TEST GROUP : สัมผัสแรกกับ NISSAN TERRA บนดินแดนแห่งเกาะโลก …มาช้ายังดีกว่าไม่มา แต่จะดังและฮือฮาแค่ไหนต้องถามใจเธอดู !
เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นิสสันได้เชื้อเชิญสื่อมวลชนไทยและสื่อจากต่างชาติอีกหลายประเทศ บินลัดฟ้าสู่ดินแดนแห่งเกาะและภูเขาไฟ ณ ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อร่วมงานเปิดตัว ‘NISSAN TERRA’ ยนตรกรรมในแบบเอสยูวีตัวถังบนแชสซีส์รุ่นใหม่ หรือที่บ้านเราเรียกกันติดปากว่าพีพีวีเนื่องจากใช้พื้นฐานจากรถกระบะ โดยครั้งนี้นับเป็นการเผยโฉมลำดับที่สองในโลก และเป็นครั้งแรกในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ หลังเปิดตัวแบบเวิล์ดพรีเมียร์ครั้งแรกที่ประเทศจีนไปเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หลังจากคณะสื่อมวลชนไทยบินลัดฟ้าถึงสนามบินนินอยอากีโน ก็เดินทางต่อด้วยรถบัสไปยังเมืองคลาร์ก ซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมในการเปิดตัวครั้งนี้ทันที โดยใช้เวลาจากมะนิลาเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ประมาณ 2 ชม. ครับ
เกริ่นเป็นข้อมูลสักนิด ผมมีโอกาสเคยมาเยือนเมืองแห่งนี้ครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ที่สำคัญสภาพแวดล้อมของเมืองคลาร์กนั้นแตกต่างกับกรุงมะนิลาชัดเจน เพราะมีความเงียบสงบร่มรื่นไม่วุ่นวายจึงเหมาะแก่การพักผ่อน มีกิจกรรมและมีสถานท่องเที่ยวมากมายรวมไปถึงยังมีธุรกิจคาสิโนอย่างถูกกฎหมาย ไว้รองรับสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการแสวงโชคอีกด้วย
อีกทั้งมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ค่อนข้างมากจึงครบครันด้วยสาธารณูปโภค โดยเป็นเขตพื้นที่พัฒนาขึ้นมาใหม่จากอดีตเคยเป็นฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดปามปังกาและเป็นตำบลหนึ่งของแองเจลีสซิตี้ เป็นเมืองขนาดใหญ่เกือบเท่ากับประเทศสิงคโปร์
ย้อนกลับมาที่กิจกรรมของเราในทริปนี้ครับ หลังจากที่คณะสื่อมวลชนมาถึงยังเมืองคลาร์กเมื่อเก็บสัมภาระกันเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปยังลานกิจกรรมทันทีซึ่งห่างออกจากโรงแรมประมาณ 3 กม. โดยบริเวณพื้นที่ของการจัดงานเป็นลานดินซึ่งมีการจำลองอุปสรรคแบบออฟโรดต่างๆ ทั้งเนินสูงชัน เนินสลับ และหลุมลึกขนาดใหญ่ โดยช่วงพิธีการเปิดตัวก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย มีการโชว์สมรรถนะของ TERRA โดยขับผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่จัดสร้างไว้ จากนั้นก็มีการกล่าวถึงรายละเอียดผลิตภัณฑ์ เป้าหมายทางการตลาด โดยทีมผู้บริหารและทีมวิศวกรผู้ออกแบบ
Mr.Ashwani Gupta รองประธานอาวุโส กลุ่มธุรกิจโครงสร้างรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กของนิสสัน กล่าวว่า “TERRA ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากความสำเร็จของนิสสัน เอสยูวีที่ยาวนานกว่า 60 ปี อย่างนิสสัน เพโทร (Nissan Patrol) ซึ่งที่ผ่านมานั้นได้รับความนิยมจากลูกค้ามากที่สุด สิ่งสำคัญ TERRA ได้การออกแบบให้มีความแข็งแกร่ง สามารถรองรับทุกภารกิจการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างมั่นใจ ขณะเดียวกันยังช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถปลดปล่อยความจำเจและออกผจญภัยได้อย่างเต็มที่”
โดยรถรุ่นนี้ใช้ฐานการผลิตในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออกสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “การมีฐานการผลิตเพื่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสิ่งยืนยัน และแสดงถึงความมุ่งมั่นของนิสสันที่จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลูกค้าในภูมิภาคนี้ และ TERRA นับเป็นก้าวสำคัญล่าสุด ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์เชิงรุกสู่ตลาดในภูมิภาคนี้ และเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินแผนงานระยะกลางของนิสสัน หรือ Nissan M.O.V.E. 2022 สำหรับภูมิภาคนี้อีกด้วย” มร. ยูทากะ ซานาดะ รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย กล่าว
NISSAN ตั้งชื่อ TERRA ตามภาษาละตินซึ่งแปลว่า ‘โลก’ (Earth) นับเป็นรถยนต์เอนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง สะดวกสบายด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางที่สุดในระดับเดียวกัน มีฟังค์ชันการปรับ และพับเบาะที่นั่งแถวที่สองที่พับได้เก็บได้แบบแบนราบ เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง และการผจญภัยบนเส้นทางออฟโรดร่วมกับครอบครับ และเพื่อนๆ
“ความชาญฉลาดในการออกแบบรถยนต์เอนกประสงค์ให้มีสมรรถนะสูง มีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างขวางไม่เป็นรองใคร เทคโนโลยีอัจฉริยะภายใต้แนวคิดนิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility) ทำให้ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงร่วมเดินทางไปด้วยกันได้อย่างมั่นใจ” มร. วินเซนต์ วิจเนน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียกล่าว
โดยจากข้อมูลที่ได้รับจากทีมงาน PR ของนิสสัน ระบุว่าประเทศฟิลิปปินส์แรกเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเปิดตัวและจำหน่าย TERRA และมีการเปิดให้ลูกค้าได้สั่งจองล่วงหน้าตั้งแต่วันจัดงาน (29 พ.ค.61) ส่วนการส่งมอบรถจะเริ่มทยอยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไป ส่วนในประเทศไทยทางนิสสันมีแผนเปิดตัว TERRA พร้อมๆ ประเทศอินโดนีเซียภายในปีงบประมาณนี้ ซึ่งหากเป็นไปตามคาดก็อาจเป็นอีกไม่น่าเกินไตรมาสที่ 3 ก่อนจะตามมาด้วยการทำตลาดในประเทศบรูไน กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนามต่อไป
ในส่วนของรายละเอียดภายนอกมีโอกาสได้สำรวจกันในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากกองทัพสื่อมวลชนเยอะมาก ซึ่งดูเผินๆ หลายคนอาจมองว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับรถกระบะอย่าง NAVARA แบบแฝดคนละฝา แต่หากเจาะจงแบบจุดต่อจุดก็เห็นถึงความแตกต่างได้แบบชัดเจน
กระจังหน้าดีไซน์ V-Motion ลวดลายตรงกลางเป็นรังผึ้งขนาดเล็กสีเทา ล้อมกรอบด้วยวัสดุแถบสีเงิน ส่วนไฟหน้าเป็นแบบ LED โปรเจคเตอร์ พร้อมคาดขอบด้านบนด้วยแนวเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ทรงตัวแอล ส่วนไฟตัดหมอกฝังด้วยหลอดฮาโลเจนติดตั้งอยู่ในเบ้าทรงกลม สำหรับกระจกมองข้างเป็นสีเดียวกันกับตัวรถ และมีแถบไฟเลี้ยวแบบ LED ขนาดเล็กประกบอยู่ (ส่วนรุ่น E ไม่มี) ด้านข้างบันไดทรงแบนออกแบบง่ายๆ เป็นสีเทาประกบด้วยยางกันลื่น
ส่วนด้านท้ายแว๊บแรกที่เห็นเชื่อว่าหลายคนก็คิดเหมือนกันว่ามีความคล้ายๆ กับคู่แข่งยี่ห้อหนึ่ง ตัวไฟท้ายแบ่งเป็น 2 ชิ้นแยกอยู่กับมุมบอดี้และที่ฝาท้าย ตัวกรอบเป็นสีขาว-แดง ดีไซน์ไม่หวือหวามากนัก แต่ก็มีจุดนำสายตาเป็นด้วยเส้นไกด์ไลท์ทรงคล้ายไฟเดย์ไทม์ด้านหน้า ส่วนหลอดยังเป็นฮาโลเจน เหนือขึ้นไปบริเวณหลังคาเป็นเสาอากาศแบบเสาทรงกลม สำหรับล้อแม็กมี 2 ขนาด 2 ลวดลาย แบ่งตามรุ่นย่อยเช่นกัน โดยในรุ่น E เป็นล้อแม็กลาย 6 ก้านคู่สีเงินขนาด 17 นิ้ว ส่วนรุ่น V เป็นลายทูโทนขนาด 18 นิ้ว มิติตัวรถ ความยาว 4,885 มม. ความกว้าง 1,865 มม. ความสูงตัวรถ: 1,835 มม. และระยะความสูงจากพื้นถึงท้องรถ : 225 มม.
NISSAN TERRA ถูกพัฒนาขึ้นบนแชสซีส์อเนกประสงค์แบบขั้นบันได ซึ่งทำให้ตัวถังเหนียวแน่นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เหมาะกับการขับขี่บนทางแบบออฟโรด โดยระบบกันสะเทือนด้านหน้าหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ 5-Link พร้อม คอยล์สปริง (5-Link Coil Spring Rear Suspension System) และเพลาหลังที่มั่นคงแข็งแรง สร้างความมั่นใจว่าความสะดวกสบายและความนุ่มนวลที่มาพร้อมกับความทนทานและความแข็งแกร่ง ส่วนระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน ขณะที่ด้านหลังยังเป็นดรัมเบรกอยู่
โดยในรุ่นที่ทำตลาดฟิลิปปินส์ เครื่องยนต์ดีเซลรหัส YD25 DDTi คอมมอนเรล 4 สูบ เทอร์โบแปรผัน (VGS) พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้สมรรถนะสูงสุด 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ระบบเกียร์มีทั้งอัตโนมัติ 7 จังหวะ หรือธรรมดา 6 จังหวะ ซึ่งเครื่องยนต์บล็อกดังกล่าวนี้ก็ประจำการอยู่ใน NAVARA โฉมปัจจุบันที่จำหน่ายในบ้านเรา
NISSAN TERRA ใหม่ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำหน้าเพื่อให้การขับขี่มีความปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี ’ Nissan Intelligent Mobility’ โดยผสานระบบความปลอดภัยต่างๆ ให้ทำงานสัมพันธ์กันประกอบด้วยระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง หรือ Lane Departure Warning, ระบบเตือนจุดบอดกับจุดอับสายตา-Blind Spot Warning และกล้องอัจฉริยะมองรอบทิศทาง-Intelligent Around View Monitorพร้อมระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหว-Moving Object Detection นอกจากนี้ TERRA ยังเป็นพีพีวีรุ่นแรกที่มาพร้อมกระจกมองหลังอัจฉริยะ-Smart Rear View Mirror ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นทัศนะวิสัยด้านหลัง โดยไม่มีการบดบังในห้องโดยสาร จากกล้องที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังของรถ
ในด้านความปลอดภัย TERRA มาพร้อมการควบคุมที่มีประสิทธิภาพด้วยระบบ 4WD-DIFF หรือ ดิฟเฟอเรนเชียล-ล็อก 4 ล้อ และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA-Hill Start Assist ผสานกับระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC-Hill Descent Control ช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมความเร็วเมื่อขับขี่ลงในเส้นทางที่ลาดชันได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังให้การลุยและการเคลื่อนผ่านอุปสรรคเป็นเรื่องง่าย ด้วยระยะความสูงจากพื้นถึงท้องรถถึง 225 มม. ซึ่งข้อดีคือ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากการขับขี่บนถนนขรุขระ หินต่างๆ และเส้นทางที่ไม่ราบเรียบ รวมถึงในพื้นที่น้ำท่วมอีกด้วย
ทดสอบสั้นๆ บนทางเรียบก่อนลุยแบบสมบุกสมบันบนเส้นทางธารลาวา
กิจกรรมในวันที่ 2 เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้า หลังจากทีมวิศวกรได้แนะนำผลิตภัณฑ์เสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาสัมผัสกับเจ้า TERRA กันจริงๆ เสียที ซึ่งทีมงานได้จัดเส้นทางเป็น 2 รูปแบบคือ On Road และ Off Road
โดยเจ้า TERRA ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้สื่อมวลชนทดสอบทั้งหมด 10 คัน โดยนั่งคันละ 2-3 คน และมีอินสตรัคเตอร์นั่งประกบไปด้วยเพื่อช่วยแนะนำเส้นทางในการขับ
อย่างไรก็ดีครับก่อนออกเดินทาง ผมมีโอกาสได้ลองนั่งพิจารณาถึงความสะดวกสบายและรายละเอียดต่างๆ ในห้องโดยสาร หลังจากเมื่อวานสื่อมวลชนเยอะจนแทบไม่มีโอกาสเข้าไปดูแบบจริงๆ จังๆ เริ่มที่คอนโซลกลางหรือแผงแดชบอร์ดในรุ่นทำที่ตลาดในฟิลิปปินส์มี 2 รูปแบบตามรุ่นย่อย โดยจุดต่างหลักๆ คือสวิตช์ของระบบปรับอากาศโดยรุ่น E นั้นเป็นสวิตช์บิดส่วนรุ่น V นั้นเป็นอัตโนมัติดิจิตอล ส่วนดีไซน์หรือภาพรวมๆ เรียกว่าก็ค่อนข้างจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะยกจาก NAVARA มาเกือบทั้งชุด รวมถึงชุดพวงมาลัยที่หน้าตาเหมือนกัน แต่รุ่น V ก้านฝั่งซ้ายเป็นสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง ส่วนฝั่งขวาเป็นสวิตช์ครูสคอนโทรล ส่วนในรุ่น E นั้นมีสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงเฉพาะด้านฝั่งซ้ายเท่านั้น
ส่วนมาตรวัดในรุ่น V เป็นแบบเรืองแสงแบบดิจิตอล มีการตกแต่งกรอบด้วยแถบพลาสติกสีเทาพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบดิจิตอลตรงกลาง หน้าตาไม่ผิดแปลกไปจาก NAVARA ซึ่งเราสามารถเลือกเซ็ตให้โชว์อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย ความสิ้นเปลืองแบบเรียลไทม์ แสดงระยะทางที่ขับได้จากปริมาณน้ำมันที่มีในถัง นอกจากนี้ก็ยังมีฟังก์ชั่นเพื่อแสดงผลการลุยแบบออฟโร้ดเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นองศาเอียงของตัวรถ ระบบขับเคลื่อน รวมไปถึงระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง 4 ล้อ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกปรับตั้งภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทยได้ (ก็แน่ละครับผลิตที่ไทยนี่ครับ) สำหรับรุ่น E เป็นมาตรวัดแบบเข็ม-ขีด-ตัวเลขสีขาว ตรงกลางก็ทีช่อง MID แบบธรรมดา
โดยส่วนของเบาะรุ่น V เป็นแบบหุ้มหนังสังเคราะห์ ฝั่งผู้ขับนั้นสามารถปรับ 8 ระดับ ทั้งปรับยก-ขึ้นแบบทั้งตัว ปรับยกหน้า-ท้าย และเลื่อนหน้า-ถอยหลัง แต่ฝั่งผู้โดยสารเป็นแบบอัตโนมือ พูดง่ายๆ คือมือโยกขึ้น-ลง เดินหน้า-ถอยหลัง ขณะที่ตำแหน่งฐานเบาะแม้ว่าผมจะเป็นคนประเภทไซส์กะทัดรัดแต่ก็ยังรู้สึกว่าสั้นไปสักนิด ทำให้ใต้ท้องขาล้นลอยออกมา ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าถ้าขับไกลๆ ความเมื่อยล้าก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ในขณะที่พนักพิงนับว่าค่อนข้างกว้างและออกไปในทางนุ่มนิ่มแต่มีดันหลัง คนตัวใหญ่นั่งสบายไปอึดอัด หัวหมอนรองศีรษะปรับไม่ได้ แต่คนรูปร่างผอมเพรียวบางอาจรู้สึกไม่โอบกระชับเท่าที่ควร ในขณะที่รุ่น E นั้นหุ้มด้วยกำมะหยี่
ส่วนเบาะหลังฐานเบาะฐานออกแบบค่อนข้างพอดี ให้สามารถซับพอร์ตสอดรับกับใต้ท้องขาได้ ขณะที่พนักพิงก็ไม่ตั้งชันเกินไป ส่วนหมอนรองศีรษะมีแค่ 2 ตำแหน่ง ตรงกลางเบาะเมื่อแกะและง้างออกมามีพนักสำหรับวางแขนพร้อมช่องวางขวดน้ำหรือแก้ว 2 ตำแหน่ง
อีกหนึ่งไฮไลต์คือการปรับพับเบาะในแถว 2 แบบ One-Touch (60 : 40) โดยมีสวิตช์กดอยู่บริเวณคอนโซลเกียร์ ทำให้การพับเป็นเรื่องง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน ที่สำคัญลดภาระในการออกแรงโดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลาย
ส่วนแถว 3 ก็สามารถปรับพับได้เช่นกันแบบ 50 : 50 แต่ต้องใช้การดึงด้วยเชือก ซึ่งติดตั้งอยู่ระหว่างบริเวณข้อต่อฐานเบาะ-พนักพิง สำหรับความสบายในการนั่ง แน่นอนผู้ใหญ่คงจะไม่สะดวกนัก แต่ถ้าเป็นเด็กๆ น้องๆ หนูๆ ก็นั่งได้สบายไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
นอกจากนี้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ก็มีปรับรูปแบบการใช้งานแบบง่ายๆ โดยเมื่อยกปิดแผ่นปิดยางอะไหล่ออก ก็สามารถพลิกใช้งานอีกด้านได้ สำหรับเพื่อวางสิ่งของที่อาจเลอะเทอะหรือว่าใช้ล็อกสัมภาระที่อาจลื่นไถลกลิ้งไปมา
ส่วนบริเวณตรงกลางของเพดาน มีออปชั่นภาคความบันเทิงด้วยจอแบบพับได้ (เฉพาะรุ่น V) รวมไปถึงสวิตช์ปรับแรงลมปรับอากาศมาพร้อมกับช่องแอร์แบบทรงกลม 2 ช่อง และอีก 2 ช่องที่บริเวณเพดานของเบาะแถว 3
การทดสอบรถต้นด้วยการขับแบบ On Road เดินทางเป็นขบวนและมีการควบคุมความเร็วจากคันนำ โดยใช้ถนนหลวงแล้วต่อเนื่องเข้าทางหลวงพิเศษทางราบ ลักษณะคล้ายมอเตอร์เวย์บ้านเรา รวมระยะทางไป-กลับประมาณ 10 กว่ากม. ซึ่งสิ่งที่สัมผัสได้คืออัตราเร่งของขุมพลังระดับ 190 แรงม้า สามารถสามารถลากตัวถังทรงอวบอ้วนได้แบบสบายๆ การไล่ไต่ระดับความเร็วถ่ายทอดออกมาแบบต่อเนื่องเนียนๆ และไม่รู้สึกว่าอืดหรือรอรอบเลย แต่ก็ไม่ถึงกับพุ่งทะยานแบบฉับไวซะทีเดียว อีกหนึ่งจุดต้องขอชม คือในช่วงระดับความเร็ว 100-120 กม./ชม. ภายในห้องโดยสารเงียบขึ้นแบบชัดเจนเป็นจริงตามที่ทีมออกแบบได้อธิบาย ว่ามีการบุเก็บเสียงทั้งในส่วนของห้องเครื่องและห้องโดยสารถึง 3 ชั้นด้วยวัสดุในการซับเสียงเกรดเยี่ยม ในขณะเดียวกันทัศนะวิสัยในการมอง เมื่อนั่งในตำแหน่งของผู้ขับ บวกกับรถมีความสูง ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจาก NAVARA สามารถมองเห็นได้กว้างและค่อนข้างชัดเจนมีมุมอับนสายตาน้อย แต่ที่อาจไม่คุ้นชินคือตำแหน่งพวงมาลัยซึ่งที่นี่เป็นซ้าย เลยทำให้การขับต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น และต้องกะระยะเผื่อสักนิดไม่ว่าจะเลี้ยวหรือแซง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในช่วงการขับ On Road จอบนรถคำนวณออกมาได้ 12.3 กม./ลิตร (ใช้โหมดขับเคลื่อนแบบ 2WD)
ต่อเนื่องมาขับแบบ Off Road (ใช้ระบบขับเคลื่อน 4WD) ซึ่งเส้นทางที่ขบวนเคลื่อนผ่าน มีอาณาเขตรอยต่อกับพื้นที่ภูเขาไฟพินาตูโบ มีอุปสรรคมากมายทั้งทางฝุ่น ทางหิน ลำธารและพื้นดินโคลน ซึ่งอดีตเคยเป็นทางไหลของลาวาที่เกิดจากการปะทุจากภูเขาไฟ ซึ่งต้องบอกว่าสมรรถนะที่ได้สัมผัส ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดแบบเหลือๆ และระบบขับเคลื่อนที่ถ่ายทอดกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระบบช่วงล่างซึ่งถูกเซ็ตมาได้ค่อนข้างลงตัว โดยเฉพาะการทำงานของระบบช่วงล่าง สื่อมวลชนหลายคนรวมถึงตัวผมเองด้วยต่างให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันคือ สามารถซับแรงสะท้อนรวมถึงมีระยะยืด-ยุบให้ตัวค่อนข้างดีทีเดียว มีคาแร็คเตอร์นุ่ม-แน่น-ไม่ย้วยหรือโคลงเคลงให้ต้องหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อต้องเคลื่อนผ่านอุปสรรค ขณะเดียวกันในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองเมื่อขับเคลื่อนบนเส้นทางลักษณะนี้ จอบนรถแสดงผลออกมาที่ 7.3 กม./ลิตร
ส่วนการเปิดตัวและทำตลาดของ NISSAN TERRA ในประเทศไทยนั้น แน่นอนว่าไม่นานเกินรอ แต่ก็ต้องรอดูกันว่าออปชั่นมีอะไรที่แตกต่างไปจากนี้บ้าง มีกี่รุ่นย่อย ส่วนเครื่องยนต์มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นบล็อกใหม่รหัส YS23DDT 2.3 ลิตร ซึ่งอาจมีพละกำลังให้เลือก 2 สเต็ปแรงม้า ที่สำคัญจะมีราคาค่าตัวเท่าไหร่คงต้องลุ้น อีกทั้งด้วยการมาทีหลัง หากคนซืิ้อต้องจ่ายแพงกว่ามากกว่าล้านกลางขึ้นไป ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ยอดขายจะลื่นไหลดังที่คาด
ขอขอบคุณ : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เรื่อง/ภาพ : ระพี มาประสพ
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.
Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.
Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.
Mitsubishi Triton ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.
Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " TEST GROUP : สัมผัสแรกกับ NEW NISSAN TERRA บนดินแดนแห่งเกาะโลก "