TEST DRIVE : รีวิว Honda City 2014 ล้ำเหนือใคร ไปให้ถึงคำว่าที่สุด
ALL NEW HONDA CITY 2014
ถือเป็นรถยนต์ที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะครั้งนี้ฮอนด้าจัดเต็ม ใส่ลูกเล่นสุดล้ำมากมายเข้ามาไว้ในรถยนต์รุ่นนี้แบบว่าแทบจะไม่มีกั๊กไว้แล้ว เพื่อความหวังที่จะขึ้นแท่นอันดับ 1 ในตลาด Compact car
Honda City 2014เปิดตัวด้วยราคาที่ถือว่าไม่สูงจนเกินไป มีด้วยกัน 6 รุ่นย่อย
– S MT 550,000 บาท
– S AT 589,000 บาท
– V 649,000 บาท
– V+ 689,000 บาท
– SV 734,000 บาท
– SV+ 749,000 บาท
หมายเหตุ : สีเมทัลลิค เพิ่ม 2,000 บาท สีมุก เพิ่ม 8,000 บาท
ดีไซน์ใหม่หมดจดรอบคัน โฉบเฉี่ยว
ดีไซน์ด้านหน้า ถอดแบบมาจาก Honda Civic
โดยรวมถือว่าด้านหน้า สวยงามมากกว่ารุ่นเก่าอย่างมาก ถุกใจแฟนๆ ของฮอนด้าอย่างแน่นอน
แต่ถ้าเปรียบเทียบดีไซน์ด้านหน้ากับคู่แข่ง ต้องบอกกันตรงๆ ว่าคู่แข่งดูสวยกว่า
ดีไซน์บางจุดของฮอนด้า ซิตี้ ยังรู้สึกว่าขัดตา ไม่ค่อยลงตัว แต่พอแก้ไขได้ด้วยการใส่ชุดตกแต่งรอบคัน
คันที่ทีมงานได้รับมารีวิวครั้งนี้ ไม่มีการตกแต่งด้วยอุปกรณ์เสริมใดๆ เป็นรุ่นท็อปสุดหรือ SV+ นั่นเอง
เส้นที่ลากผ่านประตูมาถึงไฟท้าย เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ ออกแบบตามแนวคิดของธนูลูกศร >——->
เสน่ห์ของ Honda City รุ่นใหม่ อยู่ที่ด้านท้ายมากกว่า แม้กระทั่งแฟนๆ ของคู่แข่ง ยังบอกตรงกันและยอมรับกันว่า ท้ายรถรุ่นนี้สวยงามจริงๆ
กันชนท้ายและฝาท้าย ออกแบบมาให้สอดรับกันพอดี
คิ้วโครเมียมที่ฝาท้าย ดูหรูหรา ลงตัวกับไฟท้าย
มุมของท้ายรถยกสูงกำลังดี ไม่จำเป็นต้องติดตั้งสปอยเลอร์อีกแล้ว
มุมสูงก็ยังดูสวยเท่แบบสปอร์ต
ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว มองเห็นดิสก์เบรคสำหรับล้อคู่หน้า
ล้อคู่หลัง ใช้ดรัมเบรค ซึ่งรุ่นท็อปสุดอย่าง SV+ น่าจะติดตั้งดิสก์เบรคมาให้ครบทั้ง 4 ล้อ เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง
เสาอากาศวิทยุแบบ Shark fin สุดเท่ คล้ายกับรถยนต์ยุโรปราคาแพง
ไฟท้ายดีไซน์โฉบเฉี่ยว และไฟเบรคดวงที่ 3 ขนาดบางเฉียบ
ไฟท้ายแบบ Multi reflector สว่างทั่วตลอดทุกส่วนของโคมไฟ ไม่ใช่สว่างแค่บริเวณหลอดไฟเหมือนคู่แข่ง
ออกแบบด้วยแนวคิดแบบธนูลูกศร หักมุมคม 45 องศา เป็นความลงตัวที่ดูไม่ขัดตา
ถอยจอดได้สะดวก ด้วยกล้องมองหลัง
ฝาท้ายทำมุมกลมกลืนไปกับกันชนท้าย
ตำแหน่งท่อไอเสีย อยู่ด้านขวา
กันชนท้ายออกแบบได้ดี ดูหลอกตาเสมือนว่าติด Skirt ตกแต่ง
โลโก้ City ย้ำชัดเจนว่าเหมาะสมที่สุดกับชีวิตคนเมือง
ไฟท้ายเป็นหลอดไฟธรรมดา ยังไม่ใช่ LED ต้องรอดูรุ่นไมเนอร์เชนจ์ในปี 2016-2017 น่าจะเปลี่ยนเป็น LED แล้ว
มือจับประตูแบบโครเมียม
กระจกมองข้างแบบฝังไฟเลี้ยว LED เอาไว้
ที่ปัดน้ำฝนดีไซน์หักมุมดูแปลกประหลาด
ไฟหน้าเป็นหลอดไฟธรรมดา แม้จะเป็นรุ่นท็อปสุด ก็ไม่ได้ติดตั้งไฟหน้าแบบ Projector ซึ่งจุดนี้คู่แข่งเหนือกว่า
ไฟตัดหมอกทรงกลมที่ดูไม่ค่อยเข้ากันกับดีไซน์โดยรวมของตัวรถ
กันชนหน้าออกแบบให้ดูคล้ายว่าติด Skirt ตกแต่งเช่นเดียวกับกันชนท้าย
ฝากระโปรงหน้ามีร่องขนาดใหญ่ สอดรับกับแนวโค้งของกระจังหน้า
กระจังหน้าสีเงินปรอทขนาดใหญ่ ทำความสะอาดง่าย เป็นรอยขีดข่วนได้ยาก
ด้านหน้าดูคล้าย Civic แบบย่อส่วน
รองรับน้ำมัน E85
ถือเป็นจุดขายที่สำคัญของ Honda City รุ่นใหม่
ยางอะไหล่ขนาดเล็กเพียง 135 mm. แค่พอวิ่งได้ในระยะสั้นเท่านั้น เป็นอีกจุดที่น่าผิดหวัง
ห้องเก็บสัมภาระจุถึง 536 ลิตร ใส่กระเป๋าเดินทางหลายใบได้สบาย
ที่ดึงเพื่อพับเบาะที่นั่งตอนหลัง มีที่ดึงสองข้างซ้ายขวา
มีไฟส่องสว่างในห้องเก็บสัมภาระท้าย
ฝาท้าย เปิดได้กว้าง น้ำหนักเบา
ทดลองพับเบาะ ขยายความจุห้องเก็บสัมภาระ
ตะขอสองอันที่ปลายเบาะทั้งสองฝั่ง อาจจะเกะกะเล็กน้อย แต่ไม่ค่อยมีผลกับการใช้งาน
พื้นห้องเก็บสัมภาระไม่ได้เรียบสนิทไปกับเบาะที่นั่งที่ได้พับลงไป เป็น 2 ระดับอย่างในภาพ
เบาะที่ถูกพับลงไป ใส่สัมภาระที่มีความยาวมากเป็นพิเศษได้
มาดูห้องโดยสารกันบ้าง เริ่มจากด้านหลังก่อน
พับเบาะคืนได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องออกแรงเยอะ
เบาะผ้าของ Honda แบบใหม่ ฟองน้ำนุ่มทุกรุ่น คืนตัวได้เร็ว วัสดุดีกว่ารุ่นเก่าอย่างมาก ทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย
พรมรองพื้นแบบแยกชิ้น
พนักพิงศีรษะมีครบ 3 ที่นั่ง และปรับความสูงได้ ซึ่งไม่มีในรุ่นเก่าเช่นกัน
ที่วางแขนแบบใส่ขวดน้ำหรือแก้วน้ำได้
พื้นที่ Leg room กว้างเหลือเชื่อ
ที่นั่งตอนกลางด้านหลัง ก็นั่งได้สบาย เบาะไม่ยื่นแข็งจนดันหลัง พิงได้ตามปกติ
พื้นที่วางเท้ามากพอที่จะวางสัมภาระได้อีก สอดเท้าไว้ใต้เบาะหน้าก็ได้อย่างไม่อึดอัด
ช่องเก็บของสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
มีช่องจ่ายไฟ 2 ช่องสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง สำหรับเสียบ Adapter ชาร์จโทรศัพท์มือถือ
บานประตูผู้โดยสารตอนหลัง
หลังเบาะหน้าฝั่งซ้ายมือ มีช่องเก็บหนังสือ/นิตยสาร แต่หลังเบาะคนขับ ไม่มีช่องนี้
ผู้โดยสารตอนหลัง สามารถยื่นหน้ามามองจอภาพที่คอนโซลหน้าได้
ประตูหลัง มีฝังลำโพง Tweeter ไว้ด้วย ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ด้านล่างของประตูหลัง ก็ติดตั้งลำโพง Woofer ไว้ด้วย
ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร
ประตูที่ฝั่งคนขับ
มีลำโพง Tweeter และ Woofer อยู่เช่นกัน ตำแหน่งเดียวกับประตูหลัง
ห้องโดยสารตอนหน้า
เบาะคนขับ ปรับความสูงได้ ข้างล่างเป็นคันโยกเปิดฝาท้ายห้องสัมภาระ
ที่พักเท้าซ้าย เบรค คันเร่ง ปุ่มเปิดฝาถังน้ำมัน และปุ่มเปิดฝากระโปรงหน้า
แน่นอนว่า ไม่มีช่องเสียบกุญแจ เพราะใช้กุญแจแบบ Immobilizer
เบาะผ้ารุ่นใหม่ ใช้วัสดุที่ดีขึ้น ออกแบบใหม่ มุมที่พิงศีรษะโค้งโน้มมาด้านหน้าน้อยลง
ที่วางแขนพร้อมช่องเก็บของ/วางของ
คอนโซลหน้า
ปุ่ม Econ ขับในโหมดประหยัด และสวิตช์ปรับตำแหน่งกระจกมองข้าง / พับเก็บกระจกมองข้าง
มาตรวัดในขณะที่ยังไม่ติดเครื่องยนต์
ปุ่มสั่งงานเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
ปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control บนพวงมาลัย
จอภาพขนาด 7 นิ้ว สั่งงานด้วยระบบสัมผัส
ช่องเก็บสัมภาระด้านหน้า
เกียร์อัตโนมัติแบบแถวเดียว ไม่ใช่แบบขั้นบันได
มีช่องจ่ายไฟ 12 V / HDMI Input / USB สองช่อง เชื่อมต่อความบันเทิงได้อย่างสะดวก
สวิตช์สั่งงานด้วยเสียง โทรออก และรับสาย ใช้งานได้สะดวกในขณะขับรถ โดยที่ไม่ต้องละสายตาจากถนน (ใช้ได้สำหรับ iPhone 4S ขึ้นไป)
หน้าจอระบบเครื่องเสียงขนาด 7 นิ้ว สั่งงานด้วยการสัมผัส แต่ความไวในการสัมผัสค่อนข้างต่ำ จิ้มเบาๆ อาจไม่ติด
กระจกมองหลังติดอยู่บนผิวกระจกหน้า
มีกระจกส่องหน้าทั้ง 2 ที่นั่ง แต่ไม่มีไฟส่องใบหน้า
ไฟส่องแผนที่ แยกซ้ายขวา
ที่วางแขน และช่องวางโทรศัพท์มือถือขนาดเล็ก ไม่รองรับมือถือหน้าจอขนาดใหญ่
เข้าออกได้สะดวก บานประตูดูธรรมดา ไม่มีความหรูหราอะไรเลย
ห้องโดยสารตอนหน้า
เบาะผ้า นุ่มและแน่น นั่งค่อนข้างสบาย รับกับสรีระได้เกือบพอดี
เบาะผ้าสีดำ ทำความสะอาดได้ง่าย ฝุ่นสะสมน้อยลงกว่ารุ่น City รุ่นเก่า
พื้นที่ด้านหน้า ความลึกปานกลาง ติดตั้งถุงลมนิรภัยไว้ ไม่ควรวางของใดๆ
หน้าจอสั่งงานอยู่ตรงกลางคอนโซล มุมเงยขึ้นให้อ่านง่าย แต่ไม่ตัดแสงภายนอก แดดส่องรบกวนภาพบนจอได้
เข้าออกห้องโดยสารด้านหลังได้ง่าย ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเกะกะ และประตูที่ดูแสนธรรมดาเช่นกัน
มาดูเครื่องยนต์กันบ้าง สังเกตว่าแบตเตอรี่ที่ติดมากับรถ เป็นขนาดเล็ก แค่พอใช้งานได้ไม่เกิน 2 ปีแรก
เครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตร 117 แรงม้า ผสานการทำงานกับเกียร์ CVT ทำให้ประหยัดน้ำมันและให้อัตราเร่งดีเยี่ยม รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 อีกด้วย
เข็มขัดนิรภัยไม่สามารถปรับระดับสูงต่ำได้ แต่ไม่มีปัญหากับการใช้งานเลยกับทุกสรีระ
เสาทั้ง 2 ข้าง บดบังทัศนวิสัยเพียงเล็กน้อย แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ มีม่านถุงลมนิรภัยฝังอยู่ภายใน
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ที่สว่างมาก
กุญแจรีโมตแบบ Immobilizer
กดปุ่ม Start ก็จะพบกับมาตรวัดเรืองแสงขอบสีฟ้าที่สวยงามอย่างมาก เย็นตา ถูกใจคนรักความสปอร์ตแบบเท่เหนือใคร
Paddle Shift 7 สปีด เร่งแซงสนุก สั่งได้ดั่งใจ
หน้าจอแสดงนาฬิกา เมื่อไม่ได้ใช้งานเครื่องเสียง
เครื่องปรับอากาศแบบดิจิตอล สั่งงานด้วยการสัมผัส ให้ความเย็นที่ดี ลมแรงพอสมควร
หน้าจอแสดงผลภาษาไทยได้
ทดลองเล่นเพลงที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องเสียงรถยนต์ด้วยเทคโนโลยีบลูทูธ
สั่งงานด้วยระบบสัมผัสหรือปุ่มที่พวงมาลัยก็ได้ ตามความสะดวกหรือความถนัด
แสดงผลชื่อเพลงภาษาไทยได้ถูกต้อง
เลือกเปลี่ยนเพลงได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส (แรงๆ)
ลำโพง 8 ตัวที่ประตู 4 บาน แยกทุ้มแหลมอิสระ สามารถปรับระดับความดังลำโพงหน้าและหลังให้สัมพันธ์กัน
ปรับระดับเสียงย่านทุ้ม-แหลม
ปรับความดังของเสียงให้แปรผันกับความเร็วของรถขณะวิ่งก็ทำได้
เมนูหลัก มี 4 ฟังก์ชั่น
ทดลองดูเมนูในการตั้งค่า
เมนูการตั้งค่า กับลูกเล่นที่มากมายเกินราคา
การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ ทำได้ไม่ยากนัก
กำหนดรายการโทรด่วนหรือ Speed Dial สำหรับหมายเลขที่โทรออกบ่อยครั้งได้ด้วย
ดึงสมุดโทรศัพท์จากบนมือถือมาไว้ในระบบได้ เพื่อความสะดวกในการโทรออก
ตั้งค่านาฬิกาให้ปรับเปลี่ยนพื้นหลังได้
นาฬิกาแบบ Analog ก็มี แต่เชื่อว่าหลายคนเลือกใช้ Digital มากกว่า
เปลี่ยน Wallpaper ของนาฬิกา
ตั้งค่านาฬิกาได้อย่างละเอียด
ตั้งค่ากล้องด้านหลัง
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ผ่าน Bluetooth หรือ Wi-Fi ก็ได้
โทรศัพท์ได้จาก Dial pad บนจอภาพ
สมุดโทรศัพท์เรียงตามตัวอักษร และแสดงผลภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง
สถิติการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขับขี่
บันทึกระยะทางในการขับขี่
ระบบเครื่องเสียงมีทั้ง FM, AM, CD, USB, iPod/iPhone, Smartphone, Bluetooth และสุดท้าย HDMI
ค้นหาและเปลี่ยนสถานีวิทยุได้ค่อนข้างรวดเร็วดี
เมื่อใช้งาน Econ Mode จะมีไฟ LED รูปดอกไม้สีเขียวปรากฎใกล้เลข 8 ในมาตรวัดความเร็วรอบ
ทดลองเปิดไฟหน้าและเปิดตัดหมอก
ไฟท้าย ไฟเบรค และไฟเลี้ยว สว่างเกือบเต็มพื้นที่ ดีกว่าบางรุ่นในตลาด ไฟท้ายขนาดใหญ่ แต่พื้นที่สว่างมีเพียงนิดเดียว
ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง สว่างมาก มองเห็นได้ชัดเจนจากทุกมุมมองรอบตัวรถ ไม่จำกัดเพียงแค่ด้านหน้า
สวยงามทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
ในขณะถอยหลัง ภาพจากกล้องด้านหลัง จะส่งมายังจอภาพ สามารถเลือกมุมมองได้ 3 แบบ และบอกระยะการจอดตามมุมเลี้ยวของรถอีกด้วย มีความแม่นยำดี
สรุปทดสอบการขับขี่และความรู้สึกเมื่อได้สัมผัส
เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะเปรียบเทียบ Honda City กับ Toyota Vios เนื่องจากมีปัจจัยด้านราคา ศูนย์บริการ และคุณสมบัติทางเทคนิคที่คล้ายกัน ไม่ได้เปรียบเทียบกับ Eco Car หรือ Hatchback Sub-compact รวมทั้งปัจจัยเรื่องความชื่นชอบในตัวแบรนด์ แต่ ณ วันนี้ Honda City รุ่นใหม่ออกมาหลังจาก Toyota Vios เป็นเวลา 1 ปี Honda จึงพัฒนารายละเอียดหลายส่วนของตัวรถให้เหนือกว่า Vios เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน การเปรียบเทียบสเปคแบบ Battle กันทั้งสองรุ่น ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่า Toyota จะแก้เกมอย่างไรในปีหน้า จะเปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นเพื่อเอาชนะ Honda City ได้หรือไม่
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " TEST DRIVE : รีวิว Honda City 2014 ล้ำเหนือใคร ไปให้ถึงคำว่าที่สุด "