงทะเบียนเพื่อทดลองขับ Nissan LEAF ได้อีกด้วย
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว Nissan LEAF ใช้งานจริงรอบกรุงเทพฯ ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว จะตอบโจทย์หรือไม่? ไปหาคำตอบกัน "