TEST DRIVE : รีวิว TOYOTA FORTUNER 2.4L 4WD SIGMA4 ขับสนุก ลุยสบาย ในราคาที่คุ้มค่า
หลังจากช่วงเดือนกรกฎาคม 2015 โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถอเนกประสงค์ PPV รุ่นใหม่ All New Fortuner เจเนอเรชั่น 2 ออกมา ก็สร้างกระแสให้กับตลาดรถกลุ่มนี้กลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง ถัดมาในช่วงเดือนสิงหาคม 2017 โตโยต้าตอกย้ำความสำเร็จต่อเนื่อง ด้วยการส่ง FORTUNER รุ่นปรับปรุงใหม่สู่ตลาด โดยรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ยังคงใช้เครื่องยนต์ 2.8 ลิตรเช่นเดิม แต่มีการเพิ่มเติมรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล 2.4 ลิตร 4WD ที่มาพร้อมระบบ Sigma4 ทำตลาดในราคา 1,499,000 บาท เป็นอีกหนึ่งทางเลือกและเติมเต็มช่องว่างของตลาดระหว่างเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร และเบนซิน 2.7 ลิตร เสริมให้แก่ผู้สนใจยานยนต์อเนกประสงค์แบบ PPV
รูปลักษณ์ภายนอกปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
สำหรับแนวทางการดีไซน์ของ FORTUNER รุ่นปรับปรุงใหม่ ภาพรวมไม่มีอะไรแปลกตาไปมากนัก เพราะทุกอย่างแทบจะยึดรูปแบบเดิมเกือบทั้งสิ้น โดยในส่วนของรายละเอียดความเปลี่ยนแปลง จุดหลักๆ ที่พอสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ
การเปลี่ยนชุดไฟตัดหมอกจากหลอดธรรมดาเป็นแบบ LED ทั้งนี้ทางทีมวิศวกรให้เหตุผลก็เพื่อช่วยเพิ่มความสว่างไสวและเห็นได้ชัดเจนขึ้นในระยะไกล (ของเดิมนับว่าจ้ามากอยู่แล้ว) ส่วนไฟหน้ายังคงรูปแบบเดิม โปรเจคเตอร์แบบ Bi-Beam LED และเชื่อได้ว่าหลายคนที่ใช้รถใช้ถนนเป็นประจำจะเห็นได้ว่าลำแสงนั้นสว่างจ้ามากแค่ไหน บางคนที่มองผ่านกระจกหลังยังนึกว่าเปิดไฟสูงใส่ อย่างไรก็ดีหลังจากมีกลุ่มผู้ใช้รถต่างคอมเม้นท์มากมายบนโลกโซเชียล ทีมวิศวกรโตโยต้าก็ไม่นิ่งนอนใจ มีการนำข้อมูลเหล่านี้มาทบทวน พร้อมกับเผยว่า รุ่นปรับปรุงใหม่นี้มีการปรับระดับความสูงความลำแสงไฟให้ต่ำกว่าเดิมแล้ว อีกหนึ่งจุดที่แตกต่างจากรุ่นเดิมคือ บันไดข้างเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเงิน สำหรับไฟท้ายเป็น LED แบบ Light Guiding สีแดง-ใส ส่วนยางเป็นขนาด 265/60R18
ห้องโดยสารเสริมเติมเต็มความหรู เบาะปรับไฟฟ้าฝั่งผู้โดยสาร
ด้านภายในห้องโดยสารได้เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ด้วยเบาะคู่หน้าที่สามารถปรับเลื่อนตำแหน่งสูง-ต่ำ เลื่อน-เอนได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า ขณะที่เบาะนั่งถูกหุ้มด้วยหนังและวัสดุสังเคราะห์สีน้ำตาลเข้ม (2.8 4WD สีครีมชามัวส์) ขับทางไกลได้สบายยิ่งขึ้นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ขณะที่มาตรวัดคงสไตล์เดิมแบบเรืองแสง Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi-Information Display)-หน้าจอสี TFT ซึ่งสามารถมองเห็นทุกรายละเอียดได้ค่อนข้างคมชัด อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าการทำงานของระบบต่างๆ พร้อมแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการขับขี่ได้ง่ายๆ
บริเวณคอนโซลกลางมีระบบนำทาง (Navigator) พร้อมเครื่องเล่น DVD และจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ T-Connect และการเชื่อมต่อ Bluetooth ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ-ควบคุมแรงลมอัตโนมัติ ช่วยรักษาอุณหภูมิในห้องโดยสารให้เหมาะสม ถัดลงมาด้านล่างเป็นช่องต่ออุปกรณ์ USB, iPOD และ AUX รองรับการเชื่อมต่อความบันเทิงได้อย่างหลากหลาย ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่
นอกจากนี้เพิ่มความสะดวกด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่หลังพวงมาลัย (Paddle Shift) ส่วนบริเวณเพดานในตำแหน่งที่นั่งแถว 2 และ 3 มีระบบปรับแรงลมอัตโนมัติแบบ 2 ตอน พร้อมช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า DC 12 โวลต์ และกระแสไฟฟ้า AC 220 โวลต์ (กระแสไฟ 220 โวลต์ รองรับถึง 100 วัตต์) ด้านหลังพนักวางแขนกลางของเบาะคู่หน้า ส่วนเบาะแถวสามสามารถแบ่งส่วน 50/50 ปรับเอนและพับเก็บได้ และประตูท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
เบาะแถว 2 มีพื้นที่กว้าง หมดห่วงเรื่องหัวเข่าและขาจะติด
ส่วนเบาะแถวสามสามารถแบ่งส่วน 50/50 ปรับเอนและพับเก็บได้
มิติตัวรถ มิติภายนอก ยาว X กว้าง X สูง = 4,795 X 1,855 X 1,835 มม. ความยาวช่วงล้อ 2,750 มม. ความกว้างช่วงล้อ หน้า/หลัง 1,545/1,550 มม. ระดับต่ำสุดจากพื้น 193 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 ม. มิติภายใน ยาว X กว้าง X สูง = 2,487 X 1,478 X 1,103 มม.
เครื่องยนต์ 2.4 ไม่เปลี่ยนแปลงเน้นความแรงสไตล์เดิม
FORTUNER 2.4 ลิตร SIGMA4 ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมกับเครื่องยนต์คอมมอนเรล 2GD-FTV 4 สูบ 2,393 ซีซี VN Turbo 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดแบบ Flat torque 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,000 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift
โดยการขับคงรูปแบบการใช้งานจริงเหมือนในชีวิตประจำวันคือ เปิดแอร์ปกติ ขับใกล้-ไกล เผชิญรถติด-โล่ง ซึ่งเส้นทางที่ใช้เริ่มจากเขตเมืองกรุงเทพฯ ผ่านจราจรที่แออัด จากนั้นขับยาวถนนโล่งมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครนายก รวมระยะทางกว่า 150 กม. โดยช่วงแรกสามารถใช้ความเร็วได้ประมาณ 60-90 กม./ชม. สลับไปมา มีเบรกชะลอและเคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ ตามสภาพจราจรที่ค่อนข้างคับคั่ง ทั้งรถเล็กใหญ่และจักรยานยนต์ ซึ่งด้วยขนาดมิติตัวรถแน่นอนว่าหลายคนมักจะมองว่า ในเมืองแบบนี้คงจะไม่คล่องตัวเท่าไรนัก แต่หลังจากได้สัมผัสกันจริงๆ ก็รู้สึกได้ชัดว่าขับได้ง่ายและทัศนะวิสัยดี ทั้งจังหวะโยกซ้าย-ขวา เพื่อเบี่ยงเลนเลี่ยงช่องทางที่ติดขัด สามารถทำได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา ตรงกันข้ามสำหรับสุภาพสตรีก็อาจจะรู้สึกว่าพวงมาลัยหนักมือไปสักนิด แต่เชื่อว่าถ้าใช้ไปสักระยะก็น่าจะปรับตัวให้คุ้นเคยได้
เมื่อออกจากนอกเมืองโดยใช้เส้นทางรังสิต-นครนายก ถนนเริ่มโล่งสามารถขยับเพิ่มความเร็วได้มากขึ้น รวมทั้งยังได้ทดสอบทั้งการคอนโทรลรถ ระบบเบรก ระบบช่วงล่างและความสะดวกสบายเกือบตลอดเส้นทาง โดย
ความเร็ว 90 กม/ชม. ใช้รอบเครื่อง 1,400 รอบ/นาที
ความเร็ว 100 กม/ชม. ใช้รอบเครื่อง 1,500 รอบ/นาที
ความเร็ว 110 กม/ชม. ใช้รอบเครื่อง 1,750 รอบ/นาที
ความเร็ว 120 กม/ชม. ใช้รอบเครื่อง 1,800 รอบ/นาที
ความเร็ว 130 กม/ชม. ใช้รอบเครื่อง 2,000 รอบ/นาที
ความเร็ว 140 กม/ชม. ใช้รอบเครื่อง 2,200 รอบ/นาที
หลังจากขับไปสักระยะก็สัมผัสได้ว่า การตอบสนองของพวงมาลัยค่อนข้างไว ส่วนระบบเบรกด้านหลังเมื่อเปลี่ยนจากดรัมเบรกเป็นดิสก์เบรกแล้ว มีความแตกต่างแบบเห็นชัดเล็กน้อย แต่ในช่วงจังหวะกดแป้นเบรกพอรู้สึกว่าจับได้ไวขึ้น ส่วนระยะเบรกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไรนัก ส่วนสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่เล็กลงและต้องแบกกับตัวถังและชุดเกียร์ขับสี่ที่เพิ่มขึ้น พละกำลังที่มีใช้นับว่าเพียงพอ ต้นๆ ไม่อืดอาดหรือรอรอบอย่างที่คิด และเมื่อเส้นทางปรับเปลี่ยนเป็นแบบ 4 เลน สามารถใช้ความเร็วได้สูงขึ้น แต่การเพิ่มความเร็วจากจังหวะที่ความเร็วลอยตัวอยู่แล้ว อาจรู้สึกว่ารถไม่พุ่งทะยานเท่าที่ควร แต่ก็สามารถเร่งระดับได้แบบเรื่อยๆ
สำหรับช่วงล่างด้วยรถตัวเป็นแบบ PPV อาการโยนของรถก็มีให้สัมผัสบ้างในจังหวะที่เข้าโค้ง อย่างไรก็ดีภาพรวมๆ นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเหมาะสมกับประเภทของรถ เมื่อเข้าเขตเลี่ยงเมืองมุ่งหน้าสู่เขื่อนขุนด่านฯ เส้นทางบางช่วงมีการซ่อมแซมผิวถนน ทำให้มีการเบี่ยงเลนสลับไปมาเป็นระยะๆ ทำให้บางครั้งต้องเปลี่ยนเลนอย่างกะทันหันอยู่บ่อยๆ ซึ่งการควบคุมรถก็ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
FORTUNER รุ่นใหม่ ยังมีจุดเด่นคือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซิกม่าโฟร์ ซึ่งเลือกโหมดการขับขี่ได้ ทั้ง H2 H4 L4 ซึ่งผสานการทำงานร่วมกับระบบ DAC และ A-TRC แน่นอนว่าก็ต้องลองขับบนเส้นทางที่มีลักษณะเป็นทางลูกรังหรือทางทีพอมีอุปสรรค โดยการขับได้เลือกโหมดขับเคลื่อนเป็น L4 พร้อมใช้เกียร์ S1 ตลอดเส้นทาง เพื่อทดสอบกำลัง-แรงบิดของเครื่องยนต์ โดยใช้รอบเดินเบา ต่อด้วยการขับขึ้นเนิน โดยใช้รอบเครื่องยนต์คงที่ประมาณ 1,000 รอบ/นาที รถสามารถไต่ขึ้นได้เรื่อยๆ แบบต่อเนื่อง จากนั้นลองหยุดรถบริเวณหัวเนินพร้อมปล่อยเบรก เพื่อทดสอบระบบ HAC-Hill start Assist control หรือระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ปรากฏว่ารถค้างอยู่บนเนินประมาณ 3 วินาที โดยไม่ไหล จากนั้นเดินคันเร่งต่อนิ่งๆ แล้วขับลงเนินชัน โดยปล่อยให้รถไหลลงโดยไม่ต้องแตะเบรก เพื่อทดสอบระบบ DAC-Downhill Assist หรือระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ซึ่งก็รู้สึกได้ชัดเจนว่ารถเคลื่อนที่ลงเนินอย่างนุ่มนวลด้วยความเร็งคงที่ ช่วยเพิ่มปลอดภัยและสบายใจให้กับผู้ขับ
ในบางช่วงของเส้นทางก็มีลักษณะเป็นเนินสลับ ก็ช่วยให้ทำการทดสอบระบบ A-TRC Active Traction Control หรือระบบป้องกันล้อหมุนฟรีไปในตัว โดยการทำงานจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเซ็นเซอร์พบว่ามีล้อใดเริ่มสูญเสียแรงขับเคลื่อนในกรณีวิ่งผ่านพื้นถนนลื่น ระบบก็สั่งการให้เบรกจับที่ล้อนั้นๆ พร้อมกับลดแรงบิดที่ส่งไป ขณะเดียวกันก็เพิ่มแรงขับไปยังล้ออื่นที่เหลือ เพื่อให้รถมีแรงขับเคลื่อนผ่านอุปสรรคนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนระบบช่วงล่างนับว่ามีความยืดหยุ่นสูง สามารถทรงตัวในจังหวะการถ่ายเทน้ำหนักของรถจากเนินเอียงสลับซ้าย-ขวา ได้อย่างน่าประทับใจ
การรีวิว TOYOTA FORTUNER รุ่นปรับโฉม เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 4WD ทั้งบนเส้นทาง On Road และ Off Road สามารถสรุปเป็นข้อสังเกตได้ดังนี้
เริ่มที่รูปลักษณ์ภายนอกต้องยอมรับว่ามองเผินๆ แทบไม่เห็นถึงความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าสักเท่าไร ภายในห้องโดยสารจุดแตกต่างที่เพิ่มเข้ามาคือ เบาะฝั่งผู้ขับ-ผู้โดยสารสามารถปรับตำแหน่งสูง-ต่ำ เลื่อน-เอนได้ด้วยไฟฟ้า สำหรับอุปกรณ์อื่นๆ แทบไม่ต่างจากเดิม
ส่วนไฮไลต์คือ ขุมพลัง 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมเทคโนโลยีช่วยขับและระบบ Sigma4 นับว่าสมรรถนะนั้นเหลือเฟือ พอเพียงสำหรับการขับแบบ On Road ซึ่งตอบสนองการขับได้อย่างสนุก ช่วงความเร็วต้นๆ เรี่ยวแรงดีไม่อืดไม่รอรอบ แต่ช่วงกลาง-ปลายความเร็วอาจตื้อๆ ไปสักนิด ส่วนการขับบนเส้นทาง Off Road นับว่าขับได้มั่นใจ สามารถไต่ขึ้นเนินหรือตะลุยผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยแรงบิดที่มีอย่างเพียงพอ สำหรับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากรูปแบบการขับเสมือนใช้งานจริง ไม่ประคองคันเร่งใดๆ จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ประมวลผลออกมาที่ 11.0 กม./ลิตร
สำหรับระบบเบรกหลังแม้ปรับเปลี่ยนจากดรัมเป็นดิสก์ ซึ่งจากที่ได้สัมผัสระยะเบรกก็แทบไม่ต่างกันมาก แต่อาจดีขึ้นตรงที่ไม่ต้องกดแป้นเบรกลึกขึ้นกว่าเดิม และทั้งหมดเมื่อผสานกับหลายเทคโนโลยีความปลอดภัยที่จัดมาให้ บอกได้เลยว่า TOYOTA FORTUNER 2.4 ลิตร 4WD ต่างกับรุ่น 2.8 ลิตร 4WD แค่ส่วนสมรรถนะของเครื่องยนต์และราคาค่าตัวที่ถูกกว่า 150,000 บาท เท่านั้น ส่วนความอเนกประสงค์และการใช้งานอื่น รวมๆ นับว่าคุ้มค่าใกล้เคียงกันครับ
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
เบาะตอนแถว 3 ยังใช้ระบบแขวนน่าจะใช้แบบพับเหมือนปาเจโรนะ หมดยุคแล้วแบบแขวน โอกาสหน้าจะเปลี่ยนหรือเปล่าจะได้รอครับ