รีวิว Toyota Yaris Hatchback Minorchange 2023 ช่วงล่างนุ่ม ซ่อมบำรุงง่าย ระบบความปลอดภัยเกือบครบ แต่เครื่องอืด
Toyota Yaris Hatchback Minorchange 2023 แม้จะเป็นโฉมที่เปิดตัวมานานแล้ว แต่ก็ได้มีการปรับปรุงหน้าตา เพิ่มการตกแต่งให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือมมีการเพิ่มระบบความปลอดภัยเข้ามาเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งค่ายต่าง ๆ
ในวันนี้ 9Carthai จะพาเพื่อน ๆ ไปชมกันว่า Toyota Yaris Hatchback Minorchange 2023 จะเหมาะกับใครบ้างครับ
Toyota Yaris 2023 ราคา
รุ่น Sport 559,000.
รุ่น Smart 619,000.
รุ่น Premium 679,000.
รุ่น Premium S 694,000.
โดยรุ่นที่เรานำมารีวิวจะเป็นรุ่นท้อป Premium S
ภายนอก
มิติตัวรถ ยาว 4,160 มม. กว้าง 1,730 มม. สูง 1,500 มม. ระยะฐานล้อ 2,550 มม. ระยะต่ำสุดถึงพื้น 135 มม.
โดยรวมหากมองคร่าว ๆ รูปทรงและมิติยังคงคล้ายเดิม โดยเฉพาะทางด้านหลัง แต่ก็ถือว่ายังดูไม่เก่ามาก เพราะมีการปรับรายละเอียดชุดแต่งบางจุดเข้ามาทำให้ดูทันสมัย ซึ่งในแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
ด้านหน้า มีการปรับดีไซน์กันชนหน้าและกระจังหน้าใหม่สไตล์ Hammer head เป็นการเพิ่มลายเส้นและมิติให้มีความดุดันมีเหลี่ยมมุมมากขึ้น ลายรังผึ้งด้านล่างดูสปอร์ต มีแถบเส้นโครเมียมยาวผสมความหรูหราไม่ให้ด้านหน้าดูทึบจนเกินไป
กันชนหน้ามีการออกแบบคล้ายการเจาะช่องจัดเรียงอากาศเหมือนรถสมรรถนะสูง แต่ไม่ได้เจาะช่องที่ใช้งานได้จริง เป็นเพียงการทำลวดลายเพื่อความสวยงามเท่านั้น ซึ่งก็ดูลงตัว ไม่เยอะหรือน้อยจนเกินไป
บางคนอาจจะไม่ชอบการออกแบบลักษณะนี้เพราะดูปลอมไม่สมจริง แต่ในปัจจุบันแม้กระทั่งรถแบรนด์ยุโรปก็มีการออกแบบคล้ายกันนี้เพื่อเพิ่มมิติให้ตัวรถ
ด้านหน้ามีระบบช่วยเหลือที่สำคัญอยู่คือ ตรา Toyota และกล้องด้านหน้า สำหรับระบบ Precollision warning และกล้อง 360 องศา โดยระบบนี้เป็นเพียงแค่การเตือนการชนเท่านั้น ยังไม่ได้ช่วยเบรกแต่อย่างใด
ไฟหน้าแบบ LED มีไฟ DRL แสงสีขาว มองเห็นได้ชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน เสียดายที่ไฟเลี้ยวด้านหน้ายังเป็นแบบหลอดไส้ธรรมดาอยู่
หากมองในแง่การใช้งานระยะยาวนั้นไฟเลี้ยวแบบหลอดไส้จะมีราคาอะไหล่ที่ถูกกว่า แต่ทั้งนี้ต้องแจ้งว่ารถ City Car จากค่ายอื่น ๆ อย่าง Nissan Almera หรือ Honda City ให้ไฟเลี้ยวแบบ LED มาทั้งคันแล้ว ทำให้ดูสวยงามทันสมัยกว่าแบบสังเกตได้
Toyota Yaris Hatchback ให้กระจกด้านหน้ามาแบบ Acoustic glass โดยจะได้กระจกนี้ตั้งแต่รุ่น Smart ขึ้นมา (รุ่น Sport ล่างสุดไม่ได้) ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดเสียงลมและเสียงจากด้านหน้าได้ระดับนึงเลยทีเดียว
หากสังเกตด้านบนตรงกลางกระจกจะพบกับกล้อง Wide angle สำหรับระบบช่วยเหลืออื่น ๆ และทาง Toyota ได้มีการติดกล้องบันทึกหน้ารถมาให้จากโรงงาน เก็บงานมาเรียบร้อยไม่เกะกะ ไม่ต้องไปหาติดเพิ่มเองให้ลำบาก
Toyota Yaris Hatchback มีการตกแต่งแบบสีทูโทน โดยเป็นการติดสติ๊กเกอร์สีดำเพิ่มเข้ามา
แวะมาดูรายละเอียดการเก็บงานภายในห้องเครื่อง ซึ่งมีแผ่นกันความร้อนที่ฝากระโปรงมาให้มาให้ โดยจะได้ตั้งแต่รุ่น Smart ขึ้นมา (รุ่น Sport ล่างสุดไม่ได้)
กระจกมองข้างสีดำเงาเข้ากับชุดตกแต่งส่วนอื่น ๆ มีระบบ Blind Spot Assist เตือนมุมอับสายตาเวลามีรถวิ่งมาด้านข้าง ซึ่งต้องบอกว่าทำงานรวดเร็วมาก รถจักรยานยนต์ขับแทรกมาทางด้านข้างก็จับวัตถุและแสดงไฟได้ตั้งแต่ไกล เหมาะกับผู้ขับขี่มือใหม่สุด ๆ
ปลายกระจกมีไฟเลี้ยวแบบหลอดไส้ติดอยู่ โคนกระจกด้านล่างเป็นกล้องด้านข้างสำหรับระบบกล้อง 360 องศา ช่วยเวลาเลี้ยวในที่แคบหรือจอดเข้าซองได้ดี ภาพชัดระดับหนึ่ง ส่วนตัวรู้สึกว่าตำแหน่งกล้องที่โคนกระจกแบบนี้สวยกว่ากล้องที่อยู่ปลายกระจก
สังเกตที่ฐานก้านกระจกมีเหมือนปีกนูนเป็นเส้นเล็ก ๆ ขึ้นมา ตรงนี้มีส่วนช่วยในการจัดเรียงอากาศให้ไหลผ่านช่องกระจกมองข้างไปได้ราบเรียบที่สุด และมีส่วนช่วยในการลดเสียงลมทางด้านข้างอีกด้วย
ด้านข้างตัวรถมีเส้นสายลากยาวจากซุ้มล้อด้านหน้าลากเหนือมือจับประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ต่อเนื่องไปยังไฟท้าย ทำให้ตัวรถดูไม่เรียบจนเกินไป ฝาถังน้ำมันอยู่ทางฝั่งซ้าย ถังน้ำมันมีความจุ 42 ลิตร
ที่มือจับประตูฝั่งคนขับมีปุ่มล็อค/ปลดล็อคที่ใช้กับกุญแจ Keyless แค่พกไว้ใกล้ ๆ ไม่ต้องหยิบมากดอะไรเลย สะดวกสบายตามยุคสมัยปัจจุบัน
ล้อและยางให้มาขนาด 185/65 ขอบ 15 นิ้วเท่ากันหน้าหลัง ขนาด 15 นิ้วอาจดูไม่สปอร์ตเท่า Honda City ที่ให้ล้อขอบ 16 นิ้วมา แต่ Eco Car แบรนด์อื่น ๆ ก็ให้ขอบ 15 นิ้วมาเช่นกัน ซึ่งช่วยในด้านความนุ่มนวลและอัตราการบริโภคน้ำมัน
ลวดลายล้อมาเป็นแบบทูโทน ค่อนข้างสวยมีมิติ ดีที่ให้ล้อแบบนี้มาช่วยให้รถดูไม่เก่าแม้จะเป็นโมเดลที่ออกมานานแล้วก็ตาม
ซุ้มล้อทางด้านหน้ามีการเก็บงานเป็นพลาสติกกันในซุ้มล้อ แต่ทางล้อหลังไม่มีชิ้นพลาสติกใด ๆ มีเพียงแต่การพ่นสีดำไว้เท่านั้น เวลาขับขี่ผ่านกรวดทรายก็จะได้ยินเสียงหินทรายดีดกระทบกับเหล็กได้
เบรกด้านหน้าดิสก์ ด้านหลังดรัมเบรก เน้นใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นสมรรถนะอะไรมากมาย แต่ก็มีระบบกระจายแรงเบรกและป้องกันล้อล็อคเพื่อความปลอดภัยมาให้
ทางด้านท้ายพบกับปีกสปอยเลอร์ขนาดกำลังดีไม่ใหญ่ไม่เล็ก ซึ่งต้องบอกเลยว่ารถทรง Hatchback ถ้าไม่มีสปอยเลอร์อาจทำให้ตัวรถดูไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ให้ชุดแต่งมาเลยแบบนี้ทำให้ดูลงตัวกว่า
โดยสปอยเลอร์นี้มีรูปทรงสอดรับกับโค้งบนหลังคา ตรงกลางหลังคามีเสาอากาศ Shark fin และถัดลงมาที่บริเวณกระจกหลังมีใบปัดน้ำฝนหลังมาให้
ด้านหลังมีไฟท้าย LED light guide สวยงาม สังเกตที่โคมไฟท้ายทำดีไซน์ครีบจัดเรียงอากาศ 2 เส้นสอดรับกับด้านหน้า ไฟเลี้ยวแบบหลอดไส้ธรรมดา มีไฟเบรกดวงที่ 3 อยู่ใต้ปีกสปอยเลอร์
ตรงกลางระหว่างไฟเลี้ยวตกแต่งด้วยชิ้นพลาสติดสีดำ Piano Black มีการซ่อนกล้องมองหลังเอาไว้มุมมองชัดเจนดี
การตกแต่งที่ฝาท้ายฝั่งซ้ายมีโลโก้ YARIS ตัวนูนสีโครเมียม ที่มุมของกันชนหลังทั้ง 2 ข้างออกแบบเป็นช่องจัดเรียงอากาศที่มาจากซุ้มล้อ เป็นชิ้นพลาสติกดำด้านสอดรับกับด้านหน้า แต่เช่นเดียวกันคือเป็นเพียงแค่การตกแต่งเท่านั้นไม่สามารถใช้งานได้จริง
ที่โดดเด่นที่สุดคือการตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์ด้านล่าง เพิ่มความสปอร์ตให้ตัวรถ หากสังเกตจะพบว่าทำพื้นผิวเป็นลายคาร์บอนด้วย
ที่เก็บสัมภาระด้านหลังเปิดแบบแมนนวลมีโช๊คช่วยดันขึ้น แต่ช่วงแรกของการเปิดยังคงต้องใช้แรงเยอะอยู่ ที่ฝาปิดทำมือจับเอาไว้สำหรับเวลาปิดก็จับได้ถนัด ไม่จำเป็นต้องจับที่ด้านนอกทำให้มือเลอะ
พื้นที่เก็บของสามารถเก็บของทรงสูงได้ดี แต่ด้านลึกอาจจะไม่มากเท่ารถทรง Sedan โดยรวมถือว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป ภายในมีไฟหลอดไส้ 1 ดวงทางด้านซ้าย และมีที่เกี่ยวแขวนของรองรับน้ำหนักได้ประมาณ 2 กก.
หากมีสัมภาระเยอะสามารถขยายพื้นที่ได้โดยการพับเบาะหลังแบบ 60:40 ซึ่งการพับเบาะทำได้จากกดสลักที่บริเวณเบาะหลัง ต้องเดินไปกดจากประตูโดยสารหลัง โดยเมื่อพับเบาะแล้วจะได้พื้นที่แนวลึกเพิ่มขึ้น แต่มีข้อสังเกตคือพื้นของที่เก็บของจะไม่ได้เรียบ มีต่างระดับจากเบาะที่พับลงไป
ด้านล่างที่เก็บสัมภาระจะเป็นชุดปะยางวางอยู่ในหลุมล้ออะไหล่ ทำโฟมเป็นช่องสำหรับเก็บของได้
พื้นที่ภายในห้องโดยสาร
ที่โดยสารตอนหลังมีประตูเปิดได้กว้างปานกลางและหลังคารถค่อนข้างต่ำ ใครมีส่วนสูง 170 ซม. ขึ้นไปเวลาเข้า-ออกต้องก้มศีรษะหลบให้ดี
ที่บริเวณประตูมีการบุนุ่มด้วยวัสดุหนังสีแดงตรงที่วางแขนแค่จุดเดียว ที่เหลือเป็นพลาสติกแข็งทั้งหมด อีกทั้งมือจับเปิดประตูและปุ่มเปิด-ปิดกระจกให้ความรู้สึกเวลาสัมผัสใช้งานที่ประหยัดมาก ด้านล่างมีช่องวางขวดน้ำขนาด 500 มล. ได้และเหลือที่เก็บของนิดหน่อย ถัดเข้าไปเป็นลำโพง
เบาะนั่งในรุ่น Premium S ตกแต่งสีแดงเข้ม หากใครต้องการระบบความปลอดภัยแบบรุ่น Top แต่ไม่อยากได้เบาะสีแดงสามารถดูรุ่น Premium ธรรมดาได้ โดยเบาะรุ่นที่เรารีวิวมีการเย็บลวดลายมาสวยงาม มีความนุ่มอยู่ในระดับที่พอดี ความยาวเบาะรองน่องกำลังดีไม่สั้นเกินไป หนักพิงเอนปานกลาง ไม่รู้สึกชัน หากต้องนั่งโดยสารทางไกลนาน ๆ ถือว่าใช้ได้ดีเลยทีเดียว เสียดายที่รุ่นนี้ไม่มีที่พักแขนตรงกลางมาให้
เมื่อผู้ทดสอบสูง 170 ซม. ลองนั่งดูพบว่ามีพื้นที่หัวเข่าเหลือประมาณคืบกว่า ๆ และพื้นที่เหนือศีรษะเหลือประมาณ 1 กำปั้น เมื่อให้ผู้ทดสอบอีกคนสูง 180 ซม. ลองนั่งดูพบว่าพื้นที่เข่าเหลือประมาณ 1 กำปั้น และพื้นที่เหนือศีรษะเหลือประมาณ 1 นิ้วเท่านั้น
สำหรับที่นั่งผู้โดยสารตรงกลางจะมีเข็มขัดนิรภัยมาให้ เก็บได้โดยแขวนไว้ที่เพดานด้านบนตรงที่เก็บสัมภาระด้านท้าย และที่โดยสารด้านหลังมี ISO FIX สำหรับ Car seat ทารกมาให้ 2 ตำแหน่งด้วยกัน
สิ่งอำนวยความสะดวกด้านหลังมีไฟเพดานสีส้ม ยังไม่มีแอร์หลัง (ในคลาสเดียวกันมีแค่ ATIV ที่มีแอร์ตอนหลัง) มีช่องจ่ายไฟ USB type C แบบมีฝาปิดมาให้ 2 จุด ลองชาร์จจริงถือว่าชาร์จได้เร็วระดับนึงเลยทีเดียว สำหรับมือจับด้านบนมีมาให้ทั้ง 4 ตำแหน่งเลย
ในส่วนของความรู้สึกการนั่งด้านหลังถือว่าให้สิ่งอำนวยความสะดวกมาเพียงพอ ถึงจะยังไม่มีแอร์หลังมาให้แต่แอร์จากทางด้านหน้าก็ถือว่าเพียงพอแล้ว (เย็นมาก ๆ) เบาะนั่งสบาย เสียดายที่ไม่มีที่พักแขน วัสดุการตกแต่งเน้นใช้งานมากกว่าความหรูหรา ความรู้สึกกระจกข้างไม่กว้างมาก แต่ก็ไม่แคบเท่า Mazda 2
พื้นที่โดยสารตอนหน้าเริ่มจากฝั่งผู้โดยสาร มีที่บังแดดมาพร้อมกับกระจกแต่ไม่มีไฟในตัว (ทั้ง 2 ฝั่ง) เมื่อพับที่บังแดดออกไปด้านข้างไม่สามารถยืดออกได้อีก มีที่จับด้านบนทุกตำแหน่งตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ถือว่าดีที่ให้มาครบ
บานประตูเปิดได้กว้างกว่าทางด้านหลัง ขึ้น-ลงสะดวก ตกแต่งด้วยพลาสติกเป็นส่วนมาก มีการบุนุ่มเฉพาะที่วางแขนสีแดงทำให้ดูหรูหราขึ้น แต่มือจับเปิดประตูด้านในสีเงินเวลาใช้งานรู้สึกเหมือนวัสดุลดต้นทุน ด้านล่างมีช่องใส่ขวดน้ำขนาด 500 มล.ได้ 1 ขวด พร้อมลำโพงอีกจุด
ทางด้านหน้าเป็นชิ้นพลาสติกขึ้นรูปสีดำทำลายตะเข็บเย็บทั้งชิ้น กรอบช่องแอร์สี Satin Silver ลากยาวเป็นเส้นแนวนอนทำให้ด้านหน้าดูมีมิติไม่แข็งทื่อจนเกินไป
ที่เก็บของด้านหน้าเวลาเปิดจะค่อย ๆ เลื่อนเปิดอย่างช้า ๆ แบบ Soft ไม่กระแทกให้ตกใจ ดูใส่ใจดี ภายในแบ่งช่องเก็บของเป็น 2 ฝั่ง ทางซ้ายขนาดใหญ่กว่า ทางขวาช่องเล็กพอใส่เล่มทะเบียนได้
ประตูฝั่งผู้ขับขี่ตกแต่งเหมือนกับทางฝั่งผู้โดยสาร เพิ่มปุ่มปรับกระจกมองข้างแบบไฟฟ้า ปุ่มล็อค-ปลดล็อคประตูรถ ปุ่มล็อคกระจกด้านหลัง (เผื่อกรณีที่มีเด็กเล็กที่อาจจะไปเผลอกดอันตราย) และปุ่มปรับกระจกทั้ง 4 บาน แต่จะเป็นแบบ Auto แค่ทางฝั่งผู้ขับขี่บานเดียว
เข้ามาภายในจะเจอกับเบาะสีทูโทนแดงเข้ม-ดำ ซึ่งหากใครไม่ชอบเบาะสีแดงก็สามารถเลือกรุ่น Premium ได้
นอกจากจะทำลวดลายบนเบาะมาสวยงามแล้วยังนั่งได้สบายอีกด้วย ที่พิงศีรษะไม่แข็งและไม่ดันไปข้างหน้า อยู่ในตำแหน่งที่พิงคอไปได้สบาย ซึ่งทาง Toyota ได้ออกแบบเบาะนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่คอและศีรษะจากการถูกชนด้านท้าย (Whiplash injury) อีกด้วย
ตัวเบาะมีความคล้ายเบาะรถแข่งคือมีปีกโอบรับแผ่นหลังช่วงตัวและช่วงขา เมื่อลองนั่งแล้วปีกเบาะช่วงตัวค่อนข้างกว้าง ผู้ทดสอบที่ตัวไม่ใหญ่มากนั่งได้สบายไม่อึดอึด แต่ช่วงขาปีกเบาะค่อนข้างกระชับพอดีตัว ใครที่ตัวใหญ่มาก ๆ อาจจะนั่งแล้วไม่สบาย เว้นแต่ว่าจะชอบเบาะแนวสปอร์ต
ส่วนฟองน้ำที่เบาะต้องบอกว่านิ่มกำลังดี ขับขี่นาน ๆ 1 – 2 ชั่วโมงก็ไม่เมื่อยล้ามากนัก และแถมให้อีกจุดคือ Toyota Yaris Hatchback คันนี้สามารถปรับระดับเข็มขัดนิรภัยด้านหน้าได้ (Honda City, Nissan Almera ปรับไม่ได้)
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงกลมหุ้มหนังเรียบเนียนดี ตรงกลางเป็นชิ้นพลาสติกทำลายตะเข็บเย็บไม่ใช่หนังเหมือนวงด้านนอก ทางซ้ายเป็นปุ่มควบคุมเพิ่ม-ลดเสียง รับสาย รวมถึงการควบคุมหน้าจอกลางขอรถ
ทางขวาเป็นปุ่มควบคุมจอเรือนไมล์ดิจิตอลหน้าผู้ขับขี่ สามารถเลือกดูเมนู Reset Trip เลือกเปิด-ปิดหรือตั้งค่าระบบความปลอดภัยอย่าง LDA (เตือนรถออกนอกเลน) และ PRS (เตือนการชนด้านหน้า) ได้
พวงมาลัยนี้มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ การปรับตำแหน่งทำได้แค่ 2 ทิศทางคือขึ้นและลงเท่านั้น ไม่สามารถเลื่อนเข้าออกได้ ซึ่งส่วนตัวผู้ทดสอบพบว่าไม่สามารถหาตำแหน่งการขับขี่ที่ “ดีที่สุด” ได้จากพวงมาลัยตัวนี้ที่ปรับเข้าออกไม่ได้
ทางด้านขวาของพวงมาลัยเป็นปุ่มควบคุมระบบต่าง ๆ เช่น BSM (เตือนมุมอับสายตา), TCS , PRS, Stop & Start system, LDA ซึ่งการมีปุ่มแยกออกมาแบบนี้ทำให้สะดวกและรวดเร็วกว่าการปรับจากหน้าจอ และทางด้านล่างปุ่มควบคุมเป็นช่องเก็บของเล็ก ๆ ใส่เหรียญได้
ตรงกลางด้านบนมีไฟส่องสว่างในรถแบบสีส้มธรรมดา กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติซึ่งใช้งานได้สะดวกและดีกว่าแบบปรับด้วยมือ (Honda City, Nissan Almera ปรับด้วยมือ) ข้าง ๆ กระจกมองหลังมีกล้อง wide angle ทางด้านหน้าและกล้องบันทึกภาพจากโรงงานมาให้เลย เก็บงานเรียบร้อยดีไม่ต้องหาติดเอาเองทีหลัง
ถัดมาหน้าจอกลางแบบสัมผัส 9 นิ้วแสดงผลแผนที่และระบบอินโฟเทนเมนต่าง ๆ รวมถึงแสดงภาพ 360 องศาจากกล้องมองรอบคัน โดยเราสามารถเลือกมุมมองได้เองด้วย เวลาเข้าเกียร์ถอยหลังหรือเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะนำภาพขึ้นมาแสดงทันที มองเห็นชัดเจนดีมากใช้งานสะดวก
เสียดายที่เส้นกะระยะยังไม่หมุนตามพวงมาลัย แต่ให้มาเท่านี้ก็ถือว่าจัดเต็มแล้ว (Honda City Turbo ยังมีมาแค่กล้องหลังเท่านั้นเอง)
จอตรงกลางสามารถเชื่อมต่อกับระบบ Apple carplay และ Android auto ได้ผ่านสายแบบ USB-A จากช่องบริเวณหน้าจอ ส่วนตัวใช้แล้วไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรมาก แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าการใช้จุดเชื่อมต่อผ่านสายบริเวณนี้ค่อนข้างเกะกะ ต้องโยงสายผ่านปุ่มควบคุมแอร์ ที่วางแก้วและคันเกียร์ ใครไม่ชอบอาจจะรำคาญได้
ด้านล่างหน้าจอเป็นช่องแอร์ปรับด้วยมือใช้งานสะดวก และปุ่มปรับแอร์แบบโซนเดียว ต้องยอมรับเลยว่าแอร์ของ Toyota เย็นที่สุดในบรรดาค่ายรถต่าง ๆ สู้แดดเมืองไทยได้ดีมาก ๆ
ปุ่มปรับแอร์เรียบ ๆ ต้องใช้เวลาปรับตัวสักเล็กน้อย เมื่อชินแล้วก็ใช้งานได้สะดวกดี ติดตรงที่เป็นชิ้นพลาสติกดำเงาซึ่งทำให้เกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย แต่โดยรวมถือว่าโอเคแล้ว
ต่อเนื่องมาทางด้านล่างมีที่วางแก้วแบบไม่มีเขี้ยวล็อคอีก 2 ตำแหน่ง ตกแต่งด้วยไฟส่องสีฟ้าเหมือน Ambient light เพิ่มความหรูหราได้เล็กน้อย เกียร์เป็นแบบขั้นบันได เบรกมือแบบธรรมดา
ข้าง ๆ เบรกมือมีช่องวางของเล็ก ๆ เอาไว้วางโทรศัพท์ได้ (รุ่น Max หรือ Plus อาจจะวางไม่ได้) และมีช่องจ่ายไฟ 12V ต้องหาตัวแปลงมาเพิ่ม
ตรงกลางจะมีช่องเก็บของอีกจุด ฝาปิดบุนุ่มด้วยหนังสีแดงทำเหมือนที่วางแขนตรงกลาง แต่ตำแหน่งเยื้องไปด้านหลังเยอะมาก ทำให้ไม่สามารถวางแขนอีกข้างได้ เวลาผู้ขับขี่ใช้งานจะวางแขนได้แค่ข้างขวาข้างเดียว
ถ้าหากต้องการวางแขนซ้ายด้วยต้องขยับเบาะไปด้านหลังเยอะจนทำให้ต้องเอื้อมจับพวงมาลัย เพราะพวงมาลัยปรับเข้า-ออกไม่ได้ ถ้าปรับให้วางแขนได้ทั้ง 2 ข้างน่าจะสบายกว่านี้
การขับขี่
เครื่องยนต์ Dual VVT-iE รหัส 3NR-FKE ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ DOHC ให้กำลัง 92 HP ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิด 106 Nm ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Super CVT-i
ช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง Torsion Beam พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรกด้านหน้าดิสก์เบรก ด้านหลังดรัมเบรก
การตอบสนองของคันเร่งและเครื่องยนต์ เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้มาอย่างยาวนาน ไม่ได้มีระบบอัดอากาศเข้ามาช่วย ทำให้การตอบสนองค่อนข้างช้าโดยเฉพาะรอบรอบต้น 0 – 2,500 รอบ/นาที หลังจากนั้นก็ให้กำลังมาเรื่อย ๆ ไม่ได้หวือหวาหรือรู้สึกขับสนุก
การเร่งแซงในความเร็ว 80 – 100 กม./ชม. ต้องเผื่อระยะให้มาก โดยเฉพาะการแซงเลนที่วิ่งสวนกัน อัตราเร่งช้า แซงไม่ทันใจ หากเป็นการขับขี่ในความเร็วต่ำหรือการออกตัวอาจต้องเหยียบคันเร่งเยอะหน่อย ส่วนเกียร์ Super CVT-i ทำให้การตอบสนองนุ่มนวล ไม่กระตุกในความเร็วต่ำ
แม้ความแรงจะไม่ใช่จุดเด่น แต่เครื่องยนต์ตัวนี้มีระบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อนทำให้ดูแลรักษาง่าย รอบการเช็คระยะยาวกว่ารถที่มี Turbo ที่สำคัญคือประหยัดน้ำมัน โดยมีอัตราบริโภคน้ำมันจากการขับขี่ในเมืองอยู่ที่ 14-15 กม./ลิตร ขับขี่ต่างจังหวัด 18 กม./ลิตร เรียกได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่เน้นแรง แต่เน้นประหยัดน้ำมันและซ่อมบำรุงง่าย
พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า ESP เมื่อขับขี่จริงพบว่า มีการหน่วงหนืดแปรผันตามความเร็ว สำหรับการขับขี่ทั่วไปถือว่ากำลังดี ในความเร็วต่ำก็เบาควบคุมง่าย ความเร็วสูงหนักขึ้นแต่ไม่ได้หนักจนเกินไป
แต่ชุดบังคับเลี้ยวนี้มีจุดสังเกตอย่างนึงคือ มีระยะฟรีค่อนข้างเยอะ ทำให้การเข้าโค้งแรง ๆ หรือเปลี่ยนช่องการจาจรในความเร็วสูงมีความแม่นยำน้อย แม้ว่าเครื่องยนต์จะทำความเร็วได้ถึง 120 กม./ชม. แต่ก็ไม่เหมาะกับการมุดแซงซ้ายขวาในความเร็วสูง
ช่วงล่างดีกว่าที่คิดไว้ การขับผ่านหลุมบ่อทางขรุขระทำได้ค่อนข้างนุ่มนวลเมื่อเทียบกับรถในกลุ่ม City Car ด้วยกัน ไม่ได้รู้สึกกระแทก เมื่อขับขี่ในความเร็วสูงก็ยังคงนุ่มนวลอยู่ เปลี่ยนช่องการจราจรหรือเข้าโค้งทำได้มั่นใจดี (Honda City, Mazda 2 มั่นใจกว่า) ทั้งนี้หากมีผู้โดยสารตอนหลังก็ควรลดความเร็วไม่ให้เวียนหัว ส่วนระบบเบรกทำได้ดีตามรถใช้งานทั่วไป
ในส่วนของการเก็บเสียงค่อนข้างดี แทบไม่ได้ยินเสียงลมจากทางด้านหน้า เสียงส่วนใหญ่เกินจากการสั่นของชิ้นพลาสติกตามจุดต่าง ๆ ในรถซึ่งได้ยินบ่อยมาก แม้จะไม่ได้ดังเท่าไหร่ แต่สำหรับคนไม่ชอบน่าจะรำคาญแน่นอน
ระบบความปลอดภัย
เสียดายที่ยังไม่มี Adaptive Cruise Control, ระบบช่วยเบรกก่อนการชน และระบบช่วยดึงพวงมาลัยกลับเข้าเลน
เทียบกับรุ่นอื่น ๆ เป็นอย่างไร
Honda City รุ่น RS 739,000. แพงกว่า 45,000 บาท ได้ล้อ 16 นิ้ว มาพร้อมไฟ Full LED เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าปรับระดับไม่ได้
พวงมาลัยมี Paddle shift มีช่องจ่ายไฟ แต่ไม่มีแอร์หลังมาให้ (เหมือนกัน)
มีระบบ Cruise control มีแค่กล้องมองหลังเท่านั้น
เครื่องยนต์ Turbo แรงกว่าแต่ต้องดูแลเยอะกว่า เน้นสมรรถนะทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่างรวมถึงพวงมาลัยให้ความรู้สึกการขับขี่มั่นใจสปอร์ตกว่า
Nissan Almera รุ่น VL 699,000. แพงกว่า 5,000 บาท ชุดแต่งภายนอกสวยงามไม่แพ้กัน แต่ภายในบุนุ่มมาเยอะกว่า ดูพรีเมียมกว่ามาก
ให้เบาะแบบสะท้อนความร้อน เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าปรับระดับไม่ได้ มีช่องจ่ายไฟด้านหลัง 1 จุด ไม่มีแอร์หลัง (เหมือนกัน) ด้านหน้าที่ชาร์จไร้สาย
พวงมาลัยแบบท้ายตัด มี Cruise control กระจกมองหลังเฟรมเลส (ดูสวย) แต่ตัดแสงแมนนวล ได้กล้อง 360 ใช้งานดี เครื่องยนต์ขับสนุกกว่า ช่วงล่างแข็งกว่า
Toyota Yaris Ativ 699,000. มีแอร์หลังมาให้ เครื่องยนต์ความรู้สึกคล้ายกัน มาพร้อมเบรกมือไฟฟ้า หน้าจอเรือนไมล์ Full Digital
เพิ่มระบบช่วยดึงรถกลับเข้าเลนและระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ รวมถึง Adaptive Cruise control + stop and go ถือว่า Option ครบกว่า
Mazda2 เครื่องเบนซิน 1.3 SP 730,000. แพงกว่า 36,000 บาท ภายในพรีเมียมที่สุด แต่ผู้โดยสารตอนหลังแคบ
เครื่องไม่เน้นแรง แต่สมรรถนะด้านอื่นโดดเด่นที่สุด Option เต็ม
พวงมาลัยช่วงล่างคมที่1 ช่วงล่างเน้นมั่นใจมากกว่าสบาย ค่าศูนย์บริการแพง และราคาขายต่อก็ขาดทุนมากกว่า
ข้อดี
ประหยัดน้ำมัน เครื่องดูแลง่าย ช่วงล่างนุ่ม มีกล้องมองรอบคัน 360 องศา ได้กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
ราคาขายต่อดี ศูนย์บริการเยอะ อู่ข้างนอกก็ซ่อมได้ อะไหล่ไม่ต้องรอนานเหมือนแบรนด์อื่น ๆ อะไหล่หาง่ายทั้งของศูนย์และของนอก
ข้อเสีย
โฉมนี้อยู่มานานแล้ว การตกแต่งภายในเป็นพลาสติกเยอะ วัสดุดูประหยัด
เครื่องยนต์ยังอืดพอใช้งานทั่วไป ยังไม่มี Cruise control ยังไม่มีระบบช่วยเบรกก่อนการชน และระบบช่วยดึงรถกลับเข้าเลน
พวงมาลัยมีระยะฟรีเยอะ ใช้สติ๊กเกอร์ทูโทน
สรุป
หน้าตาตัวรถมีการปรับให้ทันสมัยสวยงาม แม้รูปร่างโดยรวมจะคล้ายเดิมแต่ถือว่ายังดูไม่เก่า การตกแต่งภายในบุนุ่มมาน้อยและใช้พลาสติกเยอะ
เบาะนั่งสบายปานกลางแล้วแต่สรีระของแต่ละคน จุดจ่ายไฟให้มาครบ แอร์เย็นกว่าค่ายอื่นเหมาะกับประเทศไทย
กล้อง 360 องศาที่ให้มามีหลายมุมและจอแสดงผลชัดเจน ดูง่าย ใช้งานสะดวก ใช้งานได้จริง
เสียดายที่ยังไม่มี Cruise control ยังไม่มีระบบช่วยเบรกก่อนการชนและระบบช่วยดึงรถกลับเข้าเลน
ในส่วนการขับขี่ เหมาะกับการขับที่ไม่รีบ ไม่แซงกระชั้นชิด ไม่ปาดซ้ายขวา เพราะเครื่องยนต์ตอบสนองช้า พวงมาลัยมีระยะฟรีเยอะ แต่เครื่องยนต์เน้นความประหยัดน้ำมัน บำรุงรักษาง่าย
ช่วงล่างนุ่มสบายเหมาะกับใช้ทุกวันมากกว่าช่วงล่างแข็ง ๆ หากคิดว่าตัวนี้แพงไฟหรือตกแต่งเยอะไปสามารถเลือกรุ่นรองท้อปซึ่งได้ระบบความปลอดภัยเท่ากัน
โดยรวมแล้วหากใครต้องการรถที่มีช่วงล่างนุ่มสบาย ไม่เน้นขับเร็ว ไม่แซงบ่อย เน้นความประหยัด ดูแลง่าย ไม่ต้องการใช้ครูซคอนโทรล รุ่นนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
อ่านรีวิวเพิ่มเติมที่ 9Carthai
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " รีวิว Toyota Yaris Hatchback Minorchange 2023 นุ่มดี ดูแลง่าย ระบบความปลอดภัยเกือบครบ แต่เครื่องอืด "