รีวิว Suzuki Ertiga 2016 รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ภายในกว้าง นั่งสบาย ราคาสุดคุ้ม
ตลาดรถยนต์ประเภท Mini MPV หรือรถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก เป็นตลาดที่ใหญ่มากในประเทศอินโดนีเซีย ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ Jakarta เมืองหลวงที่รถติดพอ ๆ กรุงเทพฯ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน บนถนนก็มีแต่รถประเภทนี้เต็มถนน ส่วนรถเก๋งเล็กทั้งแบบ Sedan และ Hatchback รวมทั้งรถกระบะที่วิ่งกันเต็มถนนเมืองไทย จะพบเจอน้อยมากในประเทศอินโดนีเซีย เพราะ Mini MPV เป็นที่นิยมอย่างมาก ไลฟ์สไตล์การเดินทางของชาวอินโดนีเซียมักจะไปกันเป็นหมู่คณะ รถยนต์ 5 หรือ 7 ที่นั่งจึงตอบโจทย์ได้ดี
Suzuki Ertiga 2016 ปรับโฉมใหม่แบบ Facelift หรือ Minorchange นำเข้าทั้งคันมาจากอินโดนีเซีย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง เพื่อเดินทางไปเที่ยวทั่วไทยกันทั้งครอบครัวหรือไปกับกลุ่มเพื่อน หรือมีสัมภาระมากมายที่ต้องขนย้ายบ่อย ๆ ก็สามารถพับเบาะที่นั่งเพื่อวางสัมภาระขนาดใหญ่ได้ โดยมีงบประมาณไม่มากนัก ถือว่ารุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดี และมีจุดเด่นหลายอย่างที่เหนือกว่าคู่แข่ง
ซูซูกิ เออร์ติก้า 2016 แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น Dreza (คันซ้ายในภาพข้างบน) และรุ่น GL (คันขวาในภาพข้างบน)
1.4 GL 4A/T ราคา 655,000 บาท มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานดังนี้
– ไฟหน้าแบบฮาโลเจน
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า
– โครเมียมตกแต่งที่ฝาท้าย
– กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า
– ที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง
– ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 185/65 R15
– ช่องชาร์จไฟ 12V
– ตกแต่งแผงประตูด้วยสีเบจ – วัสดุสีเงิน
– เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีเบจ
– เบาะนั่งคนขับปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง
– เบาะนั่งแถวที่ 2 แยกอิสระ 60 : 40
– เบาะนั่งแถวที่ 2 เลื่อนหน้า-ถอยหลังได้
– เบาะนั่งแถวที่ 2 ระบบ One Touch พับทบได้จังหวะเดียว
– พนักวางแขนตรงกลางเบาะนั่งแถวที่ 2
– เบาะนั่งแถวที่ 3 แยกอิสระ 50 : 50
– เบาะนั่งแถวที่ 2 / 3 พร้อมหมอนรองศีรษะ 2 ตำแหน่ง
– จอแสดงข้อมูลการขับขี่ Multi Information Display (MID)
– เครื่องเสียงแบบ 2DIN วิทยุ AM/FM CD MP3 1 แผ่น
– ช่องเชื่อมต่อ USB
– ลำโพง 4 ตำแหน่ง (คู่หน้า – คู่หลัง)
– ระบบปรับอากาศแบบธรรมดา
– ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
– กุญแจรีโมท
– กุญแจนิรภัย Immobilizer
– สัญญาณกันขโมย
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
1.4 Dreza 4A/T ราคา 715,000 บาท สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น 1.4 GL 4A/T โดยบวกเพิ่ม 60,000 บาท มีดังนี้
– กระจังหน้าแบบสปอร์ต
– สเกิร์ตข้าง
– กันชนหลังแบบสปอร์ต
– สปอยเลอร์หลัง
– กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า
– ไฟ LED Daytime Running Lights
– ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วลายสปอร์ต พร้อมยาง 185/65 R15
– ตกแต่งแผงประตูด้วยสีเบจ – ลายไม้
– มือจับประตูด้านในโครเมียม
– เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีเทาแบบทูโทน
– เบาะนั่งคนขับปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง
– จอแสดงอุณหภูมิภายนอกรถ Outside Temperature
– ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
– ลำโพง 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า – คู่หลัง – ทวิตเตอร์คู่หน้า)
– ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
– ระบบกระจายแรงเบรก EBD
คำว่า Dreza มาจากคำว่า Dress up หมายถึง การตกแต่งให้ดูดีขึ้นพิเศษ ด้วยอุปกรณ์ตกแต่งที่ปรับเปลี่ยนใหม่หลายชิ้นรอบคัน
ในรุ่น GL จะมีสีตัวถังภายนอกให้เลือกด้วยกัน 4 สี คือ
– สีขาวมุก Pearl Snow White (เพิ่มเงิน 5,000 บาท)
– สีเงิน Silky Silver Metalic
– สีเทา Graphite Grey Metalic
– สีดำ Cool Black Metalic
ส่วนรุ่น Dreza จะมีสีตัวถังภายนอกให้เลือก 3 สี ได้แก่
– สีม่วงมุก Pearl Twilight Violet (เพิ่มเงิน 5,000 บาท)
– สีขาวมุก Pearl Snow White (เพิ่มเงิน 5,000 บาท)
– สีดำ Cool Black Metalic
เครื่องยนต์ใหม่ ปล่อยไอเสียน้อยลง จัดเก็บภาษีน้อยลง
ความยาวของรุ่น GL สั้นกว่ารุ่น Dreza เล็กน้อย
เห็นความแตกต่างของทั้งสองรุ่นแบบคร่าว ๆ กันไปแล้ว ทีนี้ก็มาเจาะลึกในด้านดีไซน์ทีละรุ่น
ดีไซน์ภายนอกของ Ertiga GL
กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ปรับใหม่ ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วแบบ 5 รู
กระจกมองข้างขนาดค่อนข้างใหญ่ มุมมองกว้างกำลังดี
โครเมียมตกแต่งประตูท้ายขนาดใหญ่มีตัวนูนคำว่า Ertiga พร้อมแถบสะท้อนแสงเพิ่มเติมเข้ามา
ดีไซน์ภายนอกของ Ertiga Dreza ที่แตกต่างจากรุ่น GL
โดดเด่นด้วยกระจังหน้าดีไซน์หรู มีทั้งไฟ LED Daytime Running Lights และไฟตัดหมอก ส่วนไฟหน้าเป็นแบบ Halogen ปกติ
ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง
สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3
สัญลักษณ์คำว่า Dreza
ล้ออะลูมิเนียมอัลลอย 15 นิ้วลายใหม่
สเกิร์ตด้านข้าง
แรกเห็นรุ่น Dreza อาจจะรู้สึกแปลกตากับดีไซน์ แต่เมื่อมองไปนาน ๆ ก็รู้สึกว่าสวยดี ตกแต่งให้ดูเป็น Mini MPV ที่มีสปอร์ตมากขึ้น
ภายในห้องโดยสารของ Ertiga GL
ห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีเบจ ดูสว่างและสะอาดตา บานประตูเปิดได้กว้างมาก เข้าออกได้สะดวกในทุกที่นั่ง
คอนโซลแบบสีทูโทน เรียบแต่ดูดี ตัวรถมีเพดานสูงโปร่ง ทัศนวิสัยดีมาก แนวเสา A ไม่ค่อยเกะกะสายตาในขณะเลี้ยว
พวงมาลัยแบบสามก้านขนาดเล็กไปหน่อย ไม่มีปุ่มควบคุมใด ๆ
เบาะที่นั่งแถวที่สอง ปรับเอนได้ เป็นจุดเด่นที่น่าสนใจ
เบาะผ้าในรุ่น GL มีลวดลายสวยงาม
มีที่วางแขนตรงกลางให้ด้วย
พับเบาะได้ในแบบ 60 : 40 ที่พิงศีรษะก็ดึงขึ้นมาได้สูง
เบาะที่นั่งแถวที่สอง เลื่อนปรับระยะหน้าหลังได้กว้างถึง 240 mm. ทำให้เข้าออกไปยังเบาะที่นั่งแถวที่สามได้สะดวกมาก
เบาะที่นั่งแถวที่สาม ขนาดกว้างใหญ่ ผู้ใหญ่ก็นั่งได้แบบไม่อึดอัด
พื้นที่วางเท้ากว้างมาก ไม่ว่าจะถอยเบาะในระยะใดก็ตาม
ระยะห่างจากหัวเข่าถึงหลังเบาะหน้า ถือว่าเยอะมาก แม้ว่าปรับเบาะที่นั่งแถวที่สองให้เข้าใกล้เบาะคู่หน้า ก็ยังถือว่านั่งสบายมาก
ส่วนรายละเอียดอื่นที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ขอต่อเนื่องไปดูที่ห้องโดยสารของรุ่น Dreza กันต่อเลย
ภายในห้องโดยสารของ Ertiga Dreza
ใน Ertiga รุ่น Dreza มีการตกแต่งภายในด้วยลายไม้เล็กน้อยที่แผงประตูและคอนโซลหน้า เบาะผ้าเปลี่ยนเป็นลวดลายสีน้ำตาล อาจจะดูมืดกว่ารุ่น GL เพราะสีเบาะเข้มมากขึ้น แต่โดยรวมถือว่าดูดีมีระดับมากขึ้นเช่นกัน
พวงมาลัยขนาดเท่าเดิม แต่มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงเพิ่มเข้ามา
เบาะที่นั่งคนขับ ปรับความสูงได้เยอะมาก
คันโยกเปิดฝาถังน้ำมัน อยู่ที่พื้น
ตำแหน่งของที่พักเท้าซ้าย เบรค และคันเร่ง วางได้ค่อนข้างดี
กุญแจรีโมต
เสียบกุญแจสตาร์ต เพราะไม่มีปุ่ม Push Start
สวิตช์เครื่องปรับอากาศ ข้างใต้มีช่องเสียบ USB Flashdrive และช่องจ่ายไฟ 12V
เครื่องเสียง หน้าจอใหญ่ ตัวอักษรบนจอมีขนาดใหญ่ อ่านง่ายเพียงแค่เหลือบตามอง
ปุ่มสั่งงานเครื่องเสียงบนพวงมาลัย มีฟังก์ชั่นพื้นฐานครบครัน แต่ไม่มีฟังก์ชั่นที่เกี่ยวกับโทรศัพท์
มีหน้าจอ LCD แสดงอุณหภูมิภายนอก, สถานะเกียร์, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ย, ระยะทริป, และนาฬิกา
เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ย้ำกันอีกครั้งว่าแค่ 4 สปีด ถือว่าน้อยไปหน่อยกับยุคสมัยนี้
เบรกมือ เสียดายที่บริเวณนี้ไม่มีที่ใส่ขวดน้ำ แก้วน้ำ และไม่มีที่วางแขน
ช่องลมเครื่องปรับอากาศฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า มีที่วางแก้วเครื่องดื่ม ส่วนฝั่งคนขับไม่มี
ช่องเก็บเอกสารและของจุกจิก
ไฟส่องแผนที่และที่บังแดด กระจกส่องหน้ามีเฉพาะฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าเท่านั้น
ช่องดูดลมจากห้องโดยสารตอนหน้า เพื่อเป่าออกไปยังห้องโดยสารตอนหลัง
ช่องลมเครื่องปรับอากาศ ปรับระดับลมได้แรง 3 ระดับ เย็นและแรงมาก แรงไปถึงที่นั่งแถวที่สามแน่นอน เย็นมากและลมแรงจนรู้สึกว่าอาจจะทำให้ไม่สบายได้ถ้าเปิดลมแรงสุด
การพับเบาะเพื่อเข้าออกที่นั่งในแถวที่สาม ทำได้ง่าย ไม่ต้องออกแรงพับเบาะเยอะ
ที่นั่งแถวที่สาม ผู้ใหญ่นั่งได้สบายไม่อึดอัด ผู้ที่มีความสูงไม่เกิน 180 ซม. มั่นใจได้เลยว่าศีรษะไม่ชนเพดาน นั่งหลังตรงได้ ไม่ต้องย่อตัว พร้อมที่พิงศีรษะแบบยืดได้สูงพอดีระดับศีรษะ ถือเป็นรถ Mini MPV ที่มีที่นั่งแถวที่สามกว้างใหญ่มากที่สุดในตลาด
ท้ายรถมีที่เก็บของ เก็บร่มกอล์ฟได้
ช่องเก็บแม่แรง มีฝาปิดเรียบร้อย
มีที่ฉีดน้ำล้างกระจกหลังและเซ็นเซอร์ถอยหลังทั้งรุ่น GL และ Dreza
ฝาท้ายเปิดได้กว้างและสูง ไม่ชนศีรษะ
ทดสอบขับ
เส้นทางที่ทดสอบขับ วิ่งผ่านจังหวัดพิษณุโลก – สุโขทัย – อุตรดิตถ์ ระยะทางรวม 315.5 กิโลเมตร มีทั้งในเมืองและนอกเมือง
การขับขี่ในแบบ Group Test ครั้งนี้ เป็นไปตามสภาพการจราจรจริง ไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ปิดถนนหรือเปิดไฟเขียวให้ผ่านตลอด เพื่อให้ได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ตรงกับสภาพการใช้งานจริง
สภาพการจราจรที่มีรถบรรทุกและรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ บรรทุกสินค้าตลอดเส้นทาง มีการเร่งแซงเป็นระยะ ใช้ความเร็วอยู่ในช่วง 90-150 km/h
ภายในรถ มี 4 ท่านจาก 4 สื่อ ได้แก่ Joinalifethailand.com, AutoDeft.com, 9CarThai.com และนิตยสาร Foto Info สลับกันขับ เพื่อทดสอบความรู้สึกและสัมผัสประสบการณ์จากการขับ
ทุกคนในรถ บอกตรงกันว่า Suzuki Ertiga ใหม่ นั่งสบาย กว้างขวาง เบาะที่นั่งขนาดใหญ่ทั้ง 7 ที่นั่ง เบาะสูง ทัศนวิสัยดีมาก นั่งได้นานโดยไม่เมื่อยตลอดการเดินทาง เครื่องปรับอากาศน่าประทับใจอย่างมาก เย็นเร็วสู้อากาศร้อนภายนอกได้ดีเยี่ยม ลมแรงทั่วทั้งคันในระดับที่เรียกว่าแรงมากสะใจ ไม่ใช่แรงแค่ลม แต่เย็นจนหนาวจริงท่ามกลางแดดจัด
เบาะที่นั่งแถวที่สองที่สามารถปรับเลื่อนหน้าหลังได้มากถึง 240 mm. เป็นจุดเด่นที่เหนือคู่แข่ง ทำให้ห้องโดยสารตอนหลังกว้างมาก และการพับเบาะได้อิสระมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้จัดวางสัมภาระขนาดใหญ่ได้เต็มประสิทธิภาพ
ในด้านของสมรรถนะเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร กับการทดสอบขับที่มีผู้ขับและผู้โดยสารรวม 4 ท่าน ให้อัตราเร่งที่ดีน่าพอใจ ไม่อืด เร่งแซงได้ลุ้นเล็กน้อย ขับที่ความเร็ว 80-120 km/h เหยียบคันเร่งสบาย ๆ แต่ช่วง 120-150 km/h ก็ต้องเหยียบคันเร่งหนักเหมือนกัน รอบเครื่องยนต์สูงไปถึง 3000 – 4300 rpm
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันทำได้ดีที่สุดอยู่ที่ 14.1 km/l เมื่อขับทางไกลด้วยความเร็วคงที่ ไม่เกิน 110 km/h เมื่อเกิน 120 ไปจนถึง 150 km/h มีการเร่งแซง เน้นทำความเร็วสูง อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 12.7 km/h ส่วนขับในตัวเมือง การจราจรค่อนข้างหนา ติดไฟแดงทุกแยก อัตราสิ้นเปลืองที่วัดได้ อยู่ที่ 9.2 km/l
ช่วงล่างและระบบกันสะเทือน ถือว่าน่าประทับใจพอสมควร ซับแรงสะเทือนได้ดี นุ่มตลอดทุกเส้นทาง จนผู้โดยสารหลับสนิท แม้ขับเร็วมาก การเกาะถนนดีใช้ได้ แต่เมื่อขับเร็วเกิน 110 km/h ไปแล้ว มีอาการร่อน ท้ายปัดทุกโค้ง มีเสียงลมปะทะให้ได้ยิน เสียงเครื่องยนต์เข้ามาในห้องโดยสารตลอดทุกความเร็ว แต่ไม่ได้รู้สึกว่าดังจนรำคาญแต่อย่างใด ห้องโดยสารมีการป้องกันเสียงรบกวนในระดับหนึ่งที่ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีกับรถระดับราคานี้
เครื่องเสียงและลำโพงในรุ่น Dreza อยู่ในเกณฑ์ธรรมดา ไม่ค่อยมีเบสกับแหลมใส ๆ ให้ได้ยิน เน้นไปที่เสียงร้องชัดเจน ผู้ใหญ่ฟังเพลงถือว่า OK แต่วัยรุ่นเปิดเพลงสมัยใหม่ อาจจะไม่รู้สึกถึงความสนุกสนานของเพลง ดูจืดชืดไปหน่อย ฟังแก้เหงาแก้ขัด ฟังข่าววิทยุ ถือว่าพอใช้ได้
บทสรุป
การทดสอบขับ Suzuki Ertiga ใหม่ในครั้งนี้ รู้สึกประทับใจในหลายด้าน และรู้สึกว่าการท่องเที่ยวเดินทางไกลในแบบหมู่คณะ ไปกันทั้งครอบครัว เป็นเรื่องที่สนุก เดินทางไกลโดยไม่รู้สึกเหนื่อย เมื่อย หรือร้อนเลย ท่ามกลางแดดจัด เส้นทางที่โค้งเยอะ และสภาพผิวถนนที่ไม่ค่อยดีนักในบางช่วง ก็ยังรู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่มีความสุข มีแต่รอยยิ้ม สมรรถนะให้ทั้งความแรงและประหยัดพอตัว ใกล้เคียงกับรถเก๋งเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรทั่วไป
สิ่งที่ประทับใจ
ข้อสังเกต
คู่แข่ง
ปัจจุบัน คู่แข่งของ Suzuki Ertiga เหลือเพียง 2 รุ่นที่ยังคงมีจำหน่ายอยู่ในไทย ก็คือ Honda Mobilio และ Toyota Avanza
Honda Mobilio ใช้พื้นฐานเดียวกับ Brio วัสดุและการตกแต่งด้อยกว่า Ertiga อย่างชัดเจน สมรรถนะและการขับขี่โดยรวม ถือว่าดีกว่า Ertiga แต่เสียเปรียบในด้านความสะดวกสบาย ความกว้างขวางโอ่โถงของห้องโดยสาร เพราะ Ertiga ออกแบบให้เป็นรถ MPV ตั้งแต่แรก ส่วน Honda รุ่นที่เป็น MPV แท้ ๆ อย่าง Freed ก็ไม่ได้นำเข้ามาจำหน่ายอีกแล้วในประเทศไทย
ส่วน Toyota Avanza ที่คนไทยไม่ปลื้มเลย ล่าสุดมีการปรับปรุงในหลายด้าน โดยเฉพาะสมรรถนะที่หลายคนชื่นชมว่าดีขึ้น แต่ถ้ามองในด้านการใช้งานอเนกประสงค์ ความสะดวกสบายในห้องโดยสาร จำนวนที่นั่ง ก็ยังแพ้ Ertiga เกือบทุกด้าน
ในด้านบริการหลังการขายและอะไหล่ ทั้ง 3 ตัวเลือกในตลาดนี้ Honda ทำคะแนนได้ดีที่สุด เพราะศูนย์บริการที่ทุกคนมั่นใจได้ว่าบริการดี รวมทั้งไม่ต้องรออะไหล่จากอินโดนีเซียเป็นเวลานานมาก เรื่องงานบริการหลังการขายของ Suzuki และ Toyota เฉพาะในรุ่น Avanza ยังต้องปรับปรุงและสร้างความเชื่อมั่นกันต่อไป
ดูรายละเอียดสเปค Suzuki Ertiga และตารางเงินผ่อน เพิ่มเติมได้ที่
ใหม่ All New Suzuki Ertiga ซูซูกิ เออร์ติกา ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว Suzuki Ertiga 2016 รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ภายในกว้าง นั่งสบาย ราคาสุดคุ้ม "