Test Drive : รีวิว Nissan PULSAR 1.6 DIG Turbo ปลดปล่อยสัญชาตญาณความแรงในตัวคุณ
Nissan Pulsar 1.6 DIG Turbo ผลงานชิ้นเอกจากนิสสัน ที่ผลิตออกมาเพียง 350 คันในประเทศไทย ถือเป็น Limited Edition ที่น่าสะสม รถสปอร์ตขนาดเล็กที่ขาซิ่งต้องชื่นชอบ ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ไม่ยาก มีรุ่นเดียวราคาเดียว 1.07 ล้านบาท
ย้ำกันอีกครั้งว่า 1,070,000 บาท ไม่แพงเลยสำหรับรถยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดมากถึง 190 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร (24.4 กก.-ม.) ที่ 2,400 – 5,200 รอบ/นาที ถือว่าให้กำลังที่แรงกว่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรของ Nissan Teana และยังปล่อยมลพิษออกมาน้อยกว่าด้วยซ้ำ มีที่ไหนรถยนต์ราคา 1.07 ล้านบาท เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ให้กำลัง 190 แรงม้า แถมยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย
Nissan ได้ติดสติ๊กเกอร์ DIG Turbo ไว้ที่ด้านข้างตัวรถทุกคันที่ผลิตออกมาจากโรงงาน แนวทางการออกแบบสติ๊กเกอร์สไตล์นี้ ทำให้นึกถึง Porsche ขึ้นมาทันที แต่ถ้าลอกทิ้งไป ก็กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่านี่คือ Pulsar ตัวแรงที่มีเพียง 350 คันเท่านั้น ลองมาดูสเปคที่สำคัญ ๆ ซึ่งเป็นจุดขายหลักของ Pulsar 1.6 DIG Turbo กันก่อน
– เครื่องยนต์ MR16DDT 190 แรงม้า 240 นิวตันเมตร
– เกียร์ CVT พร้อมโหมด Manual 6 speed
– สปริงและโช็คอัพใหม่ แตกต่างจาก Pulsar รุ่นปกติ
– จานเบรกใหม่ ขยายขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้หยุดรถได้ดียิ่งขึ้น
– Airbag 6 จุด (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านถุงลม)
– ระบบควบคุมการทรงตัว VDC/TCS
– ระบบเบรก ABS/EBD/BA
– ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-Xenon
– ระบบเปิด-ปิดและปรับไฟหน้าอัตโนมัติ
– ระบบฉีดน้ำทำความสะอาดไฟหน้า
– Cruise Control
– Keyless Entry – Push Start
– Navigation System + Bluetooth
– กล้องมองภาพขณะถอยจอด
ทั้งหมดนั้นคือการอัพเกรดประสิทธิภาพของ Pulsar เดิม ให้กลายเป็นรถสปอร์ตที่มีความแรงมากขึ้นเป็นพิเศษ จึงทำให้ระบบเบรค ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบความปลอดภัย ระบบกันสะเทือน และเกียร์จะต้องทำงานสัมพันธ์กับเครื่องยนต์ที่มีขุมพลังเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ว่าใส่เครื่องยนต์ที่แรงขึ้น แต่ชิ้นส่วนในระบบต่าง ๆ ของตัวรถกลับเอาไม่อยู่ ก็จะส่งผลให้มีปัญหามากมายในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการหยุดรถหรือการทรงตัว
เรามาดูกันที่รูปโฉมภายนอกกันก่อน ดีไซน์ด้านหน้า ก็ยังดูเหมือนกับ นิสสัน พัลซาร์ รุ่นปกติที่เห็นบนท้องถนน กระจังหน้า ดีไซน์สปอร์ต ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดและปรับระดับอัตโนมัติ ดีไซน์ของโคมไฟหน้า คาดว่าดัดแปลงมาจาก Teana ให้ดูสปอร์ตขึ้นเล็กน้อย ไฟตัดหมอกหน้าทรงกลม ไม่มีไฟ Daytime Running Light
ใต้โคมไฟหน้า มีที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้าให้ด้วย เหมือนในรถยุโรปราคาแพง
หากมองนาน ๆ โดยรวมก็ถือว่าด้านหน้าของ Pulsar มีความสวยงามในระดับหนึ่ง ไม่ได้ดูดุดันหรือโฉบเฉี่ยวเหมือนกับรถสปอร์ตพันธุ์แท้รุ่นอื่น
มาดูดีไซน์ด้านข้างกันบ้าง
โดดเด่นด้วยสติ๊กเกอร์ DIG Turbo ด้านข้างตัวรถ รถสีดำ สติ๊กเกอร์จะเป็นสีแดง ถ้ารถสีแดง สติ๊กเกอร์จะเป็นสีขาว
ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลายเหมือน Pulsar รุ่นธรรมดา สีเงิน ไม่รมควัน พร้อมยางจาก Continental
กระจกมองข้าง ให้มุมมองที่กว้างพอสมควร พร้อมติดตั้งไฟเลี้ยว LED
ขอบกระจกโครเมียม
มือจับประตู สีเดียวกับตัวรถ
สปอยเลอร์
ส่วนท้ายรถ ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก Pulsar รุ่นธรรมดา
ไฟท้าย ก็ยังคงไม่มีอะไรพิเศษกว่ารุ่นธรรมดา
แต่ตัวอักษร DIG Turbo นี่แหละ ที่แสดงถึงความแตกต่าง
ที่ปัดน้ำฝนกระจกหลัง และแถบโครเมียมขนาดใหญ่
สัญลักษณ์ Pulsar
เสียดายที่ไม่มีสเกิร์ตรอบคันติดตั้งมาจากโรงงาน ทำให้ดูท้ายลอย ๆ
เพื่อความแรง แนะนำให้ใช้น้ำมันเบนซิน หรือแก๊สโซฮอล์ 95 E10 เท่านั้น
ฝาถังน้ำมันอยู่ทางฝั่งขวามือ
เหนือป้ายทะเบียน มีไฟส่องป้ายทะเบียน 2 ดวง และกล้องมองหลัง ช่วยกะระยะถอยหลัง
มาดูในห้องเครื่องกันหน่อย เพราะหัวใจสำคัญของรถยนต์รุ่นนี้อยู่ที่นี่
ฝากระโปรง และห้องเครื่องยนต์
– เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส MR16DDT แบบหัวฉีด Direct Injection ตอบสนองทุกจังหวะการขับขี่อย่างเร้าใจ พร้อมอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเกินคาด สมรรถนะการขับขี่แรงเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร
– ประหยัดน้ำมันด้วย Turbo Charge ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 2,400 รอบต่อนาที และให้แรงบิดคงที่เป็น Flat Torque ไปจนถึง 5,200 รอบต่อนาที ช่วยให้เร่งแซงได้ดั่งใจ แต่ยังคงประหยัดน้ำมัน
– Twin C-VTC (Twin Continuously Variable-valve Timing Control System) ควบคุมการเปิด-ปิดของวาล์วไอดีและไอเสียให้มีความสัมพันธ์กัน และนำก๊าซไอเสียกลับมาเผาไหม้อีกครั้ง เป็นการช่วยลดค่า Pumping Loss แรงต้านของกระบอกสูบ ห้องเครื่องแน่น ดูทรงพลัง แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถูกติดตั้งมาจากโรงงาน
มาดูกันต่อที่ภายในห้องโดยสาร เริ่มจากฝั่งคนขับ
แผงประตู ใช้วัสดุที่ดูดี บุด้วยหนังเทียม ที่เปิดประตูโครเมียมเงางาม ตัดด้วยแถบสีบรอนซ์เงิน ดูทันสมัย
ใกล้ลำโพง มีช่องใส่ขวดน้ำดื่มและใส่ของจุกจิกได้อีกเล็กน้อย
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งเป็นสีดำสไตล์รถสปอร์ต
แต่นิสสันนำเอาสีเงินมาใช้ตกแต่งคอนโซลด้านหน้า ให้ดูตัดกับสีดำ ได้ความรู้สึกที่สวยงามทันสมัย
เบรค คันเร่ง ที่เปิดฝากระโปรงและฝาถังน้ำมัน
เบาะหนังฝั่งคนขับปรับระดับความสูงได้
เบาะที่นั่งคู่หน้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำเกินไป ทำให้มุมมองดี มองเห็นได้กว้างไกล ทัศนวิสัยดี แผงคอนโซลออกแบบได้สวยงาม เรียบหรู ทันสมัย
สวิตช์ปรับมุมกระจกมองข้าง อยู่ที่ใต้ช่องลมเครื่องปรับอากาศฝั่งขวาสุด
พวงมาลัยหุ้มหนังสีดำ ทรงสวย พร้อมปุ่มควบคุม Multifunction
ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง รับโทรศัพท์ วางสาย และเลือกโหมดของหน้าจอในมาตรวัด
ปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control
ตั้งค่าที่ปรับน้ำฝน
สวิตช์ควบคุมไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก ไฟหน้า
มาตรวัดเรืองแสงแบบ Fine Vision Meter พร้อมจอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบ MID (Multi-Information Display)
เครื่องเสียง สามารถเล่นไฟล์จาก CD / USB / Bluetooth / Aux พร้อมหน้าจอระบบสัมผัส
เครื่องปรับอากาศแบบดิจิตอล แยกอิสระหน้า-หลัง
เกียร์อัตโนมัติ CVT 6 สปีด นุ่มนวล พร้อมโหมด Manual ได้อารมณ์ขับสนุกแบบเกียร์ธรรมดา
ช่องต่อ Car Charger ซ่อนไว้ใต้ฝาปิด
มีที่วางแขนให้ด้วย
ช่องต่อสัญญาณ Aux และ USB เข้าไปยังเครื่องเสียง อยู่ภายในช่องใต้ที่วางแขน
ช่องวางเครื่องดื่มพร้อมฝาปิด
กุญแจรีโมท พกพาสะดวก
ด้านหลังกุญแจ เรียบ ๆ
ถอดกุญแจออกมาใช้งานได้เมื่อคราวจำเป็น
ช่องสำหรับวางกุญแจ หรือโทรศัพท์มือถือก็ได้
ปุ่ม Start / Stop อยู่ระหว่างพวงมาลัยกับเครื่องปรับอากาศ
ไฟส่องสว่าง 2 ตำแหน่ง และที่เก็บแว่นตา
ม่านบังแดด มีกระจกส่องหน้าพร้อมไฟส่องสว่างทั้ง 2 ตำแหน่ง
ไฟส่องสว่างตรงกลางห้องโดยสาร โดยรุ่นนี้ไม่มี Sunroof
เสาหลังคามีขนาดไม่หนาจนเกินไป จึงไม่ค่อยบดบังในขณะเลี้ยว
เข็มขัดนิรภัย สามารถปรับระดับความสูงได้
เข้าออกได้สะดวก ห้องโดยสารกว้างและไม่เตี้ยจนเกินไป
ประตูฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า
ที่ใส่ของด้านหน้า
ที่เสาเหนือช่องลมเครื่องปรับอากาศ ติดตั้งลำโพงเสียง Tweeter เอาไว้ทั้งสองฝั่ง
ที่วางแขน ทำมุมและความสูงได้พอดี ทำให้ไม่เมื่อยล้า
พื้นที่วางขา ระยะห่างจากที่เก็บของมาถึงหัวเข่า เหลืออยู่พอสมควร ไม่รู้สึกอึดอัด
มุมมองของกระจกมองข้าง
ถุงลม SRS คู่หน้า ถุงลมด้านข้าง และม่านถุงลม รวม 6 จุด ลดอาการบาดเจ็บจากการชน
มีม่านถุงลมซ่อนอยู่ในเสากลาง
มาดูกันต่อ ที่ห้องโดยสารตอนหลัง
นั่งได้ 3 คนแบบไม่อึดอัด มีที่พิงศีรษะ 3 ตำแหน่ง ปรับระดับได้
เบาะนั่งขนาดใหญ่ รองรับก้นและต้นขาได้เต็มพอดี
ที่วางแขนและช่องใส่เครื่องดื่ม
เบาะให้ความรู้สึกแน่น ไม่ใช่สไตล์นุ่มยวบ
มีช่องลมเครื่องปรับอากาศมาถึงที่นั่งตอนหลัง และแยกปรับอุณหภูมิอิสระจากที่นั่งตอนหน้า
ด้านหลังเบาะหน้าฝั่งผู้โดยสาร มีช่องใส่หนังสือ
Leg room กว้างมาก สอดเท้าใต้เบาะหน้าได้
เพดานสูง โปร่ง ไม่อึดอัด
หน้าต่างบานยาว เปิดได้ทั้งหมด ไม่เหลือบางส่วนไว้ให้เกะกะสายตา
พับเบาะได้ง่าย แต่น้ำหนักเบาะค่อนข้างเยอะ เพราะเบาะเนื้อแน่นมาก
เมื่อพับเบาะลงมา จะไม่ได้ราบเรียบเสมอกับพื้นช่องเก็บสัมภาระด้านหลัง
ด้านหลังเบาะหลัง มีตัวยึดกับ Baby Seat ด้วย
เพิ่มพื้นที่บรรจุสัมภาระได้ไม่น้อย
ที่พิงศีรษะสามารถถอดออกได้
ที่พิงศีรษะ และเบาะทั้งหมดของ Pulsar มีความอวบหนาเนื้อแน่นมาก ไม่ได้มีแต่ฟองน้ำหลวม ๆ
ฝาท้ายเปิดได้กว้าง น้ำหนักไม่หนักเกินไป สามารถเปิดได้จากภายนอกหรือภายในรถก็ได้
หลุมสำหรับจับเพื่อปิดฝาท้าย
ถาดรองของใช้จุกจิกหลังเบาะหลัง สามารถถอดออกได้
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง กว้างกว่ารถ Hatchback บางรุ่นในตลาด
ทดสอบการส่องสว่างของโคมไฟรอบคัน เริ่มต้นที่ไฟท้าย ไม่ใช่แบบ LED พื้นที่การส่องสว่างน้อยกว่ารุ่น Sylphy ส่วนไฟเลี้ยว อยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากขอบมุมท้ายรถอยู่พอสมควร โดยส่วนตัวรู้สึกว่าไฟท้ายมีขนาดค่อนข้างเล็ก คาดว่าหลังไมเนอร์เชนจ์รุ่นปี 2015 หรือ 2016 จะได้เห็นโคมไฟท้ายที่สวยโฉบเฉี่ยวมากขึ้นและเป็นไฟท้ายแบบ LED
ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ใช้งานได้จริงกับการขับเพื่อขอทางรถที่วิ่งขนานกันแล้วปาดเข้ามาในเลนเดียวกัน เพราะออกแบบให้ส่องสว่างทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ในเรื่องของความสว่าง ถ้าสว่างมากกว่านี้ก็จะยิ่งดี
ไฟหรี่ ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอก ทำงานได้ดี สว่างไกล เห็นได้ชัดเจนดี
มาตรวัด ไม่ได้เน้นไฟสว่างสีสันแบบรถสปอร์ตเอาใจวัยรุ่น ใช้แสงสีขาวธรรมดา ๆ มีจอภาพขนาดใหญ่
กล้องช่วยมองหลัง ใช้เส้น 3 สีในการกำหนดระยะจอดที่เหมาะสม แต่ไม่มีเส้นโค้งตามองศาการเลี้ยว
ระบบนำทางและเครื่องเสียง มีมเนูเป็นภาษาไทยด้วย อ่านง่าย หน้าจอสั่งงานด้วยระบบสัมผัส ซึ่งมีความไวในการตอบสนองดีมาก แค่สัมผัสเบา ๆ ไม่ต้องออกแรงกดหรือใช้เล็บจิก จุดนี้ดีกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน
GUI หรือหน้าตาเมนูที่ดูเรียบง่าย ใช้งานง่าย
เปลี่ยนสถานีวิทยุได้รวดเร็ว ข้ามไปได้ทุกตำแหน่ง ไม่ต้องไล่เรียงตามความถี่
รายการคลื่น FM ที่ค้นพบ
เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้ง่าย
ใช้ฟังก์ชั่นการโทรและเล่นมัลติมีเดียได้ทันทีที่เชื่อมต่อสำเร็จ
กดโทรจากบนหน้าจอนี้ได้ง่าย ๆ หรือดูจากรายการโทรก็ได้
แสดงชื่อเพลงภาษาไทยได้ถูกต้อง
ดึงสมุดโทรศัพท์จากโทรศัพท์มือถือเข้ามาได้รวดเร็ว
ตั้งค่าเสียงได้หลายระดับ
รับสัญญาณจาก Aux, USB และ CD ได้
ตั้งค่าแผนที่ ให้นำทางด้วยเสียงได้ด้วย แต่สำเนียงการพูดสั่งงานต้องชัดเจน
จากการทดสอบ การแสดงพิกัดค่อนข้างแม่นยำและอัพเดตต่อเนื่องไวดี
ตั้งค่าจอภาพและระบบหลักได้ค่อนข้างเยอะ
ปรับความสว่างสูงสุด สู้แสงแดดภายนอกได้ดี
เปลี่ยนเมนูเป็นภาษาอังกฤษก็ได้
แสดงข้อมูลแผนที่และสถานที่สำคัญริมถนนได้ถูกต้อง
ลูกเล่นและความสามารถของระบบนำทางอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
ทดสอบขับ Nissan PULSAR 1.6 DIG Turbo
เราได้ทดสอบขับ Nissan Pulsar 1.6 DIG Turbo บนถนนนครอินทร์และราชพฤกษ์ ซึ่งทำความเร็วได้ดีและมีพื้นผิวถนนที่ดี ในสภาพการจราจรปกติที่ทำความเร็วได้ และต้องแซงรถอยู่เป็นระยะ ๆ สรุปความประทับใจได้ดังนี้
วัดอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง | |||||
ครั้งที่ 1 | ครั้งที่ 2 | ครั้งที่ 3 | ครั้งที่ 4 | เฉลี่ย | |
อัตราเร่ง 0-80 กม./ชม. | 6.03 | 5.80 | 5.80 | 5.71 | 5.84 |
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. | 7.90 | 8.28 | 8.06 | 7.91 | 8.04 |
อัตราเร่ง 0-120 กม./ชม. | 10.21 | 10.76 | 10.40 | 10.33 | 10.43 |
ข้อสังเกต
คู่แข่งที่สำคัญ
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
Nissan PULSAR 1.6 DIG Turbo เหมาะกับคนที่ชื่นชอบความเร็วมาก เพราะให้กำลังสูงสุดมากถึง 190 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร (24.4 กก.-ม.) ที่ 2,400 – 5,200 รอบ/นาทีเลยนะ
robot_9_slamdunk@hotmail.com